เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันว่างๆก็มีเหตุให้ไม่ว่างจนได้ เพราะว่ามีงานดนตรีที่น่าสนใจมากๆ ชวนให้ไปเสพอย่างแรง นั่นคืองาน เห็ดสด จัดโดย ฟังใจ – Fungjai ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แค่ชื่องานและผู้จัดก็การันตีคุณภาพแล้ว แต่ที่ดึงดูดยิ่งกว่าคือไลน์อัพศิลปินในครั้งนี้ ที่แค่เห็นก็ตื่นเต้นแล้ว นั่นคือ Greasy Cafe Mattnimare Rasmee Chanudom The Yers และที่ทำให้ตื่นเต้นเป็นพิเศษคือ 7thSCENE ซึ่งบางวงที่มา เรายังไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเพลงของเขามาก่อน ก็ถือว่าเป็นการได้ลองฟังครั้งแรกบนเวทีไปเลย
วันงานเราไปถึงหน้างานค่อนข้างไว แต่เพราะวันนั้นฝนตกหนักมาก เลยทำให้คนยังไม่หนาแน่นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ในระหว่างที่รอคอนเสิร์ตเริ่ม หน้างานก็มีร้านอาหารมาให้เลือกสรรกันหลายร้านแล้วแต่ว่าชอบเมนูไหน ส่วนหน้าทางเข้าฮอลก็มีกิจกรรมให้เล่นมากมาย และยังมีสินค้าจากศิลปินให้เลือกซื้อกันด้วย พอใกล้ถึงเวลา ผู้คนก็เริ่มหนาแน่น เมื่อประตูเปิดเราก็ไม่รอช้า เข้าไปเสพดนตรีกัน !!
เมื่อคอนเสิร์ตใกล้เริ่ม คนก็เริ่มทยอยเข้าไปในฮอลจนแน่น Greasy Cafe ก็เริ่มบรรเลงเป็นวงแรก เสียงร้องของพี่เล็ก กับเนื้อเพลงหม่นๆ ยังคงเข้ากันได้ดีและทำให้คนฟังอินตามได้เหมือนเคย ส่วนตัวค่อนข้างชินกับพี่เล็กในมาดของเจ้าพ่อเพลงดาร์ค แต่ไนงานนี้เราได้เห็นพี่เล็กในมาดร้อคเกอร์รุ่นใหญ่ที่ใส่ลีลาการเล่นกีตาร์อย่างดุดัน และในเพลง “ความบังเอิญ” ทำให้เรานึกถึงวันที่รู้จัก Greasy Cafe ครั้งแรกเลย
วงต่อมาเป็นวงที่เราเคยได้ยินชื่อตามงานดนตรีต่างๆ มาเป็นระยะแต่ยังไม่มีโอกาสได้ติดตามงานพวกเขาจริงจังเท่าไหร่ แต่เมื่อ Mattnimare ขึ้นอินโทร คนฟังที่นั่งคอยระหว่างซาวด์เช็คก็พร้อมใจกันยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาเปิดตัวด้วยเพลง “รอยต่อ” ซาวด์ทั้งหมด รวมกับแสงไฟบนเวที ทำให้มวลอารมณ์ ณ ตอนนั้นพุ่งขึ้นสูงมาก !! ในแว้บนึกในตอนนั้น ดนตรีกับลุคการแต่งตัวของวงนี้ทำให้เรานึกถึง J-Rock ในยุคก่อนขึ้นมาเลย บอกเลยว่าแค่เปิดตัวก็สุดยอดมากๆ และพวกเขาสามารถคุมอารมณ์คนดูได้อยู่หมัดจนจบเพลงสุดท้าย เป็นการฟังเพลงของวงที่เราแทบไม่รู้จักเลย แต่กลับประทับใจอย่างบอกไม่ถูก
Rasmee เปิดตัวแบบเบาๆด้วยเพลงช้าที่ซึ้งกินใจ “อ้ายอยู่ใส” ที่คนดูยืนฟังและจ้องมองไปที่พวกเขาราวกับถูกสะกด งานนี้ Rasmee มาแบบฟูลแบนด์ คือดีมากๆ เราคิดว่าถึงใครจะไม่เคยฟังเพลงแนวๆ หมอลำมาก่อน แล้วได้มาฟัง Rasmee อาจจะทำให้เปลี่ยนใจมารักหมอลำเลยก็ได้ เพราะเพลงของพวกเขาเป็นหมอลำที่มีความสากล ทำให้รู้สึกฟังง่ายขึ้นมาก ถึงจะฟังเนื้อเพลงไม่ค่อยออก (เพราะมีทั้งภาษาพื้นเมืองและภาษาต่างประเทศ) แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้อินกับเสียงดนตรีของพวกเขาเลย
