คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 83
เห็นด้วย กับ คห. 18
ณ. ตอนนี้ เวลานี้คุณยังสับสน ยังไม่เข้มแข็งพอ ร้องให้ก็ร้องไป เอาให้มันสะใจ ร้องมันจนกว่าคุณจะเลิกร้อง นั่นคือการระบายความเครียด ( ในมุมมองของตัวเองค่ะ ) ที่พูดนี่เพราะเจอมาแล้ว แต่กรณีเราไม่มีลูกด้วยกันค่ะ แล้วก็รู้ว่าเค้ามีคนใหม่ ได้ด้วยประสาทรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เราร้องจน เออร้องไม่ออก มันก็หายเจ็บ อีกอย่าง หาเพื่อนระบาย มีเพื่อนดีรับฟัง เราเพ้อเจ้อ คร่ำครวญ มันได้ทุกวันจนหาย จนไม่มีความรู้สึกคร่ำครวญ นอนร้องให้จนหลับ น้ำหนักลดฮวบฮาบ กินไรไม่ลง สมองไม่มี ทำงานทำการไม่มีสติ
สักพัก แล้วแต่ละบุคล
จากนั้น ก็ ณ . หย่าค่ะ
วิธีการ จัดการ ของเรานะคะ
1. ร้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากร้องแค่ไหนร้องไป ร้องให้พอ ร้องมันเข้าไป กี่วันกี่เดือน ร้องจน เอ่อออ ร้องไม่ออก มันอยากร้อง แต่ร้องไม่ออก
2. คุยกะเพื่อน โทรหาเพื่อนทุกวัน ให้มันทนรับฟัง (เพื่อนดีมาก รักมันสุดๆ) คร่ำครวญ คุยจน ไม่รู้จะคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ทำไม
3. หายแล้วใช่ไหม สติมา ปัญญามี คุยกะสามีค่ะ ขอหย่า ส่วนการจัดการการหย่า ทรัพย์สิน อะไรต่างๆนั้นแล้วแต่กรณีของคุณ เราคงแนะไม่ได้
เพราะเราไม่มีลูก
4. เราไม่ด่าไม่ว่าผู้หญิงนะคะ เพราะว่า มันเป็นความผิด ของสามีเรา ตัวเรา ที่มีปัญหาระหว่างกัน แล้วแก้ไม่ได้ เค้าจึงแก้ปัญหาด้วยการมผู้หญิงอีก คน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ห่วยมาก ผู้หญิงคนใหม่ก็ผิด ที่เข้ามายุ่ง ทั้งๆที่ตัวเค้าเองก็มีสามี มีลูก อีก 3 ( ระหว่างเศร้าโศกเสียใจ ก็เป็นนักสืบไปด้วย ) เราแก้ที่สามี กับผู้หญิงอีกคนไม่ได้ เราจึงแก้ปัญหาที่ตัวเราเองค่ะ เดินออกมาดีกว่า
5. อันนี้แถม หลังจากสืบทราบ ประวัติ ผู้หญิง ว่าอยู่ทีไหน หึหึ ลุยค่าาาาา ไปหาถึงบ้าน แต่ไม่ไปหาผู้หญิงค่ะ ไปคุยกับสามีเค้า บอกให้เค้ารู้ว่า เมีย
เค้ามีผู้ชายอีกคน คือ สามีเรา ไปคุยดีๆ แบบคนมีการศึกษา ไม่ได้ด่าว่าให้เจ็บใจ เพราะรู้ว่า แค่รู้ความจริงเค้าก็เจ็บเหมือนเรา แต่ จะจัดการกันอย่างไร ตัวใครตัวมันค่ะ
เอาใจช่วยนะคะ
