ในที่สุดเราก็ได้ไปเห็นแสงเหนือแล้วววววว!!
หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อนเคยมีแพลนจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์ แต่ขอวีซ่าไม่ทันจึงเปลี่ยนไปตุรกีแทน ซึ่งเพื่อนกะว่าจะมารีวิวในพันทิปจนตอนนี้ก็ยังไม่เริ่มเลยฮ่าๆ ครั้งนี้เราเลยอยากลองมาแบ่งปันประสบการณ์เที่ยวในไอซ์แลนด์ ที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คนไทยมากันเยอะแล้วเนาะ
เริ่มจากปลายปีที่แล้วอยู่ดีๆก็เจอตั๋วโปร Qatar BKK to Copenhagen เพียง 15,xxx บาท รออะไรรีบโทรชวนเพื่อนจองกันข้ามปีเลยสิฮะ ก็ได้สมาชิกมากันทั้งหมด 5 คน ตัดสินใจเลือกช่วงปลายกันยาถึงต้นตุลา เพราะเพิ่งจะเริ่มหน้าหนาว ขับรถน่าจะง่ายไม่มีหิมะ และกลางวันกลางคืนก็อย่างละครึ่งจะได้เที่ยวได้ทั้งเช้าเย็น อารมณ์ทำใจไว้ล่วงหน้าถ้าไม่เจอแสงเหนือได้เที่ยวกลางวันก็ยังดี 55
ก่อนไปเราก็จอดรถผ่าน Web dealer ได้ของ City car rental เป็นรถ Suzuki 7 ที่นั่งไว้พับเบาะหลังใส่กระเป๋าเดินทาง ตอนเอารถเกือบใส่กระเป๋ากันไม่หมดจ้า ขนาดใช้กระเป๋าไซส์กลางกันทุกคนแล้ว ใครจะไปไม่ควรเอาใบใหญ่ไปกันเนาะ ยิ่งถ้าจองรถช้ารถก็จะมีให้เลือกน้อยแบบเราด้วยอ่า เพราะส่วนใหญ่มีแต่เกียร์กระปุก แล้วก็จอง pocket wifi ไปจากไทยเลยด้วย
วันที่ 1
เดินทางมาถึงสนามบินโคเปนฮาเกน ระหว่างรอต่อเครื่องไปยังไอซ์แลนด์ พวกเราก็เลยแพลนออกไปเที่ยวในเมืองประมาณ 4 ชม. ใครที่ใช้สายการบิน Iceland air สามารถโหลดกระเป๋าได้เลยนะไม่ต้องรอก่อนเกทเปิด 3 ชม.เหมือนสายการบินอื่น
พวกเราก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองสะดวกมากจากสนามบินไปใจกลางเมืองเพียง 15 นาทีเอง ซื้อตั๋วไป 36 DKK เดินไปแปปนึงก็เจอ Nyhavn ตึกสีสันที่หลายคนน่าจะคุ้นตา
เสร็จแล้วก็เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับ Amalienborg เป็นวังที่มีทหารเดินเปลี่ยนแถวไปมา พร้อมอนุสาวรีย์ตรงกลาง
จากนั้นก็เริ่มภารกิจเดินตามหา Mermaid ที่หลงทางกันอยู่นานจนไปเจอน้ำพุที่สวนนึงก็สวยดีนะ
จากสวนนี้แหละที่มีทางเดินจนไปถึง The little mermaid แต่แสงไม่เป็นใจ แดดแรงได้อีก หน้าคนเข้าไปก็ดำสิฮะ คนต่อแถวถ่ายรูปคู่อย่างเยอะจังหวะนี้มิสู้จริงๆ
เหยยยเที่ยวครบละ รีบเดินกลับไปหาของกิน ระหว่างทางก็จับโปเกมอนกันไปค่า แล้วก็รีบกลับสนามบินกลัวจะตกเครื่องซะก่อนเนาะ
พอมาถึงไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ ก่อนเครื่องจอดมองออกไปนี่มันเมืองอะไรรร ดูแห้งแล้งเหลือเกินมีแต่ดิน หิน หญ้า บ้านคนแทบไม่มี รีบเอากระเป๋า แลกเงินยูโรเป็น isk ในสนามบิน พร้อมซื้อซิมมือถือ Siminn 1 อัน ที่ supermarket อันนี้สำคัญมากขอย้ำพร้อมดาวสามดวง ไว้กรณีฉุกเฉินต้องมีโทรศัพท์ติดไว้จริงๆนะ
หลังจากเอารถเสร็จพวกเราก็รีบไป Blue lagoon เป็นที่แรก มันอยู่ใกล้สนามบินด้วย มันสวยมากจริงๆ น้ำสีฟ้าจากซิลิก้า พร้อมวิวภูเขา แต่ดันโชคร้ายเป็นวันเสาร์คนเต็มค่า ต้องจองล่วงหน้า มองตาปริบๆ เลยเดินถ่ายรูปเล่นแปปนึง ก่อนเปลี่ยนแพลนมาวันสุดท้ายแทนละกันงี้ โดยห้องเปลี่ยนชุดเหมือนฟิตเนสเฟิร์ท มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำแบบประตูขุ่นเบาๆ ถ้าถอดก็ซีทรูกันไปค่ะ 55 สระค่อนข้างใหญ่พร้อมมีเครื่องดื่มและโคลนมาร์กหน้าด้วย
พวกเราเลยรีบกลับที่พักมาเช็คอิน แล้วออกไปหาข้าวเย็นในเมือง Reykjavik ตอนสามทุ่ม ร้านเริ่มปิดและเต็มค่ะ จบลงที่ร้านอาหารไทยตั้งแต่คืนแรกกกก คืออะไรรรเพิ่งจะบินมาจากไทยแท้ๆ เอาวะกินไปก่อนกันตายตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริปฮ่าๆ ก่อนกลับก็แวะถ่ายโบสถ์ตอนกลางคืน ทำไมถึงไม่เปิดไฟสวยๆ เหมือนตอนคนอื่นมาถ่ายกันนะง่อวว
วันที่ 2
ระหว่างออกเดินทางไป Þingvellir ก็เจอม้า แกะ แพะ ข้างทางเต็มเลย แอบจอดลงไปถ่ายเล่นกันแปปนึง ถ่ายออกมาเอ๊ะนี่อยู่เขาใหญ่รึป่าวนะฮ่าๆ
พอไปถึง National Park ก็เดินไปประมาณ 1.5 โลเพื่อไปดูน้ำตกที่แรก สวยงามมม พอกลับมาที่รถ เห้ยยยยแกมีใบสั่งหน้ารถวะ5555 นี่ต้องเสียค่าจอดรถด้วยนะ อย่าลืมจ่ายแบบพวกเรากันค่า เริ่มคิดจะซวยไรมั้ยยนะรีบเดินไปจ่ายเลยฮะ
เดินทางต่อไปยังน้ำพุร้อน Geysir แบบพุ่งขึ้นมาทุกๆ 5-10 นาทีแล้วแต่อารมณ์นาง พวกเราก็รอวนไปค่ะ ลืมใส่ถุงมือ ยืนถือกล้องรอกันจนมือแข็งเลยฮะ ถ่ายจากอีกฝั่งจะเห็นคนตั้งกล้องรอกันใจจดจ่อเลย เวลาพุ่งขึ้นมาก็จะมีกลิ่นไข่เน่าหรือตดเบาๆ ด้วย ใครปวดตดตอนนั้นก็ปล่อยเนียนๆ กันได้เลยนะอิอิ
ขับไปต่อกันที่น้ำตก Gullfoss เป็นน้ำตกที่ใหญ่และพลังทำลายร้างสูงมากกกกก คือแบบอยู่ไกลเป็นหลายร้อยเมตร แต่ลมแรงจนน้ำกระเด็นมาไกลจริงจรัง น้ำนี่เข้ากล้องพวกเราตลอด เลยถ่ายอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ณ จุดนี้คือทุกคนไม่สู้ 555 จริงๆ สามารถเดินเข้าไปใกล้ๆตรงฝั่งซ้ายของน้ำตกได้เลยน้า ทริปนี้พวกเราก็ต้องตัดน้ำตก Brúarfoss ออกไปเนื่องจากเวลาไม่ทัน เสียดายมากกก