ถัดมาเป็นคิวของ Chanudom พวกเขามาในแนวดนตรีที่เรียกว่า Theatrical rock ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า Theatre + Musical ซึ่งโชว์ของพวกเขานั่นเปรียบเสมือนว่ากำลังแสดงละครเวทีให้คนฟังได้ดูกันอย่างตื่นตา และในเพลง “คราม” เวอร์ชั่น Chanudom นั้นทำให้เราประทับใจในการนำเสนอของพวกเขามากๆ แทบจะลืมเวอร์ชั่นต้นฉบับไปเลย ตามด้วยเพลง “เลือดชั่ว” ซิงเกิลแรกที่ทำให้ทุกคนรู้จักพวกเขา และจบด้วยเพลงที่แต่งจากประสบการณ์จริงโดยใช้ชื่อเพลงเป็นชื่อเดียวกับตัวนักร้องเอง คือเพลง “ชนุดม” ตลอดโชว์ของพวกเขาทำให้รู้สึกสมกับที่เป็น Theatrical rock จริงๆ
จากนั้นก็ถึงคิววงที่ทุกคนรอคอย วงที่เราคุ้นเคยกับนักร้องกันเป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเคยมีวงดนตรีของตัวเองมาก่อน 7thSCENE กลับมาให้ทุกคนหายคิดถึง (รวมทั้งเราด้วย ฮา) เริ่มด้วยเพลง “คว้า” ที่ทำให้ย้อนนึกถึง 7-8 ปีก่อนได้เป็นอย่างดี และไฟบนเวทีของเพลงนี้ บวกกับซาวด์อิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำ บอกได้คำเดียวเลยว่า อย่างเท่ !! เพลย์ลิสท์ของ 7thSCENE นั้นคุ้นหูคนฟังทุกเพลง และมีเพลงช้าแค่เพียงเดียวตลอดโชว์นั่นคือเพลง “เป็นฉันหรือใคร” จากนั้นก็กระโดดกันแบบยาวๆ และจบโชว์ด้วยเพลง “คลั่ง” (แอบสะดุ้งตอนขึ้นอินโทร PPAP ฮาา) ตั้งแต่ต้นจนจบโชว์ เรียกว่ามันส์เต็มที่และหายคิดถึงกันไปเลย
และวงสุดท้ายคือวงร้อคแถวหน้าของไทยในตอนนี้ วงที่หลายๆคนมาเพื่อรอดูพวกเขา The Yers เปฺิดตัวด้วยความนิ่ง และเท่ ก่อนที่จะระเบิดความมันส์กับเพลงฮิต และเพลงในอัลบั้มใหม่ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็วคนดูก็อินกันมากๆ และหลังจากเสียงเรียกร้องหลังจบโชว์ พวกเขาได้กลับมาบรรเลงเพลง “เทศกาล” ทำให้ได้ใชชาวร้อคกันไปเต็มๆ และ “คืนที่ฟ้าสว่าง” ปิดโชว์ไปอย่างสวยงาม เรียกได้ว่าึงคุณภาพ ฝีมือไม่มีตกเลยสำหรับ The Yers
นอกจากศิลปินที่เป็นไฮไลท์งานแล้ว ที่สุดยอดไม่แพ้กันคือเวทีที่เปลี่ยนรูปแบบในทุกๆวง และระบบ lighting ภายในงานตั้งแต่หน้างานยันในฮอล ที่สร้างประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจให้คนดู บอกเลยว่าสุดยอดมากๆ สำหรับ DuckUnit ทีม lighting มืออาชีพ ที่ได้ดูงานของพวกเขาทีไรก็ได้รับความตื่นตาทุกครั้งไป
จบวันว่างๆกับงานดนตรีดีๆไปอีกวัน เราอยากชวนคนที่มีความคิดว่า “ว่างจัง ไปไหนดี” ให้ลองหางานดนตรีสักงาน ไม่ต้องห่วงว่าจะรู้จักวงนั้นวงนี้ไหม ลองเปิดใจและไปเสพย์ดนตรีดีๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ
มาร่วมไม่ว่างไปกับเราได้ที่
https://www.facebook.com/holidaynomore/
http://www.holidaynomore.com/
