ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต
ริษยารักข้ามภพ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
ภัยสงคราม
สงครามครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติได้อุบัติขึ้นอีกครั้งเพราะความอหังการใคร่ครอบครองโลกทั้งใบของเหล่าทุรชน ทำให้ผู้คนทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนไปทั่ว ดินแดนระหว่างแม่น้ำคง(แม่น้ำสาละวิน)และแม่น้ำโขงตอนกลาง บริเวณชายแดนพม่าแถบรัฐฉานและเมืองเชียงตุงได้มีกองกำลังต่างชาติเข้าสู้รบห้ำหั่นกัน เมืองเหล่านั้นต้องตกอยู่ท่ามกลางไฟสงคราม บรรดาไพร่ฟ้าต่างพากันหลบหนีเข้ามาอยู่ภายในกำแพงพระนคร บ้างก็กระจัดกระจายย้ายถิ่นฐานหนีภัยสงครามลึกเข้าไปในป่า เกิดภาวะอดอยากข้าวยากหมากแพงไปทั่วทั้งเมือง
เป็นโชคดีของเมืองเวียงแถนที่กองทัพจีนฮ่อซึ่งอยู่ข้างอังกฤษ กับกองทัพสยามซึ่งอยู่ฝ่ายญี่ปุ่นยังสู้รบยันกันอยู่ ณ เมืองเชียงตุง มิได้เลยมาถึงที่นี่ แต่เพื่อความไม่ประมาท เจ้าชายพรหมภูมินทร์จึงเร่งให้ซ่อมแซมป้อมปราการและตัวกำแพงเมืองเพื่อให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมก็มีความแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เพราะสร้างมาจากศิลาแลงถึงสองชั้นจึงทั้งสูงทั้งหนา และเร่งสะสมเสบียงอาหารเตรียมไว้ในเขตพระนคร
เรื่องที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นเรื่องของอาวุธที่ต้องใช้ป้องกันเมือง ซึ่งขณะนี้มีเพียงปืนใหญ่โบราณไม่กี่กระบอก กับปืนคาบศิลาจำนวนไม่มากนัก มิหนำซ้ำอาวุธที่มีส่วนใหญ่ก็เป็นระยะประชิดเช่น หอกใบกว้าง หอกซัด มีดดาบและเหลนหลาว อาวุธที่น่าจะพอใช้ต่อสู้ระยะไกลได้ผลดีหน่อยก็เป็นพวกธนูกับหน้าไม้ ซึ่งล้วนแต่ล้าสมัยไร้ประสิทธิภาพ ไม่อาจเทียบได้กับปืนไฟไรเฟิล ปืนกลและปืนใหญ่สมัยใหม่ที่ขณะนั้นมีใช้กันอยู่ในทุกกองทัพ และตนเองก็ยังไม่รู้ว่าศัตรูจะเป็นพวกใด
ดังนั้นจึงให้เพิ่มอานุภาพอาวุธ โดยใช้ยางพิษจากพันธุ์ไม้พิษที่พ่อหมอมังคละเร่งผลิตขึ้น ฉาบติดลูกธนูและหน้าไม้ ให้หนานอินเฟือนและหนานวงศาฝึกทหารสู้รบแบบกองโจร อีกทั้งยังแบ่งขุนทหารที่เชี่ยวชาญการรบออกเป็นกองร้อยย่อยๆ หลายกองเพื่อสะดวกในการดักซุ่มโจมตี ฝึกปรือการใช้อาวุธชั้นเลวให้เปลี่ยนเป็นอาวุธร้ายแรง เช่น ฝึกการใช้ดาบติดปลายปืนให้ชำนาญ และให้พ่อหมอมังคละฝึกหัดมวยปล้ำแบบมองโกลที่สามารถหักคอคนได้ในพริบตาให้กับทหารราบ ยามเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า
