ชีวิตตรงข้ามกับคำว่าโชคดี

ท้อแท้สิ้นหวังหมดหวังหมดกำลังใจจะก้าวเดินต่อมากๆเลยค่ะ
ชีวิตในวัยเด็กแสนลำบากต้องดิ้นรนแอบร้องไห้คนเดียวไม่มีแม้ใครปลอบใจ ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่เลิกกัน ทิ้งฉันไว้ลำพังให้ทวดเลี้ยงดูตั้งแต่ฉันอยู่อนุบาล เติบโตท่ามกลางคนรังเกียจกับคำด่าทอของญาติๆ ว่าลูกไม่มีพ่อมีแม่ฉันขาดความอบอุ่นตั้งแต่เด็ก ไม่มีของเล่น ไม่มีคนสอนการบ้าน ไม่มีคนใส่ใจดูแล ทวดให้ค่าขนมวันละ10บาทไปเรียนทุกวันตั้งแต่ ป. 1 ถึง ป. 6 ไม่เคยได้กินข้าวกลางวันเลยค่ะ ไม่มีขนมกินกับเพื่อน มีแค่บางวันที่ข้าวเด็กอนุบาลเหลือฉันจะได้กินข้าวเพราะฉันไปขอข้าวครูอนุบาลกินทุกวัน ส่วนเงิน10บาทนั้น ฉันเก็บใส่ออมสินไม่เคยใช้เลย เพื่อเป็นทุนค่าเล่าเรียนกับอุปกรณ์การเรียน
ชีวิตมัธยมโหดร้ายมาก เพราะทวดไม่อยากให้เรียนแล้วอยากให้ออกมาทำงาน แต่ฉันดื้อฉันจะเรียน ฉันแอบไปสมัครเรียนเองจ่ายค่าเทอมเองกับค่าอุปกรณ์การเรียนเองที่เก็บสะสมเงินมาสมัยประถม ฉันจึงได้เรียนตามปกติเหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป จนทวดต้องยอมให้ฉันเรียน ทวดให้ค่าขนมฉันวันละ20บาท ใช่ค่ะ20บาทนั้นค่ารถไปกลับก็หมดแล้ว ฉันไม่เคยกินข้าวกลางวันกับเพื่อนเลยสักวันเดียว พอพักเที่ยงก็ไปห้องสมุดไปอ่านหนังสือ ชีวิตวนอยู่แบบนี้ทุกวัน จนจบม. 1 ค่าเทอมก็ตามมาในเทอมต่อมาฉันไม่มีเงินจ่ายตอนนั้นฉันกลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้เรียน ฉันไม่สามารถขอเงินใครได้เลย ฉันยื่นเรื่องขอทุนจนได้มา ตั้งแต่วันนั้นฉันตัดสินใจทำงานหลังเลิกเรียน เป็นงานร้านอาหารในห้างได้เป็นชั่วโมง ชั่วโมงละ25บาท ฉันทำทุกวันตั้งแต่หกโมงถึงสี่ทุ่ม ชีวิตฉันตื่นเช้าหกโมงไปเรียน กลางวันไม่กินข้าว เลิกเรียน ทำงานถึงสี่ทุ่ม กลับจากทำงานกินมาม่าบ้าง ข้าวเปล่าบ้าง บางวันก็ชื้อเป็นกับข้าวกินบ้าง ฉันกินข้าววันละมื้อเท่านั้นเอง ฉันเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าฉันใช้ชีวิตผ่านมาได้ยังไง ช่วงมัธยมต้นถึงปลาย ฉันไม่มีเสื้อผ้าเลยนอกจากชุดนักเรียนสามชุดที่ต้องใส่ทุกวัน เสาร์อาทิตย์ฉันก็ใส่ชุดนักเรียนทำงาน ไม่เคยได้ไปเที่ยว ไม่เคยมีปิดเทอมเหมือนคนอื่นเขา ทุกวันคือวันทำงาน ท้อมากเหนื่อยมากกับการเกิดมาเป็นคน  
แต่ฉันก็ก้าวผ่านมันมาได้กับช่วงมัธยม ความรู้สึกฉันคือช่วงวัยเด็กหายไป หลับไปพร้อมน้ำตาในทุกๆคืน พ่อแม่ฉันไม่รักฉันบ้างเลยหนรอ นั้นคือที่ฉันคิดตอนนั้น กอดพ่อแม่อุ่นยังไงฉันไม่เคยรู้เลยมันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากกับเด็กผู้หญิงคนนึงที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระคนอื่นเสมอมา สอบได้ที่1ไม่มีของรางวัล วันพ่อวันแม่ไม่มีพ่อแม่มาโรงเรียน มันทรมานมากนะ มันโหดร้ายมากจริงๆ กับชีวิตที่ลำบากมากและขาดความอบอุ่นมาก
กว่าจะผ่านไปแต่ละวัน ด้วยความที่อยากเรียนก็เลยดื้อที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ทวดห้ามและอยากให้ทำงานตลอด แอบร้องไห้เลยว่าชีวิตทำไมต้องเป็นแบบนี้ ก็ทำงานอยู่พักนึงพอเก็บตังได้ก้อนนึงก็แอบไปสมัครเรียน ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ไม่มีเพื่อนเท่าไหร่เพราะเลิกเรียนก็ตรงไปทำงานเลยไม่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้ไปกินขนมหลังเลิกเรียน โชคดีด้วยที่ไม่มีแฟนมาตลอดเลย เลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องมาทุกข์เพราะเรื่องรักๆอีก แค่เอาตัวเองให้รอดก็เหนื่อยพอแล้ว ช่วงปี1ทุกอย่างกำลังไปได้ดีแต่อยู่ดีๆบ้านที่อาศัยอยู่ก็ถูกยึด ทำให้ไม่มีบ้านอยู่ต้องออกมาเช่าห้องอยู่กับทวด พอเรามาเช่าห้องอยู่กันทวดก็เริ่มป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ฉันต้องตื่นตีสี่พาทวดไปหาหมอ ขาดเรียนบ้างแต่ไม่เคยขาดงาน มีค่าใช้จ่ายเรื่องรักษาพยายามทวดอีก เหนื่อยหนักเข้าไปอีก ไหนจะค่าเช่าห้องค่าข้าว กับทำงานรายชั่วโมงไม่พอจริงๆ จนสุดท้ายต้องยอมเดินไป-กลับมหาวิทยาลัย เดินไปร้องไห้ไปบอกกับตัวเองเราจะเลิกเรียนไม่ได้อดทนมาขนาดนี้แล้วต้องไปต่อ ช่วงนั้นเงินที่มีหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลทวด ฉันต้องยอมเดินไปขอข้าววัดกิน แรกๆก็ไม่ได้จนวัดยอมให้ เลยมีชีวิตรอดเพราะข้าววัดแท้ๆเลย ทำแบบนี้ทุกวัน กินข้าววัดทุกวัน เดินไปเรียนทุกวัน เพื่อนำเงินที่ทำงานไปเสียค่าเช่าห้องค่าหมอ ค่ารถไปทำงาน
พออยู่ปีพอชีวิตร้ายเลวอีกครั้ง เมื่อทวดเสีย เสียใจมากเหมือนทุกอย่างหยุดเคลื่อนไหว บวกกับฉันไม่มีใครเลยในชีวิต ไม่มีแสงส่องทางไม่มีกำลังใจ ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านอยู่ไม่มีแม้แต่ทะเบียนบ้าน ความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นกับเด็กอายุ19ปี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่