เห็ดสด 4 คอนเสิร์ตโดย ฟังใจ แบบว่ามันสด ! จริงๆ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วันว่างๆก็มีเหตุให้ไม่ว่างจนได้ เพราะว่ามีงานดนตรีที่น่าสนใจมากๆ ชวนให้ไปเสพอย่างแรง นั่นคืองาน เห็ดสด จัดโดย ฟังใจ – Fungjai ซึ่งปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 4 แล้ว แค่ชื่องานและผู้จัดก็การันตีคุณภาพแล้ว แต่ที่ดึงดูดยิ่งกว่าคือไลน์อัพศิลปินในครั้งนี้ ที่แค่เห็นก็ตื่นเต้นแล้ว นั่นคือ Greasy Cafe Mattnimare Rasmee Chanudom The Yers และที่ทำให้ตื่นเต้นเป็นพิเศษคือ 7thSCENE ซึ่งบางวงที่มา เรายังไม่เคยมีโอกาสได้ฟังเพลงของเขามาก่อน ก็ถือว่าเป็นการได้ลองฟังครั้งแรกบนเวทีไปเลย
วันงานเราไปถึงหน้างานค่อนข้างไว แต่เพราะวันนั้นฝนตกหนักมาก เลยทำให้คนยังไม่หนาแน่นเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ในระหว่างที่รอคอนเสิร์ตเริ่ม หน้างานก็มีร้านอาหารมาให้เลือกสรรกันหลายร้านแล้วแต่ว่าชอบเมนูไหน ส่วนหน้าทางเข้าฮอลก็มีกิจกรรมให้เล่นมากมาย และยังมีสินค้าจากศิลปินให้เลือกซื้อกันด้วย พอใกล้ถึงเวลา ผู้คนก็เริ่มหนาแน่น เมื่อประตูเปิดเราก็ไม่รอช้า เข้าไปเสพดนตรีกัน !!
เมื่อคอนเสิร์ตใกล้เริ่ม คนก็เริ่มทยอยเข้าไปในฮอลจนแน่น Greasy Cafe ก็เริ่มบรรเลงเป็นวงแรก เสียงร้องของพี่เล็ก กับเนื้อเพลงหม่นๆ ยังคงเข้ากันได้ดีและทำให้คนฟังอินตามได้เหมือนเคย ส่วนตัวค่อนข้างชินกับพี่เล็กในมาดของเจ้าพ่อเพลงดาร์ค แต่ไนงานนี้เราได้เห็นพี่เล็กในมาดร้อคเกอร์รุ่นใหญ่ที่ใส่ลีลาการเล่นกีตาร์อย่างดุดัน และในเพลง “ความบังเอิญ” ทำให้เรานึกถึงวันที่รู้จัก Greasy Cafe ครั้งแรกเลย
วงต่อมาเป็นวงที่เราเคยได้ยินชื่อตามงานดนตรีต่างๆ มาเป็นระยะแต่ยังไม่มีโอกาสได้ติดตามงานพวกเขาจริงจังเท่าไหร่ แต่เมื่อ Mattnimare ขึ้นอินโทร คนฟังที่นั่งคอยระหว่างซาวด์เช็คก็พร้อมใจกันยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาเปิดตัวด้วยเพลง “รอยต่อ” ซาวด์ทั้งหมด รวมกับแสงไฟบนเวที ทำให้มวลอารมณ์ ณ ตอนนั้นพุ่งขึ้นสูงมาก !! ในแว้บนึกในตอนนั้น ดนตรีกับลุคการแต่งตัวของวงนี้ทำให้เรานึกถึง J-Rock ในยุคก่อนขึ้นมาเลย บอกเลยว่าแค่เปิดตัวก็สุดยอดมากๆ และพวกเขาสามารถคุมอารมณ์คนดูได้อยู่หมัดจนจบเพลงสุดท้าย เป็นการฟังเพลงของวงที่เราแทบไม่รู้จักเลย แต่กลับประทับใจอย่างบอกไม่ถูก
Rasmee เปิดตัวแบบเบาๆด้วยเพลงช้าที่ซึ้งกินใจ “อ้ายอยู่ใส” ที่คนดูยืนฟังและจ้องมองไปที่พวกเขาราวกับถูกสะกด งานนี้ Rasmee มาแบบฟูลแบนด์ คือดีมากๆ เราคิดว่าถึงใครจะไม่เคยฟังเพลงแนวๆ หมอลำมาก่อน แล้วได้มาฟัง Rasmee อาจจะทำให้เปลี่ยนใจมารักหมอลำเลยก็ได้ เพราะเพลงของพวกเขาเป็นหมอลำที่มีความสากล ทำให้รู้สึกฟังง่ายขึ้นมาก ถึงจะฟังเนื้อเพลงไม่ค่อยออก (เพราะมีทั้งภาษาพื้นเมืองและภาษาต่างประเทศ) แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้อินกับเสียงดนตรีของพวกเขาเลย