นอกจากนี้ยังสั่งให้เร่งขุดหลุมขวากสร้างกับดักไว้ในราวป่ารอบพระนคร และขุดหลุมอำพรางตัวสำหรับหน่วยจารกรรมที่ต้องลอบเข้าโจมตีกองเสบียงและทำลายคลังอาวุธเพื่อตัดกำลังศัตรู พอเสร็จภารกิจก็ให้รีบหลบเข้าหลุมพรางกำบังกาย ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจึงออกมาทำการจารกรรมใหม่
ส่วนในด้านป้องกันรักษาเมืองนั้น เจ้าชายให้จัดทหารออกลาดตระเวนไปไกลหลายลี้และจัดเวรยามเฝ้าระวังภัยตรวจตรารอบพระนครอย่างเข้มงวด
เมืองเล็กเมืองน้อยแถบเดียวกันกับเมืองเวียงแถน แม้พ้นภัยจากกองทัพใหญ่ของทหารต่างชาติ แต่กลับมีภัยจากทหารไร้วินัยซึ่งแตกทัพมา ทหารเหล่านั้นเข้าปล้นสะดมและเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนจนเกิดทุกข์เข็ญไปทั่ว
เมืองเวียงแถนนับว่าโชคดีที่มีเจ้าชายพรหมภูมินทร์ ผู้ซึ่งมองการณ์ไกลและเก่งกล้าสามารถ กับมีแม่ทัพนายกองล้วนเข้มแข็งห้าวหาญเชี่ยวชาญในการรบเช่นแม่ทัพอินเฟือนและหนานวงศา ตลอดจนขุนศึกจากเมืองห้วยยางลายที่ติดตามเจ้าชายมา ผสมกับขุนศึกผู้กล้าของเมืองเวียงแถน เช่นนี้แล้วทหารโจรจึงยังมีความเกรงกลัวไม่กล้าเข้ามาตอแยสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นจึงสามารถปกป้องเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานของบรรดาทหารโจรได้หลายครั้ง เมืองเวียงแถนจึงยังอยู่รอดปลอดภัยดี
แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งการศึก มหาสงครามที่เกิดขึ้นในดินแดนชาวไทครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าตอนที่ถูกพม่ารามัญบุกเข้ารุกรานหลายเท่าเนื่องจากเป็นศึกหลายด้าน ดังนั้นแม้เป็นหญิงก็จำต้องลุกขึ้นจับอาวุธต่อสู้ป้องกันเมือง
เจ้านางคำหยาดฟ้าประกาศรับสมัครหญิงที่กล้าจับอาวุธมาเป็นทหารหญิงประจำป้อมปราการบนกำแพงเมืองคอยช่วยทหารชายรักษาพระนครอีกแรงหนึ่ง และได้ร่วมกับพ่อหมอมังคละฝึกให้ทหารหญิงเหล่านั้นหัดยิงธนูจนชำนาญ
สงครามที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสงามของปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เยี่ยงอูหม่อง เมื่อนายทหารอังกฤษได้ถอนตัวไปและให้กองทัพทหารจีนฮ่อเข้ามาประจำการแทน อูหม่องก็เร่งสร้างความสนิทสนมกับนายพลทหารจีนฮ่อคนหนึ่งทันที แผนร้ายถูกกำหนดขึ้นโดยการล่อใจทหารจีนด้วยมหาสมบัติในท้องพระคลังและอัญมณีล้ำค่าของเมืองเวียงแถน ตลอดจนหญิงงามในเมืองโดยเฉพาะเจ้านางคำหยาดฟ้าผู้เลอโฉม ซึ่งมีอดีตเจ้าชายของราชวงศ์รับประกันว่ามีอยู่จริง ความโลภโมโทสันจึงได้บังเกิดขึ้นในใจของทหารเลวคนนั้น มันสมยอมแบ่งปันทหารส่วนหนึ่งของกองทัพเข้าร่วมย่ำยีเมืองเวียงแถนกับอูหม่อง!