วันที่ 3
พวกเราก็มุ่งหน้าไปน้ำตก Seljalandsfoss ซึ่งสามารถมองเห็นตั้งแต่ขับรถด้านนอก ซึ่งน้ำตกนี้ พวกเราลงความเห็นกันว่า ไม่ค่อยมีอะไร ดูธรรมดาถ้าเทียบกับน้ำตกอื่นๆ แต่ก็ถ่ายเก็บไว้ก่อนเนาะ
ระหว่างทางขับรถไป Skógafoss ข้างทางคือสวยมากกก นี่เหมือนเราอยู่บนท้องฟ้าเลย คือแบบใกล้ก้อนเมฆมากจริงๆ และแล้วก็มาถึงน้ำตกสายรุ้ง ตอนแรกมองหาไหนสายรุ้ง พวกเราพลาดแล้วมาผิดเวลาสินะ ก็ถ่ายรูปเล่นวนไปกัน จนใกล้จะกลับ อยู่ดีๆแดดมาสายรุ้งมาค่า วิ่งสิคะรีบกลับไปถ่ายกันใหม่ โชคดีแล้วพวกเราได้ซีนนี้ซะทีเนาะ ถึงแม้สายรุ้งจะมาเบาๆ ก็ตาม แต่ของจริงมันสวยมากจริงๆๆ นะ
จุดต่อไปซากเครื่องบิน เป็นสิ่งที่ไม่มีพิกัดแน่นอนอีก ต้องเดินเท้าเข้าไป 4 กม. ซึ่งขับมาสักพักก็ถึงจุด GPS ที่หามา อ้าวไหนไม่เห็นมีที่จอดไม่มีคน งงค่ะเลยไปล้าววว มะกี้ที่คนจอดข้างทางเยอะๆ อันนั้นแน่ ซึ่งมารู้หลังจากถึงเมือง Vik แล้วติดต่อเพื่อนที่ไทยที่เคยมาเที่ยว บรัยยยซากเครื่องบิน พลาดไปอีก 1 อย่าง
อ่ออออีกสาเหตุที่ทำให้พวกเราไม่ได้หาพิกัดใหม่ในตอนนั้น เพราะ pocket wifi ที่เช่ามาจากไทยใช้ไม่ได้แล้วค่ะพี่น้องงงตั้งแต่วันที่สองเครื่องก็เอ๋อ(ซึ่งตอนหลังเค้ายินดีจะคืนเงินให้ทั้งหมดเนื่องจากเราแทบไม่ได้ใช้เลย) ยังดีที่มีซิมที่ซื้อตอนแรกพร้อมเนตอันน้อยนิดใช้นำทางและหาข้อมูลได้นิดหน่อย และต้องรอใช้เนตตามร้านอาหารกับที่พักแทน อันนี้ทุกคนเซ็งงงอุตส่าห์เสียเงินมาแล้วด้วยงี้
และแล้วก็มาถึงเมือง Vik ที่มาพร้อมกับเมฆหมอกมากมาย พวกเราก็ไปถ่ายจากอีกมุมบนเขาให้เห็นโบสถ์กับเมือง แต่ย้อนแสงฮะบรัยย
มาต่อกันที่ Black sand beach ที่มีหิน basalt ริมทะเล ของจริงใหญ่มากเลยกว่าจะปีนขึ้นไปก้อนนึงได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะฮะ หรือเพราะเราขาสั้นด้วยมั้ง 555 แล้วพื้นมันจะเทเอียงลงเสียวตกเลยนะ พวกเราก็ปีนขึ้นไปถ่ายแบบกัน The face มากันเองเลยค่างานนี้ฮ่าๆ
ระหว่างทางก็จะมี ก้อนหินที่มี moss นิ่มๆ เต็มไปหมด เวลามองออกไปก็นี่เราอยู่โลกไหนกัน ขึ้นเยอะไปมั้ยนะบางที