ณ. ตอนนี้ เวลานี้คุณยังสับสน ยังไม่เข้มแข็งพอ ร้องให้ก็ร้องไป เอาให้มันสะใจ ร้องมันจนกว่าคุณจะเลิกร้อง นั่นคือการระบายความเครียด ( ในมุมมองของตัวเองค่ะ ) ที่พูดนี่เพราะเจอมาแล้ว แต่กรณีเราไม่มีลูกด้วยกันค่ะ แล้วก็รู้ว่าเค้ามีคนใหม่ ได้ด้วยประสาทรับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เราร้องจน เออร้องไม่ออก มันก็หายเจ็บ อีกอย่าง หาเพื่อนระบาย มีเพื่อนดีรับฟัง เราเพ้อเจ้อ คร่ำครวญ มันได้ทุกวันจนหาย จนไม่มีความรู้สึกคร่ำครวญ นอนร้องให้จนหลับ น้ำหนักลดฮวบฮาบ กินไรไม่ลง สมองไม่มี ทำงานทำการไม่มีสติ
สักพัก แล้วแต่ละบุคล
จากนั้น ก็ ณ . หย่าค่ะ
วิธีการ จัดการ ของเรานะคะ
1. ร้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากร้องแค่ไหนร้องไป ร้องให้พอ ร้องมันเข้าไป กี่วันกี่เดือน ร้องจน เอ่อออ ร้องไม่ออก มันอยากร้อง แต่ร้องไม่ออก
2. คุยกะเพื่อน โทรหาเพื่อนทุกวัน ให้มันทนรับฟัง (เพื่อนดีมาก รักมันสุดๆ) คร่ำครวญ คุยจน ไม่รู้จะคุยกับเพื่อนเรื่องนี้ทำไม
3. หายแล้วใช่ไหม สติมา ปัญญามี คุยกะสามีค่ะ ขอหย่า ส่วนการจัดการการหย่า ทรัพย์สิน อะไรต่างๆนั้นแล้วแต่กรณีของคุณ เราคงแนะไม่ได้
เพราะเราไม่มีลูก
4. เราไม่ด่าไม่ว่าผู้หญิงนะคะ เพราะว่า มันเป็นความผิด ของสามีเรา ตัวเรา ที่มีปัญหาระหว่างกัน แล้วแก้ไม่ได้ เค้าจึงแก้ปัญหาด้วยการมผู้หญิงอีก คน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ห่วยมาก ผู้หญิงคนใหม่ก็ผิด ที่เข้ามายุ่ง ทั้งๆที่ตัวเค้าเองก็มีสามี มีลูก อีก 3 ( ระหว่างเศร้าโศกเสียใจ ก็เป็นนักสืบไปด้วย ) เราแก้ที่สามี กับผู้หญิงอีกคนไม่ได้ เราจึงแก้ปัญหาที่ตัวเราเองค่ะ เดินออกมาดีกว่า
5. อันนี้แถม หลังจากสืบทราบ ประวัติ ผู้หญิง ว่าอยู่ทีไหน หึหึ ลุยค่าาาาา ไปหาถึงบ้าน แต่ไม่ไปหาผู้หญิงค่ะ ไปคุยกับสามีเค้า บอกให้เค้ารู้ว่า เมีย
เค้ามีผู้ชายอีกคน คือ สามีเรา ไปคุยดีๆ แบบคนมีการศึกษา ไม่ได้ด่าว่าให้เจ็บใจ เพราะรู้ว่า แค่รู้ความจริงเค้าก็เจ็บเหมือนเรา แต่ จะจัดการกันอย่างไร ตัวใครตัวมันค่ะ
เอาใจช่วยนะคะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 98
อัพเดตข้อมูลนะคะ เราหันหน้าคุยกับสามีเราอย่างจริงจัง ในยามที่เราต่างก็อยู่ในสภาวะปกติ ไม่มีเรื่องของอารมย์ เข้ามาเกี่ยวข้อง ..