อดีตนายพลตาเดียวเหิมเกริมถึงกับส่งทหารกองผสม ซึ่งมีทั้งทหารจากเมืองจองลอง ทหารจีนและพม่า บุกเข้าโจมตีเพื่อลองหยั่งเชิงกำลังป้องกันพระนคร และเพราะมันมีน้อยจอมแปงซึ่งทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในกำแพงเมือง คอยลอบส่งข่าวให้รู้ถึงอุบายค่ายกล ตลอดจนหลุมกับดักทั้งหลาย พวกมันจึงสามารถยกกองกำลังหลายพันนายเข้ามาประชิดจนใกล้ติดกำแพงพระนคร
ลานกว้างห่างกำแพงเมืองออกไปไม่มากจึงกลายเป็นสมรภูมิเดือด โชคยังดีที่ทหารโจรเหล่านี้มิได้ใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพ ส่วนใหญ่ใช้เพียงปืนไฟโบราณกับอาวุธจำพวกหอกดาบและธนู ไม่ต่างกันกับเมืองเวียงแถน การยุทธจึงสูสีกันที่อาวุธ แต่จำนวนทหารของอูหม่องมีมากกว่าประมาณเท่าตัว กระนั้นมันก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่กองทัพมีทหารหลายกลุ่ม และรบไม่ค่อยเข้าขากัน
ครานั้นเจ้านางคำหยาดฟ้าในชุดของบุรุษ เคียนเศียรและรัดอกภายใต้ตัวเสื้อด้วยผ้าแถบจนแน่น ยืนถือคันธนูคู่ใจอยู่บนกำแพงเมือง คอยบัญชาการป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกขึ้นโจมตีกำแพงเมืองให้เบื้องหลัง ในยามที่เจ้าชายนักรบต้องออกทำศึกอยู่แนวหน้า ซึ่งก็ทำให้แม่ทัพหนุ่มเบาใจลงเป็นอันมาก
ขุนศึกคู่บารมีของจอมทัพพรหมภูมินทร์ ทั้งที่มาจากเมืองห้วยยางลายและขุนศึกของเมืองเวียงแถนต่างชักม้าศึกเข้ารบระยะประชิด เนื่องจากปืนคาบศิลานั้นยิงหวังผลได้ไม่แม่นยำนัก และเสียเวลาในการบรรจุกระสุนใหม่ เจ้านางนักแม่นธนูสั่งให้ทหารบนกำแพงเมืองโหมตีกลองและส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญจนดังกระหึ่ม มือธนูหญิงก็ระดมยิงลูกธนูเข้าใส่ข้าศึกดังห่าฝน
ร่างสูงสง่าผงาดอยู่บนหลังอาชาสีหมอก ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหารหาญ เพลงดาบที่ฟาดฟันแตกต่างกับมันผู้บังอาจต่อกร เมื่อเนตรคมดุจ้องเอาชีวิตคู่ต่อสู้คนใด มันผู้นั้นถึงกับหนาวยะเยือกขึ้นทั้งกาย และเมื่อมันชะงักการเคลื่อนไหวลงเพียงชั่วพริบตา ดาบวาววับก็ตวัดเข้าใส่ก้านคอคู่ต่อสู้ทันที
“ฉับ”
โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นฟูฝอย ดาบเดียวตัดหัวหลุดกระเด็น ครั้นแล้วจึงตวัดดาบกลับมาป้องกันกายจากคมดาบกว่าห้าถึงหกดาบ เสียงโลหะปะทะกันดังเคล้งคล้างเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท ก่อนตวัดผลักดาบเหล่านั้นออกไปด้วยพละกำลังดั่งพญาราชสีห์