ที่สุดท้ายของวันนี้ คือ น้ำตก Svartifoss ซึ่งจะต้องเดินเขาขึ้นไปดูเกือบ 2 โล ที่นี่เดินขึ้นเขาแบบหอบแห่กเลยค่า แบบสูงมากจนจะเอื้อมมือถึงเมฆละ แล้วที่สำคัญคืออออ หาน้ำตกไม่เจอค่ะ!!! โอยยยหมดแรงมากพูดเลออ จริงๆ ตอนเดินไปสักพักมีทางแยกไปน้ำตกแล้วมันปิดบอกซ่อมทางให้ใช้อีกทางที่ปีนเขาขึ้นไป แต่พวกเราหาทางลงไม่เจอมีแต่เหว ก็เลยเจอใบไม้เปลี่ยนสีบนเขากันแทน กับน้ำตกที่ตั้งชื่อกันเองว่า น้ำตกรูปหัวใจ นี่ชั้นปีนเขาอย่างเหนื่อยเพื่อมาดูสิ่งนี้ใช่มั้ย แต่จะว่าไปมันก็สวยนะลองปีนขึ้นมาดูกันค่ะ 555
และคืนนี้เอง ฟ้าก้เข้าข้างพวกเรา KP5 ก็มา พวกเราจะได้เห็นแสงแล้วสินะ พอถึงที่พักหมดแรงมากรีบหาข้าวกินตรงที่พัก ตอนเดินออกมาฟ้าเริ่มมืดเห็นแสงเขียวผ่ากลางท้องฟ้า กรี๊ดดดด พวกเราเจอแสงเหนือแล้ว แต่หิวค่ะเลยเข้าไปสั่งข้าวละรีบกินก่อนละค่อยออกไปตั้งกล้องถ่าย ตอนที่กินข้าวกันอยู่สักพัก พนักงานที่รร.ก็เดินมาบอกพวกเราว่า มีแสงเหนือข้างนอกนะ รีบออกมาดูเร็ว ตอนแรกก็กะกินก่อนแต่เค้ามาบิ้วกันหนักมาก เอาวะทิ้งข้าวกับถุงเงินกองกลางออกไปดูกันเลยค่า ดีที่เงินไม่หายนะฮ่าๆ ละพวกเราก็รีบเข้าห้องไปเอากล้องมาตั้งถ่าย ถ่ายได้แปปเดียวเมฆก็มาฟ้าปิด เสียใจหนักมากก อันนี้ฝากไว้เวลาถ้าเจอแสงเหนือกันแล้วรีบตั้งกล้องถ่ายกันเลยนะ ที่นี่ลมแรงมากเมฆเยอะพัดเร็วอีก อย่างน้อยคืนนี้ก็ได้เห็นแสงละแต่แบบจางๆ
เที่ยวไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ ฉบับมนุษย์เงินเดือน
ในที่สุดเราก็ได้ไปเห็นแสงเหนือแล้วววววว!!
หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อนเคยมีแพลนจะไปเที่ยวไอซ์แลนด์ แต่ขอวีซ่าไม่ทันจึงเปลี่ยนไปตุรกีแทน ซึ่งเพื่อนกะว่าจะมารีวิวในพันทิปจนตอนนี้ก็ยังไม่เริ่มเลยฮ่าๆ ครั้งนี้เราเลยอยากลองมาแบ่งปันประสบการณ์เที่ยวในไอซ์แลนด์ ที่ตอนนี้กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่คนไทยมากันเยอะแล้วเนาะ
เริ่มจากปลายปีที่แล้วอยู่ดีๆก็เจอตั๋วโปร Qatar BKK to Copenhagen เพียง 15,xxx บาท รออะไรรีบโทรชวนเพื่อนจองกันข้ามปีเลยสิฮะ ก็ได้สมาชิกมากันทั้งหมด 5 คน ตัดสินใจเลือกช่วงปลายกันยาถึงต้นตุลา เพราะเพิ่งจะเริ่มหน้าหนาว ขับรถน่าจะง่ายไม่มีหิมะ และกลางวันกลางคืนก็อย่างละครึ่งจะได้เที่ยวได้ทั้งเช้าเย็น อารมณ์ทำใจไว้ล่วงหน้าถ้าไม่เจอแสงเหนือได้เที่ยวกลางวันก็ยังดี 55
ก่อนไปเราก็จอดรถผ่าน Web dealer ได้ของ City car rental เป็นรถ Suzuki 7 ที่นั่งไว้พับเบาะหลังใส่กระเป๋าเดินทาง ตอนเอารถเกือบใส่กระเป๋ากันไม่หมดจ้า ขนาดใช้กระเป๋าไซส์กลางกันทุกคนแล้ว ใครจะไปไม่ควรเอาใบใหญ่ไปกันเนาะ ยิ่งถ้าจองรถช้ารถก็จะมีให้เลือกน้อยแบบเราด้วยอ่า เพราะส่วนใหญ่มีแต่เกียร์กระปุก แล้วก็จอง pocket wifi ไปจากไทยเลยด้วย