ข้อสรุปที่ได้ จากคำพูดของเขา คือ 1. สามีเรา เลือกที่จะเก็บไว้ทั้งสองคน ไม่เลือกปล่อยใครไปทั้งนั้น อย่าบีบให้ต้องเลือก ถ้าต้องเลือก เขาเลือกเรา แต่ต่อไปนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เขาจะไม่บอกเราอีก และจะมีไปเรื่อย ๆ
2. สามีเราบอกว่า อย่ากดดันเขาให้มาก เดี๋ยวเขาเบื่อ เขาก็กลับมาหาครอบครัวเอง
3. สามีเราย้อนถามเรากลับมาว่า อยู่กันมาตั้งนาน ไม่รู้เลยเหรอว่าเขาเป็นคนเช่นไร ? เพราะในเรื่องผู้หญิงเขาชัดเจนกับเราตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นเช่นไร ซึ่งเรายอมรับได้ในระดับหนึ่งคือ เขาเป็นคนที่ชื่นชอบการพาลูกค้าไปรับรองที่สถานบันเทิง อยู่อย่างน้อย3-4 เดือนครั้ง นั่นหมายความว่า ข้อตกลงของเราคือ เสียตังค์ครั้งเดียวไม่ผูกพัน ไม่ผูกมัด แต่!! ครั้งนี้ ไม่ใช่เกินข้อตกลง
4. เราขอร้องให่เขาปล่อยเรากับลูกไป ซึ่งเขาบอกว่าไม่ปล่อยแน่ ถ้าปล่อยเขาไปวันนึงที่เขาไม่เหลือใครเขาก็ยังกลับมาหาเราได้ เขายังคิดเสมอว่าเราคือครอบครัวของเขา ซึ่งเห็นแก่ตัวมาก และเลวมาก เรารับไม่ได้
5. ตอนนี้เราออกจากบ้านเขามาอยู่บ้านแม่เราค่ะ หอบลูก หอบทุกอย่าง และเตรียมข้อมูลฟ้องหย่าค่ะ เรารู้ซึ้งในสันดานของเขาแล้วค่ะ ทนอ่อนแออีกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ทันทีที่เขาออกจากบ้านไปทำงาน เราก็ออกจากบ้านเนื่องจากมีเหตุการสืบเนื่องมาจากผู้หญิงคนนั้น จึงทำในการสินใจ และความอ่อนแอหายไปหมดในทันที
ซึ่งในส่วนของผู้หญิงคนนั้น ก็เป็นประมาณนี้ค่ะ หลังจากมีการได้พูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ตามเบอร์ที่เราขอจากสามีเรามา เขาอายุมากกว่าเรา 2 ปี เป็นอดีตพริตตี้ เป็นลูกบุญธรรมของนายตำรวจใหญ่ มีกิจการของที่บ้านเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อยู่ทางภาคตะวันออก ค่อนข้างเป็นผู้กว้างขวาง ผ่านการแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว 2 ครั้ง และล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นผู้ถูกกระทำถูกขังให้อยู่ในกรงทอง และโดนซ้อมอยู่เป็นประจำ ส่วนครั้งที่ 2 เจอผู้ชายเจ้าชู้และหวังหลอกเงินอย่างเดียว เขาเรียกเราว่าน้อง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเขาพูดกับเรา ว่า " พี่เข้าใจน้องนะ พี่ก็อยู่ส่วนของพี่ น้องก็อยู่ส่วนของน้อง พี่ไม่ได้อยากจะทำให้เราต้องรู้สึกแย่ เราก็อยู่ในส่วนของเราไปแบบนี้นี่แหละ พี่ไม่มาวุ่นวายหรอก พี่แค่ต้องการคนมาช่วยพี่ทำงาน มาช่วยดูแลไซต์งานก่อสร้าง เท่านั้นเอง พี่คุยกับสามีน้องแล้วพี่รู้สึกดี เราสองคนแค่มีความรู้สึกดีดีต่อกัน น้องไม่ต้องเครียดนะ พี่ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวน้องหรอก พี่รู้พี่เคยผ่านเรื่องแย่ ๆ มาแล้ว"