อาชาสีหมอกราวรู้ใจเจ้านาย มันยกขาคู่หน้าขึ้นเตะข้าศึกตรงหน้าจนกระเด็นไป พอขาคู่หน้าลงแตะพื้น ขาแข็งแรงคู่หลังก็ยกขึ้นเตะเจ้าทหารคนข้างหลังให้ล้มระเนระนาด แล้วพลันผงกหัวหันกลับ เปิดโอกาสให้ดาบของเจ้านายบนหลังมันกวาดร่างทหารที่กลุ้มรุม คมดาบตัดร่างศัตรูขาดเป็นสองท่อน ชิ้นส่วนกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดน่าสยดสยอง พลานุภาพแห่งม้าวิเศษกับศักดาเดชจากเพลงดาบได้ทำให้ทหารโจรเหล่านั้นเกิดความครั่นคร้าม แม้นอาชาสีหมอกตะลุยไปถึงไหนต่างพากันแตกฮือกันออกไปราวผึ้งแตกรัง
ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดข้ามวันข้ามคืน ฝ่ายหนึ่งต้องการชัยชนะเพื่อยึดครองทรัพย์สินมหาสมบัติและชำระแค้น อีกฝ่ายมุ่งมั่นป้องกันบ้านเมืองไว้จนสุดชีวิต กลิ่นคาวเลือดและซากศพเรียงรายระเกะระเกะนับไม่ถ้วน เศษซากอาวุธที่ใช้โรมรันกระจายเกลื่อนเต็มลานบ่งบอกสภาพการสู้รบอันดุเดือดรุนแรง
การเข้าตะลุมบอนนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่แม้เสียเปรียบเรื่องกำลังคน ทหารเมืองเวียงแถนทุกผู้ก็มิได้ย่นย่อ เร่งเข้าป้องกันมิให้ข้าศึกเข้าถึงกำแพงเมือง พลปืนเมื่อกระสุนปืนหมดก็ตรงเข้าต่อกรด้วยดาบปลายปืน กวัดแกว่งทิ่มแทงทั้งซ้ายขวา ฟาดฟันจนสองมือชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ หมดจากดาบปลายปืนหักกระเด็นไปก็หันเข้าประจันต่อด้วยมือเปล่า ทั้งหมัดศอกและวิชามวยปล้ำ แม้นทหารคนหนึ่งล้มลง อีกคนก็โผนเข้าป้องกันยันเอาไว้ มิยอมให้ศัตรูรุกคืบได้สักก้าว
พ้นจากร่างร่วงหล่นของทหาร บุรุษผู้เฒ่าที่ป้องกันอยู่ตรงช่องประตูเป็นด่านสุดท้าย ต่างดาหน้าออกมาขัดขวางด้วยสรรพอาวุธเท่าที่มี ทั้งจอบเสียมและมีดพร้า บนป้อมปราการก็มีนักแม่นธนูหญิงยิงเล็งเป้า หญิงชรากับเด็กชายหญิงเร่งเหลาไม้ทำลูกธนูชุบยาพิษคอยลำเลียงส่งให้นักรบสาว ความสามัคคีกันเช่นนี้จึงยันกองทัพข้าศึกเอาไว้ได้ และเมื่อพวกมันเสียหายหนักประกอบกับอ่อนแรงลง จึงพากันถอยทัพกลับไปในที่สุด
ริษยารักข้ามภพ ตอนที่ 22
โดย...ล. วิลิศมาหรา
สงครามครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติได้อุบัติขึ้นอีกครั้งเพราะความอหังการใคร่ครอบครองโลกทั้งใบของเหล่าทุรชน ทำให้ผู้คนทุกหย่อมหญ้าเดือดร้อนไปทั่ว ดินแดนระหว่างแม่น้ำคง(แม่น้ำสาละวิน)และแม่น้ำโขงตอนกลาง บริเวณชายแดนพม่าแถบรัฐฉานและเมืองเชียงตุงได้มีกองกำลังต่างชาติเข้าสู้รบห้ำหั่นกัน เมืองเหล่านั้นต้องตกอยู่ท่ามกลางไฟสงคราม บรรดาไพร่ฟ้าต่างพากันหลบหนีเข้ามาอยู่ภายในกำแพงพระนคร บ้างก็กระจัดกระจายย้ายถิ่นฐานหนีภัยสงครามลึกเข้าไปในป่า เกิดภาวะอดอยากข้าวยากหมากแพงไปทั่วทั้งเมือง
เป็นโชคดีของเมืองเวียงแถนที่กองทัพจีนฮ่อซึ่งอยู่ข้างอังกฤษ กับกองทัพสยามซึ่งอยู่ฝ่ายญี่ปุ่นยังสู้รบยันกันอยู่ ณ เมืองเชียงตุง มิได้เลยมาถึงที่นี่ แต่เพื่อความไม่ประมาท เจ้าชายพรหมภูมินทร์จึงเร่งให้ซ่อมแซมป้อมปราการและตัวกำแพงเมืองเพื่อให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งแต่เดิมก็มีความแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว เพราะสร้างมาจากศิลาแลงถึงสองชั้นจึงทั้งสูงทั้งหนา และเร่งสะสมเสบียงอาหารเตรียมไว้ในเขตพระนคร