วันที่ 1
เดินทางมาถึงสนามบินโคเปนฮาเกน ระหว่างรอต่อเครื่องไปยังไอซ์แลนด์ พวกเราก็เลยแพลนออกไปเที่ยวในเมืองประมาณ 4 ชม. ใครที่ใช้สายการบิน Iceland air สามารถโหลดกระเป๋าได้เลยนะไม่ต้องรอก่อนเกทเปิด 3 ชม.เหมือนสายการบินอื่น
พวกเราก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองสะดวกมากจากสนามบินไปใจกลางเมืองเพียง 15 นาทีเอง ซื้อตั๋วไป 36 DKK เดินไปแปปนึงก็เจอ Nyhavn ตึกสีสันที่หลายคนน่าจะคุ้นตา
เสร็จแล้วก็เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับ Amalienborg เป็นวังที่มีทหารเดินเปลี่ยนแถวไปมา พร้อมอนุสาวรีย์ตรงกลาง
จากนั้นก็เริ่มภารกิจเดินตามหา Mermaid ที่หลงทางกันอยู่นานจนไปเจอน้ำพุที่สวนนึงก็สวยดีนะ
จากสวนนี้แหละที่มีทางเดินจนไปถึง The little mermaid แต่แสงไม่เป็นใจ แดดแรงได้อีก หน้าคนเข้าไปก็ดำสิฮะ คนต่อแถวถ่ายรูปคู่อย่างเยอะจังหวะนี้มิสู้จริงๆ
เหยยยเที่ยวครบละ รีบเดินกลับไปหาของกิน ระหว่างทางก็จับโปเกมอนกันไปค่า แล้วก็รีบกลับสนามบินกลัวจะตกเครื่องซะก่อนเนาะ
พอมาถึงไอซ์แลนด์ แดนมหัศจรรย์ ก่อนเครื่องจอดมองออกไปนี่มันเมืองอะไรรร ดูแห้งแล้งเหลือเกินมีแต่ดิน หิน หญ้า บ้านคนแทบไม่มี รีบเอากระเป๋า แลกเงินยูโรเป็น isk ในสนามบิน พร้อมซื้อซิมมือถือ Siminn 1 อัน ที่ supermarket อันนี้สำคัญมากขอย้ำพร้อมดาวสามดวง ไว้กรณีฉุกเฉินต้องมีโทรศัพท์ติดไว้จริงๆนะ
หลังจากเอารถเสร็จพวกเราก็รีบไป Blue lagoon เป็นที่แรก มันอยู่ใกล้สนามบินด้วย มันสวยมากจริงๆ น้ำสีฟ้าจากซิลิก้า พร้อมวิวภูเขา แต่ดันโชคร้ายเป็นวันเสาร์คนเต็มค่า ต้องจองล่วงหน้า มองตาปริบๆ เลยเดินถ่ายรูปเล่นแปปนึง ก่อนเปลี่ยนแพลนมาวันสุดท้ายแทนละกันงี้ โดยห้องเปลี่ยนชุดเหมือนฟิตเนสเฟิร์ท มีห้องน้ำ และห้องอาบน้ำแบบประตูขุ่นเบาๆ ถ้าถอดก็ซีทรูกันไปค่ะ 55 สระค่อนข้างใหญ่พร้อมมีเครื่องดื่มและโคลนมาร์กหน้าด้วย
พวกเราเลยรีบกลับที่พักมาเช็คอิน แล้วออกไปหาข้าวเย็นในเมือง Reykjavik ตอนสามทุ่ม ร้านเริ่มปิดและเต็มค่ะ จบลงที่ร้านอาหารไทยตั้งแต่คืนแรกกกก คืออะไรรรเพิ่งจะบินมาจากไทยแท้ๆ เอาวะกินไปก่อนกันตายตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริปฮ่าๆ ก่อนกลับก็แวะถ่ายโบสถ์ตอนกลางคืน ทำไมถึงไม่เปิดไฟสวยๆ เหมือนตอนคนอื่นมาถ่ายกันนะง่อวว