ถัดมาเป็นคิวของ Chanudom พวกเขามาในแนวดนตรีที่เรียกว่า Theatrical rock ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า Theatre + Musical ซึ่งโชว์ของพวกเขานั่นเปรียบเสมือนว่ากำลังแสดงละครเวทีให้คนฟังได้ดูกันอย่างตื่นตา และในเพลง “คราม” เวอร์ชั่น Chanudom นั้นทำให้เราประทับใจในการนำเสนอของพวกเขามากๆ แทบจะลืมเวอร์ชั่นต้นฉบับไปเลย ตามด้วยเพลง “เลือดชั่ว” ซิงเกิลแรกที่ทำให้ทุกคนรู้จักพวกเขา และจบด้วยเพลงที่แต่งจากประสบการณ์จริงโดยใช้ชื่อเพลงเป็นชื่อเดียวกับตัวนักร้องเอง คือเพลง “ชนุดม” ตลอดโชว์ของพวกเขาทำให้รู้สึกสมกับที่เป็น Theatrical rock จริงๆ
จากนั้นก็ถึงคิววงที่ทุกคนรอคอย วงที่เราคุ้นเคยกับนักร้องกันเป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะไม่รู้มาก่อนว่าเขาเคยมีวงดนตรีของตัวเองมาก่อน 7thSCENE กลับมาให้ทุกคนหายคิดถึง (รวมทั้งเราด้วย ฮา) เริ่มด้วยเพลง “คว้า” ที่ทำให้ย้อนนึกถึง 7-8 ปีก่อนได้เป็นอย่างดี และไฟบนเวทีของเพลงนี้ บวกกับซาวด์อิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำ บอกได้คำเดียวเลยว่า อย่างเท่ !! เพลย์ลิสท์ของ 7thSCENE นั้นคุ้นหูคนฟังทุกเพลง และมีเพลงช้าแค่เพียงเดียวตลอดโชว์นั่นคือเพลง “เป็นฉันหรือใคร” จากนั้นก็กระโดดกันแบบยาวๆ และจบโชว์ด้วยเพลง “คลั่ง” (แอบสะดุ้งตอนขึ้นอินโทร PPAP ฮาา) ตั้งแต่ต้นจนจบโชว์ เรียกว่ามันส์เต็มที่และหายคิดถึงกันไปเลย
และวงสุดท้ายคือวงร้อคแถวหน้าของไทยในตอนนี้ วงที่หลายๆคนมาเพื่อรอดูพวกเขา The Yers เปฺิดตัวด้วยความนิ่ง และเท่ ก่อนที่จะระเบิดความมันส์กับเพลงฮิต และเพลงในอัลบั้มใหม่ของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็วคนดูก็อินกันมากๆ และหลังจากเสียงเรียกร้องหลังจบโชว์ พวกเขาได้กลับมาบรรเลงเพลง “เทศกาล” ทำให้ได้ใชชาวร้อคกันไปเต็มๆ และ “คืนที่ฟ้าสว่าง” ปิดโชว์ไปอย่างสวยงาม เรียกได้ว่าึงคุณภาพ ฝีมือไม่มีตกเลยสำหรับ The Yers
นอกจากศิลปินที่เป็นไฮไลท์งานแล้ว ที่สุดยอดไม่แพ้กันคือเวทีที่เปลี่ยนรูปแบบในทุกๆวง และระบบ lighting ภายในงานตั้งแต่หน้างานยันในฮอล ที่สร้างประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจให้คนดู บอกเลยว่าสุดยอดมากๆ สำหรับ DuckUnit ทีม lighting มืออาชีพ ที่ได้ดูงานของพวกเขาทีไรก็ได้รับความตื่นตาทุกครั้งไป
จบวันว่างๆกับงานดนตรีดีๆไปอีกวัน เราอยากชวนคนที่มีความคิดว่า “ว่างจัง ไปไหนดี” ให้ลองหางานดนตรีสักงาน ไม่ต้องห่วงว่าจะรู้จักวงนั้นวงนี้ไหม ลองเปิดใจและไปเสพย์ดนตรีดีๆ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ
มาร่วมไม่ว่างไปกับเราได้ที่
https://www.facebook.com/holidaynomore/
http://www.holidaynomore.com/