เรื่องที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นเรื่องของอาวุธที่ต้องใช้ป้องกันเมือง ซึ่งขณะนี้มีเพียงปืนใหญ่โบราณไม่กี่กระบอก กับปืนคาบศิลาจำนวนไม่มากนัก มิหนำซ้ำอาวุธที่มีส่วนใหญ่ก็เป็นระยะประชิดเช่น หอกใบกว้าง หอกซัด มีดดาบและเหลนหลาว อาวุธที่น่าจะพอใช้ต่อสู้ระยะไกลได้ผลดีหน่อยก็เป็นพวกธนูกับหน้าไม้ ซึ่งล้วนแต่ล้าสมัยไร้ประสิทธิภาพ ไม่อาจเทียบได้กับปืนไฟไรเฟิล ปืนกลและปืนใหญ่สมัยใหม่ที่ขณะนั้นมีใช้กันอยู่ในทุกกองทัพ และตนเองก็ยังไม่รู้ว่าศัตรูจะเป็นพวกใด
ดังนั้นจึงให้เพิ่มอานุภาพอาวุธ โดยใช้ยางพิษจากพันธุ์ไม้พิษที่พ่อหมอมังคละเร่งผลิตขึ้น ฉาบติดลูกธนูและหน้าไม้ ให้หนานอินเฟือนและหนานวงศาฝึกทหารสู้รบแบบกองโจร อีกทั้งยังแบ่งขุนทหารที่เชี่ยวชาญการรบออกเป็นกองร้อยย่อยๆ หลายกองเพื่อสะดวกในการดักซุ่มโจมตี ฝึกปรือการใช้อาวุธชั้นเลวให้เปลี่ยนเป็นอาวุธร้ายแรง เช่น ฝึกการใช้ดาบติดปลายปืนให้ชำนาญ และให้พ่อหมอมังคละฝึกหัดมวยปล้ำแบบมองโกลที่สามารถหักคอคนได้ในพริบตาให้กับทหารราบ ยามเมื่อพวกเขาต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า
นอกจากนี้ยังสั่งให้เร่งขุดหลุมขวากสร้างกับดักไว้ในราวป่ารอบพระนคร และขุดหลุมอำพรางตัวสำหรับหน่วยจารกรรมที่ต้องลอบเข้าโจมตีกองเสบียงและทำลายคลังอาวุธเพื่อตัดกำลังศัตรู พอเสร็จภารกิจก็ให้รีบหลบเข้าหลุมพรางกำบังกาย ต่อเมื่อได้รับสัญญาณจึงออกมาทำการจารกรรมใหม่
ส่วนในด้านป้องกันรักษาเมืองนั้น เจ้าชายให้จัดทหารออกลาดตระเวนไปไกลหลายลี้และจัดเวรยามเฝ้าระวังภัยตรวจตรารอบพระนครอย่างเข้มงวด
เมืองเล็กเมืองน้อยแถบเดียวกันกับเมืองเวียงแถน แม้พ้นภัยจากกองทัพใหญ่ของทหารต่างชาติ แต่กลับมีภัยจากทหารไร้วินัยซึ่งแตกทัพมา ทหารเหล่านั้นเข้าปล้นสะดมและเที่ยวเข่นฆ่าประชาชนจนเกิดทุกข์เข็ญไปทั่ว
เมืองเวียงแถนนับว่าโชคดีที่มีเจ้าชายพรหมภูมินทร์ ผู้ซึ่งมองการณ์ไกลและเก่งกล้าสามารถ กับมีแม่ทัพนายกองล้วนเข้มแข็งห้าวหาญเชี่ยวชาญในการรบเช่นแม่ทัพอินเฟือนและหนานวงศา ตลอดจนขุนศึกจากเมืองห้วยยางลายที่ติดตามเจ้าชายมา ผสมกับขุนศึกผู้กล้าของเมืองเวียงแถน เช่นนี้แล้วทหารโจรจึงยังมีความเกรงกลัวไม่กล้าเข้ามาตอแยสุ่มสี่สุ่มห้า ดังนั้นจึงสามารถปกป้องเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานของบรรดาทหารโจรได้หลายครั้ง เมืองเวียงแถนจึงยังอยู่รอดปลอดภัยดี
แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งการศึก มหาสงครามที่เกิดขึ้นในดินแดนชาวไทครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งกว่าตอนที่ถูกพม่ารามัญบุกเข้ารุกรานหลายเท่าเนื่องจากเป็นศึกหลายด้าน ดังนั้นแม้เป็นหญิงก็จำต้องลุกขึ้นจับอาวุธต่อสู้ป้องกันเมือง
เจ้านางคำหยาดฟ้าประกาศรับสมัครหญิงที่กล้าจับอาวุธมาเป็นทหารหญิงประจำป้อมปราการบนกำแพงเมืองคอยช่วยทหารชายรักษาพระนครอีกแรงหนึ่ง และได้ร่วมกับพ่อหมอมังคละฝึกให้ทหารหญิงเหล่านั้นหัดยิงธนูจนชำนาญ
สงครามที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสงามของปีศาจร้ายในคราบมนุษย์เยี่ยงอูหม่อง เมื่อนายทหารอังกฤษได้ถอนตัวไปและให้กองทัพทหารจีนฮ่อเข้ามาประจำการแทน อูหม่องก็เร่งสร้างความสนิทสนมกับนายพลทหารจีนฮ่อคนหนึ่งทันที แผนร้ายถูกกำหนดขึ้นโดยการล่อใจทหารจีนด้วยมหาสมบัติในท้องพระคลังและอัญมณีล้ำค่าของเมืองเวียงแถน ตลอดจนหญิงงามในเมืองโดยเฉพาะเจ้านางคำหยาดฟ้าผู้เลอโฉม ซึ่งมีอดีตเจ้าชายของราชวงศ์รับประกันว่ามีอยู่จริง ความโลภโมโทสันจึงได้บังเกิดขึ้นในใจของทหารเลวคนนั้น มันสมยอมแบ่งปันทหารส่วนหนึ่งของกองทัพเข้าร่วมย่ำยีเมืองเวียงแถนกับอูหม่อง!
อดีตนายพลตาเดียวเหิมเกริมถึงกับส่งทหารกองผสม ซึ่งมีทั้งทหารจากเมืองจองลอง ทหารจีนและพม่า บุกเข้าโจมตีเพื่อลองหยั่งเชิงกำลังป้องกันพระนคร และเพราะมันมีน้อยจอมแปงซึ่งทำตัวเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในกำแพงเมือง คอยลอบส่งข่าวให้รู้ถึงอุบายค่ายกล ตลอดจนหลุมกับดักทั้งหลาย พวกมันจึงสามารถยกกองกำลังหลายพันนายเข้ามาประชิดจนใกล้ติดกำแพงพระนคร
ลานกว้างห่างกำแพงเมืองออกไปไม่มากจึงกลายเป็นสมรภูมิเดือด โชคยังดีที่ทหารโจรเหล่านี้มิได้ใช้อาวุธที่ทรงอานุภาพ ส่วนใหญ่ใช้เพียงปืนไฟโบราณกับอาวุธจำพวกหอกดาบและธนู ไม่ต่างกันกับเมืองเวียงแถน การยุทธจึงสูสีกันที่อาวุธ แต่จำนวนทหารของอูหม่องมีมากกว่าประมาณเท่าตัว กระนั้นมันก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่กองทัพมีทหารหลายกลุ่ม และรบไม่ค่อยเข้าขากัน
ครานั้นเจ้านางคำหยาดฟ้าในชุดของบุรุษ เคียนเศียรและรัดอกภายใต้ตัวเสื้อด้วยผ้าแถบจนแน่น ยืนถือคันธนูคู่ใจอยู่บนกำแพงเมือง คอยบัญชาการป้องกันไม่ให้ข้าศึกบุกขึ้นโจมตีกำแพงเมืองให้เบื้องหลัง ในยามที่เจ้าชายนักรบต้องออกทำศึกอยู่แนวหน้า ซึ่งก็ทำให้แม่ทัพหนุ่มเบาใจลงเป็นอันมาก
ขุนศึกคู่บารมีของจอมทัพพรหมภูมินทร์ ทั้งที่มาจากเมืองห้วยยางลายและขุนศึกของเมืองเวียงแถนต่างชักม้าศึกเข้ารบระยะประชิด เนื่องจากปืนคาบศิลานั้นยิงหวังผลได้ไม่แม่นยำนัก และเสียเวลาในการบรรจุกระสุนใหม่ เจ้านางนักแม่นธนูสั่งให้ทหารบนกำแพงเมืองโหมตีกลองและส่งเสียงโห่ร้องข่มขวัญจนดังกระหึ่ม มือธนูหญิงก็ระดมยิงลูกธนูเข้าใส่ข้าศึกดังห่าฝน