วันที่ 2
ระหว่างออกเดินทางไป Þingvellir ก็เจอม้า แกะ แพะ ข้างทางเต็มเลย แอบจอดลงไปถ่ายเล่นกันแปปนึง ถ่ายออกมาเอ๊ะนี่อยู่เขาใหญ่รึป่าวนะฮ่าๆ
พอไปถึง National Park ก็เดินไปประมาณ 1.5 โลเพื่อไปดูน้ำตกที่แรก สวยงามมม พอกลับมาที่รถ เห้ยยยยแกมีใบสั่งหน้ารถวะ5555 นี่ต้องเสียค่าจอดรถด้วยนะ อย่าลืมจ่ายแบบพวกเรากันค่า เริ่มคิดจะซวยไรมั้ยยนะรีบเดินไปจ่ายเลยฮะ
เดินทางต่อไปยังน้ำพุร้อน Geysir แบบพุ่งขึ้นมาทุกๆ 5-10 นาทีแล้วแต่อารมณ์นาง พวกเราก็รอวนไปค่ะ ลืมใส่ถุงมือ ยืนถือกล้องรอกันจนมือแข็งเลยฮะ ถ่ายจากอีกฝั่งจะเห็นคนตั้งกล้องรอกันใจจดจ่อเลย เวลาพุ่งขึ้นมาก็จะมีกลิ่นไข่เน่าหรือตดเบาๆ ด้วย ใครปวดตดตอนนั้นก็ปล่อยเนียนๆ กันได้เลยนะอิอิ
ขับไปต่อกันที่น้ำตก Gullfoss เป็นน้ำตกที่ใหญ่และพลังทำลายร้างสูงมากกกกก คือแบบอยู่ไกลเป็นหลายร้อยเมตร แต่ลมแรงจนน้ำกระเด็นมาไกลจริงจรัง น้ำนี่เข้ากล้องพวกเราตลอด เลยถ่ายอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ณ จุดนี้คือทุกคนไม่สู้ 555 จริงๆ สามารถเดินเข้าไปใกล้ๆตรงฝั่งซ้ายของน้ำตกได้เลยน้า ทริปนี้พวกเราก็ต้องตัดน้ำตก Brúarfoss ออกไปเนื่องจากเวลาไม่ทัน เสียดายมากกก
วันที่ 3
พวกเราก็มุ่งหน้าไปน้ำตก Seljalandsfoss ซึ่งสามารถมองเห็นตั้งแต่ขับรถด้านนอก ซึ่งน้ำตกนี้ พวกเราลงความเห็นกันว่า ไม่ค่อยมีอะไร ดูธรรมดาถ้าเทียบกับน้ำตกอื่นๆ แต่ก็ถ่ายเก็บไว้ก่อนเนาะ
ระหว่างทางขับรถไป Skógafoss ข้างทางคือสวยมากกก นี่เหมือนเราอยู่บนท้องฟ้าเลย คือแบบใกล้ก้อนเมฆมากจริงๆ และแล้วก็มาถึงน้ำตกสายรุ้ง ตอนแรกมองหาไหนสายรุ้ง พวกเราพลาดแล้วมาผิดเวลาสินะ ก็ถ่ายรูปเล่นวนไปกัน จนใกล้จะกลับ อยู่ดีๆแดดมาสายรุ้งมาค่า วิ่งสิคะรีบกลับไปถ่ายกันใหม่ โชคดีแล้วพวกเราได้ซีนนี้ซะทีเนาะ ถึงแม้สายรุ้งจะมาเบาๆ ก็ตาม แต่ของจริงมันสวยมากจริงๆๆ นะ
จุดต่อไปซากเครื่องบิน เป็นสิ่งที่ไม่มีพิกัดแน่นอนอีก ต้องเดินเท้าเข้าไป 4 กม. ซึ่งขับมาสักพักก็ถึงจุด GPS ที่หามา อ้าวไหนไม่เห็นมีที่จอดไม่มีคน งงค่ะเลยไปล้าววว มะกี้ที่คนจอดข้างทางเยอะๆ อันนั้นแน่ ซึ่งมารู้หลังจากถึงเมือง Vik แล้วติดต่อเพื่อนที่ไทยที่เคยมาเที่ยว บรัยยยซากเครื่องบิน พลาดไปอีก 1 อย่าง
