ณ สุดปลายรัก (บทที่ 1 - บทที่ 2)

ช่วงนี้เป็นระยะเลือกตั้งครั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกาค่ะ คราวนี้ใหญ่จริงๆ เพราะมีอนาคตของประเทศเป็นเดิมพันในเมื่อมีคนที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในโลกเป็นตัวแทนของพรรคใหญ่ 1 ใน 2 พรรค ก็เลยคิดถึงเรื่องนี้ซึ่งเขียนไว้เมื่อ 6-7 ปีมาแล้ว เรื่องนี้พิมพ์รวมเล่มกับสำนักพิมพ์แจ่มใสค่ะ แรงบันดาลใจของพระเอกในเรื่องนี้ตอนนั้นมาจาก congressman คนหนึ่งซึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว มาตอนนี้กำลังเห็นใจ congressman อีกคนที่มาจากคนละพรรคกับคนนั้น แต่บังเอิญนามสกุลเดียวกัน คือ Paul Ryan คนนี้เป็น House Speaker ด้วย คือเป็นหัวหน้าของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาที่สังกัดพรรค Republican เหตุเพราะผู้แทนพรรคเข้าเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีกำลังพาคนอื่นๆ ที่ up for election ด้วย (แหะๆ คิดภาษาไทยคำนี้ไม่ออก) ลงเหวตามไปด้วย ก็เลยอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะสนับสนุน Trump เต็มที่ก็ทำได้ไม่หมดใจเพราะ Trump หยาบคาย กักขฬะ มีพฤติกรรมต่ำทราม (พูดตรงๆ) ไม่ได้รู้เรื่องการบริหารประเทศหรืออะไรเลย แต่ในเมื่อเป็นตัวแทนของประชาชนเลือก ก็จำต้องยอมสนับสนุนแบบครึ่งๆ กลางๆ ยอมถูกด่าเสียเอง congressman ที่มีตำแหน่ง Speaker of the House ซึ่งอันดับ 3 ของผู้นำประเทศ หมายถึงว่าถ้าประธานาธิบดีกับรองประธานาธิบดีเป็นอะไรไป คนในตำแหน่งนี้ก็จะเข้าเป็นผู้นำประเทศแทนค่ะ



ส่วนตัวเองกำลังรอ ballot ที่จะส่งมาให้ที่บ้าน จะออกเสียงล่วงหน้า วันที่ 8 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเลือกตั้งมีสอนทั้งวันเลย เป็น registered Democrat ตัดสินใจไม่ยากเลยค่ะว่าจะโหวตให้ใคร ยิ่งเลือกตั้งคราวนี้ยิ่งง่าย ที่จริง 2 ครั้งก่อนก็ง่าย ที่จริง (อีกที) อยากให้เป็น Obama-Biden อีกครั้ง แต่เป็นไปไม่ได้แล้วเม่าโศก

เรื่องนี้เข้ากับบรรยากาศตอนนี้ดีค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่ยาว ถึงวันเลือกตั้งก็คงลงได้จบค่ะ เป็นเรื่องที่สั้นที่สุดที่เคยเขียน แต่ก็ยังลง ในฝั่งฝัน กับ เพียงเธอ ด้วยนะคะ


  
ณ สุดปลายรัก



บทที่ 1



    เสียงโทรศัพท์มือถือดังอยู่นานแค่ไหนเธอไม่แน่ใจ เปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ได้ยินแล้ว คว้าขึ้นดูหมายเลขคนโทรเข้า ก็เห็นชื่อน้องชาย

    “ก้า…มีอะไร โทรมาเสียดึกเลย”

    เสียงตอบกลับฟังดูเร่งร้อนและขาดเป็นช่วงๆ เหตุก็เพราะคนพูดเน้นทุกคำเพื่อให้คนฟังเข้าใจว่าสถานการณ์ตึงเครียดเพียงไร

    “พี่รัญ…มาบ้านเดี๋ยวนี้เลย...ณิชเจ็บหนัก…รถชนกัน...ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลนะ มาด่วนเลย”

    โทรศัพท์แทบหล่นจากมือหญิงสาวเมื่อจับใจความได้ และเข้าใจความหมายในเรื่องเหลือเชื่อนั้น

    “ว่าไงนะก้า เป็นไปได้ไง เมื่อเย็นพี่ยังคุยกับณิชเรื่องหลานอยู่เลย”

    แม้ใจจะยังไม่อยากเชื่อ แต่สมองก็ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เธอกดขยายเสียงบนตัวเครื่อง แล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียงตามเดิม ถลาไปที่ตู้เสื้อผ้า ดึงสเวตเตอร์ตัวเก่งลงมาจากไม้แขวนพร้อมกางเกงยีน สวมทั้งเสื้อทั้งกางเกงอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ปากก็รัวคำถามไปด้วย

    “เรื่องมันเป็นยังไง ตอนนี้ณิชเป็นไงบ้าง อาการหนักไหม”

    ผู้เป็นน้องชายตอบเพียงสองคำถามหลัง รู้ว่าถ้าตอบคำถามแรกในเวลานี้ เรื่องคงยาว

    “ตอนที่เขาพามาโรงพยาบาล เห็นว่าณิชมันไม่รู้สึกตัวแล้ว ตอนนี้รู้แค่นี้แหละ ณิชมันยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน”

“แล้วเรื่องเป็นยังไง” ยังไม่ยอมให้คำถามนั้นผ่านไปง่ายๆ โดยไม่ได้รับคำตอบ “ณิชขับรถไปไหนค่ำๆ มืดๆ แถมอากาศแบบนี้ด้วย”

“ณิชมันไม่ได้เป็นคนขับหรอกพี่รัญ รถนั่นก็ไม่ใช่รถของณิช”

“รถของใคร แล้วใครขับ”

อีกด้านของสายเงียบไป และผู้เป็นพี่สาวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น

“รถใคร ก้า”

“รี้ด”

มือเล็กๆ ที่กำลังดึงเสื้อโค้ตตัวหนาจากไม้แขวนมาสวมถึงกับชะงัก

“รี้ด? รี้ด บอลด์วิน?”