ร่างสูงสง่าผงาดอยู่บนหลังอาชาสีหมอก ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเหล่าทหารหาญ เพลงดาบที่ฟาดฟันแตกต่างกับมันผู้บังอาจต่อกร เมื่อเนตรคมดุจ้องเอาชีวิตคู่ต่อสู้คนใด มันผู้นั้นถึงกับหนาวยะเยือกขึ้นทั้งกาย และเมื่อมันชะงักการเคลื่อนไหวลงเพียงชั่วพริบตา ดาบวาววับก็ตวัดเข้าใส่ก้านคอคู่ต่อสู้ทันที
“ฉับ”
โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นเป็นฟูฝอย ดาบเดียวตัดหัวหลุดกระเด็น ครั้นแล้วจึงตวัดดาบกลับมาป้องกันกายจากคมดาบกว่าห้าถึงหกดาบ เสียงโลหะปะทะกันดังเคล้งคล้างเสียดแทงเข้าไปในโสตประสาท ก่อนตวัดผลักดาบเหล่านั้นออกไปด้วยพละกำลังดั่งพญาราชสีห์
อาชาสีหมอกราวรู้ใจเจ้านาย มันยกขาคู่หน้าขึ้นเตะข้าศึกตรงหน้าจนกระเด็นไป พอขาคู่หน้าลงแตะพื้น ขาแข็งแรงคู่หลังก็ยกขึ้นเตะเจ้าทหารคนข้างหลังให้ล้มระเนระนาด แล้วพลันผงกหัวหันกลับ เปิดโอกาสให้ดาบของเจ้านายบนหลังมันกวาดร่างทหารที่กลุ้มรุม คมดาบตัดร่างศัตรูขาดเป็นสองท่อน ชิ้นส่วนกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดน่าสยดสยอง พลานุภาพแห่งม้าวิเศษกับศักดาเดชจากเพลงดาบได้ทำให้ทหารโจรเหล่านั้นเกิดความครั่นคร้าม แม้นอาชาสีหมอกตะลุยไปถึงไหนต่างพากันแตกฮือกันออกไปราวผึ้งแตกรัง
ทหารทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดข้ามวันข้ามคืน ฝ่ายหนึ่งต้องการชัยชนะเพื่อยึดครองทรัพย์สินมหาสมบัติและชำระแค้น อีกฝ่ายมุ่งมั่นป้องกันบ้านเมืองไว้จนสุดชีวิต กลิ่นคาวเลือดและซากศพเรียงรายระเกะระเกะนับไม่ถ้วน เศษซากอาวุธที่ใช้โรมรันกระจายเกลื่อนเต็มลานบ่งบอกสภาพการสู้รบอันดุเดือดรุนแรง
การเข้าตะลุมบอนนำมาซึ่งความสูญเสีย แต่แม้เสียเปรียบเรื่องกำลังคน ทหารเมืองเวียงแถนทุกผู้ก็มิได้ย่นย่อ เร่งเข้าป้องกันมิให้ข้าศึกเข้าถึงกำแพงเมือง พลปืนเมื่อกระสุนปืนหมดก็ตรงเข้าต่อกรด้วยดาบปลายปืน กวัดแกว่งทิ่มแทงทั้งซ้ายขวา ฟาดฟันจนสองมือชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ หมดจากดาบปลายปืนหักกระเด็นไปก็หันเข้าประจันต่อด้วยมือเปล่า ทั้งหมัดศอกและวิชามวยปล้ำ แม้นทหารคนหนึ่งล้มลง อีกคนก็โผนเข้าป้องกันยันเอาไว้ มิยอมให้ศัตรูรุกคืบได้สักก้าว
พ้นจากร่างร่วงหล่นของทหาร บุรุษผู้เฒ่าที่ป้องกันอยู่ตรงช่องประตูเป็นด่านสุดท้าย ต่างดาหน้าออกมาขัดขวางด้วยสรรพอาวุธเท่าที่มี ทั้งจอบเสียมและมีดพร้า บนป้อมปราการก็มีนักแม่นธนูหญิงยิงเล็งเป้า หญิงชรากับเด็กชายหญิงเร่งเหลาไม้ทำลูกธนูชุบยาพิษคอยลำเลียงส่งให้นักรบสาว ความสามัคคีกันเช่นนี้จึงยันกองทัพข้าศึกเอาไว้ได้ และเมื่อพวกมันเสียหายหนักประกอบกับอ่อนแรงลง จึงพากันถอยทัพกลับไปในที่สุด