อ่ออออีกสาเหตุที่ทำให้พวกเราไม่ได้หาพิกัดใหม่ในตอนนั้น เพราะ pocket wifi ที่เช่ามาจากไทยใช้ไม่ได้แล้วค่ะพี่น้องงงตั้งแต่วันที่สองเครื่องก็เอ๋อ(ซึ่งตอนหลังเค้ายินดีจะคืนเงินให้ทั้งหมดเนื่องจากเราแทบไม่ได้ใช้เลย) ยังดีที่มีซิมที่ซื้อตอนแรกพร้อมเนตอันน้อยนิดใช้นำทางและหาข้อมูลได้นิดหน่อย และต้องรอใช้เนตตามร้านอาหารกับที่พักแทน อันนี้ทุกคนเซ็งงงอุตส่าห์เสียเงินมาแล้วด้วยงี้
และแล้วก็มาถึงเมือง Vik ที่มาพร้อมกับเมฆหมอกมากมาย พวกเราก็ไปถ่ายจากอีกมุมบนเขาให้เห็นโบสถ์กับเมือง แต่ย้อนแสงฮะบรัยย
มาต่อกันที่ Black sand beach ที่มีหิน basalt ริมทะเล ของจริงใหญ่มากเลยกว่าจะปีนขึ้นไปก้อนนึงได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะฮะ หรือเพราะเราขาสั้นด้วยมั้ง 555 แล้วพื้นมันจะเทเอียงลงเสียวตกเลยนะ พวกเราก็ปีนขึ้นไปถ่ายแบบกัน The face มากันเองเลยค่างานนี้ฮ่าๆ
ระหว่างทางก็จะมี ก้อนหินที่มี moss นิ่มๆ เต็มไปหมด เวลามองออกไปก็นี่เราอยู่โลกไหนกัน ขึ้นเยอะไปมั้ยนะบางที
ที่สุดท้ายของวันนี้ คือ น้ำตก Svartifoss ซึ่งจะต้องเดินเขาขึ้นไปดูเกือบ 2 โล ที่นี่เดินขึ้นเขาแบบหอบแห่กเลยค่า แบบสูงมากจนจะเอื้อมมือถึงเมฆละ แล้วที่สำคัญคืออออ หาน้ำตกไม่เจอค่ะ!!! โอยยยหมดแรงมากพูดเลออ จริงๆ ตอนเดินไปสักพักมีทางแยกไปน้ำตกแล้วมันปิดบอกซ่อมทางให้ใช้อีกทางที่ปีนเขาขึ้นไป แต่พวกเราหาทางลงไม่เจอมีแต่เหว ก็เลยเจอใบไม้เปลี่ยนสีบนเขากันแทน กับน้ำตกที่ตั้งชื่อกันเองว่า น้ำตกรูปหัวใจ นี่ชั้นปีนเขาอย่างเหนื่อยเพื่อมาดูสิ่งนี้ใช่มั้ย แต่จะว่าไปมันก็สวยนะลองปีนขึ้นมาดูกันค่ะ 555
และคืนนี้เอง ฟ้าก้เข้าข้างพวกเรา KP5 ก็มา พวกเราจะได้เห็นแสงแล้วสินะ พอถึงที่พักหมดแรงมากรีบหาข้าวกินตรงที่พัก ตอนเดินออกมาฟ้าเริ่มมืดเห็นแสงเขียวผ่ากลางท้องฟ้า กรี๊ดดดด พวกเราเจอแสงเหนือแล้ว แต่หิวค่ะเลยเข้าไปสั่งข้าวละรีบกินก่อนละค่อยออกไปตั้งกล้องถ่าย ตอนที่กินข้าวกันอยู่สักพัก พนักงานที่รร.ก็เดินมาบอกพวกเราว่า มีแสงเหนือข้างนอกนะ รีบออกมาดูเร็ว ตอนแรกก็กะกินก่อนแต่เค้ามาบิ้วกันหนักมาก เอาวะทิ้งข้าวกับถุงเงินกองกลางออกไปดูกันเลยค่า ดีที่เงินไม่หายนะฮ่าๆ ละพวกเราก็รีบเข้าห้องไปเอากล้องมาตั้งถ่าย ถ่ายได้แปปเดียวเมฆก็มาฟ้าปิด เสียใจหนักมากก อันนี้ฝากไว้เวลาถ้าเจอแสงเหนือกันแล้วรีบตั้งกล้องถ่ายกันเลยนะ ที่นี่ลมแรงมากเมฆเยอะพัดเร็วอีก อย่างน้อยคืนนี้ก็ได้เห็นแสงละแต่แบบจางๆ