เราอึ้งค่ะ ถามกลับไปด้วยเสียงที่รู้ตัวเองว่าไม่ปกติ ว่า "ชีวิตครอบครัวตัวเองก็ผ่านมาเป็นแบบนั้น น่าจะเข้าใจได้ดีกว่าใคร ๆ แล้วทำไมถึงทำแบบนี้" ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า "โธ่น้อง คนเราเมื่อคุยกันแล้วมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน มันหาอยากนนะ น้องจะไม่ให้พี่คุยต่อเหรอ พี่สปอตขนาดนี้ ยอมรับได้ถึงขนาดที่ว่าเขา(สามีเรา) มีลูกมีเมียแล้ว พี่แฟร์ขนาดนี้ น้องจะเครียดทำไม น้องก็อยู่ของน้องเฉย ๆ ไปสิ "
และประเด็นที่พีคมากคือ สามีเราเอาเรื่องลูกเราไปเราให้ผู้หญิงคนนั้นฟัง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า " เอ็นดูลูกเรามาก ลูกเราน่ารัก ยินดีที่จะดูแลค่าเลี้ยงดูให้ ส่งเสริมให้ทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า เขาชอบเด็กผู้ชาย "
หลังจากจบคำตอบนี้ วางสายเลยค่ะ ตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่ควรที่จะให้โอกาสสามีและอยู่ต่อ ลูกของเรา เราจะไม่มีวันให้คนอื่นมายุ่งเด็ดขาด เราคิดได้อย่างเดียวว่า เราอยู่ไม่ได้แล้ว เราต้องไป เราจึงกล้าที่จะเดินออกมาค่ะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ขอบคุณทุกกำลังใจ นะคะ
ข้อสรุปที่ได้ จากคำพูดของเขา คือ 1. สามีเรา เลือกที่จะเก็บไว้ทั้งสองคน ไม่เลือกปล่อยใครไปทั้งนั้น อย่าบีบให้ต้องเลือก ถ้าต้องเลือก เขาเลือกเรา แต่ต่อไปนี้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เขาจะไม่บอกเราอีก และจะมีไปเรื่อย ๆ
2. สามีเราบอกว่า อย่ากดดันเขาให้มาก เดี๋ยวเขาเบื่อ เขาก็กลับมาหาครอบครัวเอง
3. สามีเราย้อนถามเรากลับมาว่า อยู่กันมาตั้งนาน ไม่รู้เลยเหรอว่าเขาเป็นคนเช่นไร ? เพราะในเรื่องผู้หญิงเขาชัดเจนกับเราตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นเช่นไร ซึ่งเรายอมรับได้ในระดับหนึ่งคือ เขาเป็นคนที่ชื่นชอบการพาลูกค้าไปรับรองที่สถานบันเทิง อยู่อย่างน้อย3-4 เดือนครั้ง นั่นหมายความว่า ข้อตกลงของเราคือ เสียตังค์ครั้งเดียวไม่ผูกพัน ไม่ผูกมัด แต่!! ครั้งนี้ ไม่ใช่เกินข้อตกลง
4. เราขอร้องให่เขาปล่อยเรากับลูกไป ซึ่งเขาบอกว่าไม่ปล่อยแน่ ถ้าปล่อยเขาไปวันนึงที่เขาไม่เหลือใครเขาก็ยังกลับมาหาเราได้ เขายังคิดเสมอว่าเราคือครอบครัวของเขา ซึ่งเห็นแก่ตัวมาก และเลวมาก เรารับไม่ได้
5. ตอนนี้เราออกจากบ้านเขามาอยู่บ้านแม่เราค่ะ หอบลูก หอบทุกอย่าง และเตรียมข้อมูลฟ้องหย่าค่ะ เรารู้ซึ้งในสันดานของเขาแล้วค่ะ ทนอ่อนแออีกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ทันทีที่เขาออกจากบ้านไปทำงาน เราก็ออกจากบ้านเนื่องจากมีเหตุการสืบเนื่องมาจากผู้หญิงคนนั้น จึงทำในการสินใจ และความอ่อนแอหายไปหมดในทันที