“นั่นล่ะ”

รัญญาสูดลมหายใจยาวเพื่อระงับสติอารมณ์ คว้ากระเป๋าสะพายจากโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นคล้องบ่า หยิบกุญแจรถพร้อมโทรศัพท์มือถือกลับขึ้นแนบหู

“คิดว่าณิชกับนายนั่นเลิกยุ่งเกี่ยวกันแล้ว” ประโยคนั้นเหมือนรำพึงกับตัวเอง “แค่นี้ก็แล้วกันนะก้า พี่จะไปให้ถึงเร็วที่สุด”

“โอเค ขับรถระวังหน่อยแล้วกัน แถวนั้นหิมะคงกำลังลงหนัก”

ไม่ใช่หิมะหรอกที่กำลังลงหนัก แต่เป็นฝน และเป็นฝนที่ร้ายกว่าฝนธรรมดาหลายเท่า เสียงละอองน้ำแข็งตกต้องหลังคารถ ฟังดูไม่ต่างอะไรกับมีใครโปรยทรายลงบนนั้นเมื่อหญิงสาวถอยรถออกจากที่จอด น้ำแข็งเริ่มเกาะกระจกด้านหน้าอย่างรวดเร็ว และที่ปัดน้ำฝนก็ต้องทำงานอย่างหนัก

รัญญาเร่งความร้อนภายในรถขึ้นอีก เพ่งพื้นถนนจนปวดกระบอกตา เกล็ดน้ำแข็งที่พร่างพรูลงมาสะท้อนแสงไฟหน้ารถดูพร่าพราย ดีที่พายุเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน น้ำแข็งยังไม่ทันได้เกาะพื้นถนนนานจนอัดแน่นกลายเป็นแผ่น และเวลานี้ก็ดึกแล้ว จึงมีรถสวนไปมาน้อยมาก ในเวลาแบบนี้ใครๆ ก็คงอยากอยู่แต่ภายในบ้าน แน่ใจว่าพรุ่งนี้มหาวิทยาลัยของเธอคงปิด และเธอก็ไม่มีชั่วโมงสอน เรื่องนั้นจึงหมดห่วงไปได้ คืนนี้ไม่ต้องรีบร้อนกลับ

ยิ่งใกล้ทางออกถนนหลวงระหว่างรัฐ ถนนก็ยิ่งลื่นขึ้นทุกที ยิ่งไม่มีความร้อนจากเครื่องยนต์รถที่วิ่งผ่านไปมาช่วยละลายน้ำแข็งบนผิวถนน ก็ยิ่งน่ากลัว
หัวรถปัดไปนิดหนึ่งเมื่อเลียบออกข้างทางซึ่งนำขึ้นถนนสายหลัก พอดีกับรถสิบแปดล้อพุ่งผ่านหน้าไป พาเอาทั้งน้ำและน้ำแข็งกระเซ็นกลบทั้งกระจกหน้าและกระจกด้านข้างของรถ รัญญาสบถอย่างหัวเสีย ยิ่งมองทางลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้แทบไม่เห็นอะไรเลย

รถชะลอลงจนเกือบหยุดอยู่กับที่เมื่อเธอเร่งที่ปัดน้ำฝนให้ทำงานเร็วขึ้นอีก

คิดว่าสภาพบนทางหลวงระหว่างรัฐจะดีกว่าถนนสายรอง แต่ก็เปล่าเลย บนถนนหลวงมีรถมากกว่าก็จริง แต่ช่วงนี้ของทางหลวงมีเพียงฝั่งละสองเลน และในขณะที่รถเลนขวาคืบคลานเชื่องช้าเกือบเหมือนคลาน รถที่วิ่งผ่านไปบนเลนซ้ายแต่ละคันกลับพุ่งฉิวกันสมชื่อเลนรถผ่าน เธอจึงต้องคอยหลบหลีก วิ่งเลนขวาที ซ้ายที เลนขวาไม่ได้อย่างใจก็เข้าเลนซ้าย พอมีรถจ่อตามหลังมาก็กลับเข้าเลนขวาอีก อยากขับเร็วกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใจไปถึงโรงพยาบาลนานแล้ว

น้ำแข็งซึ่งเกาะอยู่บนกระจกหน้ารถเริ่มจับเป็นปื้นหนาขึ้นทุกที มองถนนยิ่งยากด้วย อุณหภูมิภายในรถและที่กระจกไม่ร้อนพอจะละลายน้ำแข็งได้เร็วกว่านี้ รัญญาจำต้องดันคันบังคับขึ้นเพื่อหยุดการทำงานของที่ปัดน้ำฝน เพราะทุกครั้งที่มันกวาดไปบนกระจก น้ำแข็งกลับยิ่งจับตัวหนาขึ้นอีก

ฝ่ามือที่กุมแน่นอยู่กับพวงมาลัยรถนั้นชื้นเหงื่อจนเธอรู้สึกได้ เหลือบดูตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัดรถ เกือบห้าทุ่มแล้ว ในเวลาปกติ จากเมืองมหาวิทยาลัยที่เธอทำงานไปเมืองซึ่งเธออยู่อาศัยมาแต่เล็กแต่น้อยนั้นใช้เวลาไม่เกินสี่สิบนาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไปตามทางหลวงระหว่างรัฐตลอดสาย แต่ในสภาพอากาศและสภาพถนนแบบนี้คงนานกว่านั้นอย่างแน่นอน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่