ซึ่งในส่วนของผู้หญิงคนนั้น ก็เป็นประมาณนี้ค่ะ หลังจากมีการได้พูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์ตามเบอร์ที่เราขอจากสามีเรามา เขาอายุมากกว่าเรา 2 ปี เป็นอดีตพริตตี้ เป็นลูกบุญธรรมของนายตำรวจใหญ่ มีกิจการของที่บ้านเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อยู่ทางภาคตะวันออก ค่อนข้างเป็นผู้กว้างขวาง ผ่านการแต่งงานมีครอบครัวมาแล้ว 2 ครั้ง และล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นผู้ถูกกระทำถูกขังให้อยู่ในกรงทอง และโดนซ้อมอยู่เป็นประจำ ส่วนครั้งที่ 2 เจอผู้ชายเจ้าชู้และหวังหลอกเงินอย่างเดียว เขาเรียกเราว่าน้อง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นเขาพูดกับเรา ว่า " พี่เข้าใจน้องนะ พี่ก็อยู่ส่วนของพี่ น้องก็อยู่ส่วนของน้อง พี่ไม่ได้อยากจะทำให้เราต้องรู้สึกแย่ เราก็อยู่ในส่วนของเราไปแบบนี้นี่แหละ พี่ไม่มาวุ่นวายหรอก พี่แค่ต้องการคนมาช่วยพี่ทำงาน มาช่วยดูแลไซต์งานก่อสร้าง เท่านั้นเอง พี่คุยกับสามีน้องแล้วพี่รู้สึกดี เราสองคนแค่มีความรู้สึกดีดีต่อกัน น้องไม่ต้องเครียดนะ พี่ไม่ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวน้องหรอก พี่รู้พี่เคยผ่านเรื่องแย่ ๆ มาแล้ว"
เราอึ้งค่ะ ถามกลับไปด้วยเสียงที่รู้ตัวเองว่าไม่ปกติ ว่า "ชีวิตครอบครัวตัวเองก็ผ่านมาเป็นแบบนั้น น่าจะเข้าใจได้ดีกว่าใคร ๆ แล้วทำไมถึงทำแบบนี้" ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาว่า "โธ่น้อง คนเราเมื่อคุยกันแล้วมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกัน มันหาอยากนนะ น้องจะไม่ให้พี่คุยต่อเหรอ พี่สปอตขนาดนี้ ยอมรับได้ถึงขนาดที่ว่าเขา(สามีเรา) มีลูกมีเมียแล้ว พี่แฟร์ขนาดนี้ น้องจะเครียดทำไม น้องก็อยู่ของน้องเฉย ๆ ไปสิ "
และประเด็นที่พีคมากคือ สามีเราเอาเรื่องลูกเราไปเราให้ผู้หญิงคนนั้นฟัง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า " เอ็นดูลูกเรามาก ลูกเราน่ารัก ยินดีที่จะดูแลค่าเลี้ยงดูให้ ส่งเสริมให้ทุกอย่าง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า เขาชอบเด็กผู้ชาย "
หลังจากจบคำตอบนี้ วางสายเลยค่ะ ตัดสินใจได้ทันทีว่าไม่ควรที่จะให้โอกาสสามีและอยู่ต่อ ลูกของเรา เราจะไม่มีวันให้คนอื่นมายุ่งเด็ดขาด เราคิดได้อย่างเดียวว่า เราอยู่ไม่ได้แล้ว เราต้องไป เราจึงกล้าที่จะเดินออกมาค่ะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็น ขอบคุณทุกกำลังใจ นะคะ
ความคิดเห็นที่ 111
มาแนะนำเรื่องก่อนจะหย่า ฟ้องผู้หญิงฐานเป็นชู้ ให้ชดเชยค่าเสียหายมาจากการมาทำครอบครัวแตกแยก เห็นว่าหาเงินเก่งด้วยนี่
ฟ้องชู้เสร็จ ฟ้องหย่าไอ้ผัวเฮงซวย เรียกค่าดูแลลูกตามที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้ อย่าโง่หย่าเฉยๆ อย่าได้คิดว่าฉันเก่งหาเงินได้เอง
เห็นมาหลายรายที่คิดด้านเดียวไม่ลงมือทำ ถือเรื่องศักดิ์ศรีไม่เข้าเรื่อง ตัดโอกาสของลูกตัวเอง ศักดิ์ศรีจะหมดไปถ้ายอมเป็นเมียหลวงต่างหาก
ไอ้เก่งหาเงินเลี้ยงตัวอันนั้นน่ะต้องเป็นอยู่แล้ว ไม่เป็นสิแย่ แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากชู้และค่าเลี้ยงดูจากว่าที่อดีตผัวเฮงซวยด้วย
ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นยอดหญิง อยู่บนโลกแห่งความจริง เพราะลูกเราใช้เงินทุกวัน แถมเงินมันเฟ้อทุกปี และลูกคือผลผลิตของพ่อด้วยก็ต้องรับผิดชอบ
นอกจากนั้นลูกเสียโอกาสจะมีครอบครัวที่มีพ่อแม่อยู่ในเวลาเดียวกัน ร่วมกันฟูมฟักเลี้ยงดูเขา ดังนั้นคนที่ทำลายสถานะต้องจ่ายค่าเสียโอกาสชดเชยซะ
คุณจขกท.เสียใจได้ แต่อย่าเสียรู้ คนเรามีวีนที่คู่ครองจู่ๆก็เป็นอื่นได้ แต่หลักๆคือจะดำเนินชีวิตในสถานภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไรให้มีความสุข
อดีตคืออดีตไม่มีวันย้อนกลับ ปัจจุบันคือเส้นทางของอนาคต ข้อดีของการจดทะเบียนก็คือฟ้องอะไรถนัดมือดีมากค่ะ
ฟ้องชู้เสร็จ ฟ้องหย่าไอ้ผัวเฮงซวย เรียกค่าดูแลลูกตามที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้ อย่าโง่หย่าเฉยๆ อย่าได้คิดว่าฉันเก่งหาเงินได้เอง
เห็นมาหลายรายที่คิดด้านเดียวไม่ลงมือทำ ถือเรื่องศักดิ์ศรีไม่เข้าเรื่อง ตัดโอกาสของลูกตัวเอง ศักดิ์ศรีจะหมดไปถ้ายอมเป็นเมียหลวงต่างหาก
ไอ้เก่งหาเงินเลี้ยงตัวอันนั้นน่ะต้องเป็นอยู่แล้ว ไม่เป็นสิแย่ แต่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากชู้และค่าเลี้ยงดูจากว่าที่อดีตผัวเฮงซวยด้วย
ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นยอดหญิง อยู่บนโลกแห่งความจริง เพราะลูกเราใช้เงินทุกวัน แถมเงินมันเฟ้อทุกปี และลูกคือผลผลิตของพ่อด้วยก็ต้องรับผิดชอบ
นอกจากนั้นลูกเสียโอกาสจะมีครอบครัวที่มีพ่อแม่อยู่ในเวลาเดียวกัน ร่วมกันฟูมฟักเลี้ยงดูเขา ดังนั้นคนที่ทำลายสถานะต้องจ่ายค่าเสียโอกาสชดเชยซะ
คุณจขกท.เสียใจได้ แต่อย่าเสียรู้ คนเรามีวีนที่คู่ครองจู่ๆก็เป็นอื่นได้ แต่หลักๆคือจะดำเนินชีวิตในสถานภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไรให้มีความสุข
อดีตคืออดีตไม่มีวันย้อนกลับ ปัจจุบันคือเส้นทางของอนาคต ข้อดีของการจดทะเบียนก็คือฟ้องอะไรถนัดมือดีมากค่ะ
ความคิดเห็นที่ 31
"ความซื่อสัตย์" คือ รากฐานของครอบครัวที่อบอุ่น และสังคมที่ดี ...
เพราะแบบนี้สังคมจึงวุ่นวาย อย่าไปคิดว่าเป็นเพียงปัญหาส่วนตัว แต่มันมีผลกระทบต่อสังคม
คนในสังคมที่ไม่มี "คุณภาพ" ไม่มีศีลธรรมประจำใจแบบนี้ แล้วจะหวังให้ประเทศชาติพัฒนาอย่างถาวรได้อย่างไร
คนที่ตะโกนบอกว่าประเทศทำไมไม่ไปไหน ลองดูพฤติกรรมคนไทยที่ก่อความวุ่นวายดู
ทั้งการขับรถบนท้องถนนก็บ่งบอกอะไรหลายอย่าง ...
เพราะแบบนี้สังคมจึงวุ่นวาย อย่าไปคิดว่าเป็นเพียงปัญหาส่วนตัว แต่มันมีผลกระทบต่อสังคม
คนในสังคมที่ไม่มี "คุณภาพ" ไม่มีศีลธรรมประจำใจแบบนี้ แล้วจะหวังให้ประเทศชาติพัฒนาอย่างถาวรได้อย่างไร
คนที่ตะโกนบอกว่าประเทศทำไมไม่ไปไหน ลองดูพฤติกรรมคนไทยที่ก่อความวุ่นวายดู
ทั้งการขับรถบนท้องถนนก็บ่งบอกอะไรหลายอย่าง ...
แสดงความคิดเห็น
จะทำตัวให้เข้มแข็งได้อย่างๆไร เมื่อสามีเดินมาบอก “เธอฉันมีครอบครัวส่วนขยายเพิ่ม?” แต่เธอไม่ใช่เมียหลวงนะ
วันนึงประมาณสัปดาห์ที่แล้ว สามีเดนมาพูดทำนองทีเล่นทีจริง ว่า “ถ้ามีผู้หญิงอีกคนนึงเข้ามาในชีวิตครอบครัวเรา หญิงคนนั้น ขยันทำมาหากิน ทำงานหาเงินเก่งมาก และยอมรับได้ที่เขามีลูก และภรรยาอยู่ที่บ้านแล้ว เราจะโอเคมั๊ย ไม่ใช่การเลิกกันเพื่อไปอยู่แบผู้หญิงคนนั้น แต่เป็นการหาคนมาเพิ่มอีกคนมาช่วยกันทำงานหาเงิน เลี้ยงลูก เลี้ยงครอบครัว เป็นครอบครัวส่วนขยายไง” ณ ตอนนั้นคิดว่าสามีเราพูดเล่น
เมื่อคืน สามีมาสารภาพ ว่าสิ่งที่ลองถามเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนั้นยอมรับและพร้อมที่จะดูแลสามีเรา ครอบครัวเรา เพราะสามีให้เหตุผลกับเรา (หรือเป็นข้ออ้างก็ไม่รู้) ว่าสิ่งที่ทำเพื่อลูก และเรา ซึ่งมันใช่เหรอ ?
เรา หน้าชา เหมือนโดนตบหน้า ไม่ย้อนถามสักคำว่าเราทำอะไรผิดเหรอ ไม่โมโห ไม่โวยวาย ได้แต่นิ่ง น้ำตาไหล สะอื้นไปพักใหญ่ คิดในใจ เราได้สถานะเมียหลวงแล้วเหรอ แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม บอกสามีว่าเรารับไม่ได้ เครียดและรู้สึกรังเกียจสามีตัวเองมากที่มีความคิดและทำกับเราแบบนี้
เราบอกกับสามีเรา ว่าตอนนี้เรามีสถานะเป็นเมียหลวงแล้วใช่มั๊ย? เขาบอก “ไม่ใช่นะ มันเป็นแค่ครอบครัวส่วนขยายเพิ่มต่างหาก ยังรักเราอยู่เหมือนเดิม อย่าไปจากเขา อย่าอุ้มลูกหนีเขาไป แต่เขาขอ ขอครอบครัวส่วนขยายเพิ่ม เท่านั้น”
พูดตรง ๆ กับสามี เธอเห็นแก่ตัวเนอะ ช่างเลี่ยงบาลี หาคำมาพูด ว่ามันเป็นเพียงแค่ “การสร้างครอบครัวส่วนขยาย” เราก็ยังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ฉันไม่ได้เป็นเมียหลวง ฉันก็ยังเป็นของฉันแบบนี้ เราก็ยังอยู่และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นเขาแค่เข้ามาช่วยเราดูแลคอบครัวเราให้ดีขึ้น เธอพูดออกมาทั้งหมดไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ
“รู้สิ และเสียใจที่ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่เขาต้องทำการทำให้ครอบครัวเราสบายขึ้น” คำตอบที่ได้จากสามี
ยอมรับว่าตอนนี้ครอบครัวเรามีปัญหาทางค่าใช้จ่ายเยอะมาก แต่นี่เหรอคือทางแก้ปัญหาของหัวหน้าครอบครัว
ตอนนี้ สงสารตัวเอง สงสารลูก อยากพาลูกหนีไปจากผู้ชายคนนี้ แต่ยังใจไม่แข็งพอ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยอมรับยังหลงติดคำคำว่ารักที่เข้าเฝ้าบอก แต่ทำไมความรู้สึกไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ได้แต่หวังเมื่อถึงวันนึงที่เราเข้มแข้งพอ เราจะก้าวเดินออกมาพร้องลูกของเราได้อย่างสง่างาม
ใครมีปัญหาอย่างเราบ้างคะ แล้วคุณก้าวผ่านมันมาได้อย่างไร ขอคำแนะนำด้วยค่ะ