ทำไมเกลียดเกย์คนที่มีความคิดแบบนี้จัง! VS ผู้หญิงก็คิดเปลี่ยนแต่เพศอื่น ทำไมไม่ลองคิดเปลี่ยนตัวเองบ้าง?

ทำไมเกลียดเกย์คนที่มีความคิดแบบนี้จัง?

สำหรับเกย์ที่นิยามตัวเองว่าชอบผู้หญิง (ไม่ใช่ไบ) อยากแต่งงานมีครอบครัวเนี่ย เกย์ประเภทนี้เขาจะมองแค่ตัวเอง มองแค่ปัญหาของตัวเอง ไม่คิดจะมองปัญหาของเกย์คนอื่น ๆ เลยว่าเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน (จขกท ก็เกย์นะครับ) เขาก็ถูกครอบครัวสังคมต่อต้านบังคับขู่เข็นให้เลิกเป็นเหมือนกัน อยากให้เป็นชายจริงคู่หญิงแท้ทั่วไป อยากมีลูกมีทุก ๆ อย่างอย่างที่ชายจริงหญิงแท้เขามีกัน เกย์ทุกคนต่างก็ต้องเจอชะตากรรมเดียวกัน คนเป็นเกย์ก็รู้ใจตัวเองอยู่แล้วว่าชอบเพศอะไร หลายคนเขาก็ไม่คิดจะเลือกทำแบบนั้น เพราะไม่ใช่ความชอบใจของตนเองที่จะไปหักดิบทำแล้วมีความสุขได้ แต่คนที่ทำแบบนั้นได้ก็คือคนที่หลอกใจตัวเอง หลอกผู้หญิง และก็หลอกทุกคนว่าทำได้ (ทำได้แค่ไหนก็ไม่รู้) และที่จะยืดเยื้อกว่านั้น มันจะเป็นตัวอย่างให้เกย์คนอื่น ๆ หันมาทำตาม ซึ่งอาจจะทำหนักกว่าเดิมเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในทางตรงกันข้าม จะกลายเป็นปัญหาสังคมให้คนอื่นดูถูกเกย์ไม่ยอมรับเกย์หนักขึ้นไปอีก หาว่าเกย์ไม่มีทางเลือกชีวิต ยอมเอาเปรียบเพศที่ไม่ได้ชอบมาสร้างประโยชน์ส่วนตน ซึ่งจะทำให้เกย์คนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องพลอยเจ็บปวดไปด้วย

เกย์บางคนก็คิดว่าอยากให้เด็กมีแม่ ถ้าไม่มีแม่เด็กจะขาดความอบอุ่น เป็นคำพูดที่ดูถูกคนอื่น ๆ ที่เขาเลี้ยงดูมาก ๆ เด็กก็คือไม้อ่อน จะดัดให้เป็นแบบไหนมันก็เป็นแบบนั้น มันขึ้นอยู่กับคนเลี้ยง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลี้ยงให้เขาเป็นแบบไหน คนเลี้ยงเขาใส่ใจดูแลกันแค่ไหน เด็กอบอุ่นต้องมีแม่แค่นั้นหรือ? ไม่มีแม่เด็กก็อบอุ่นได้ เพียงแค่สอนให้เขาคิดเขาแยกแยะ อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร ไม่ควร เติบโตมาเขาก็คงกำหนดชีวิตของเขาได้ วิเคราะห์แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคนที่อยากมีลูกถ้ามีแล้วจะเลี้ยงเขาได้จริง ๆ รึเปล่า ถ้าคนอยากมีลูกมีครอบครัวจริง ๆ ก็คงไม่ต้องมากังวลกับปัญหา "ผมเป็นเกย์แต่กลัวผู้หญิงจะไม่ยอมรับ กลัวเด็กจะไม่มีแม่เด็กจะขาดความอบอุ่น" ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่ควรจะมี แต่ถ้าอ้างความกลัวนั้นออกมาก็แสดงว่าคุณหลอกใจตัวเอง (ไม่น่าจะทำได้) ในเมื่อกังวลไม่มีความมั่นอย่างนั้นแล้วจะไปตัดสินใจทำอะไรได้ จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ยังไง ความรู้สึกมันฟ้องว่าทำได้หรือไม่ได้ คนเรามันจับเท็จกันได้ง่าย ๆ อย่างงี้

สำหรับคนที่อยากมีลูกจริง ๆ คุณก็น่าจะไปขอเด็กมาเลี้ยง หรือถ้าไม่ชอบเลี้ยงบุตรบุญธรรม ก็น่าจะไปทำกิ๊ฟหรืออุ้มบุญให้ญาติที่ไว้ใจเขาอุ้มให้ก็ได้ขอแค่ให้ถูกกฎหมาย ทางเลือกชีวิตมีให้เลือกมากมาย ทำไมต้องคิดเอาผู้หญิงที่ไม่ได้ชอบไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาเป็นที่พึ่งใช้เป็นเครื่องมือประดิษฐ์ ไม่เข้าใจ? สมมติว่ามีลูกด้วยกันแล้ว ภาระความรับผิดชอบจะเป็นยังไงต่อไป ใครจะดูแลอะไรยังไง ใครจะได้ประโยชน์เสียอะไรยังไงบ้าง ผู้หญิงจะสามารถให้ทุกอย่างตามที่เกย์ต้องการได้หรือเปล่า ส่วนเกย์ที่ไม่ได้ชอบผู้หญิงจะสามารถให้ทุกอย่างตามที่ผู้หญิงต้องการได้รึเปล่า ไม่รู้… จะทนต่อปัจจัยเสี่ยงยั่วยุด้านอื่น ๆ ได้แค่ไหนก็ไม่รู้… ใครจะเป็นยังไงต่อไปก็ไม่รู้… ความจริงมันเหนื่อยหนักสาหัสกว่าจินตนาการเยอะ ความจริงมันต้องลงมือทำ จินตนาการก็แค่คิด เทียบกันไม่ได้เลยสักนิดเดียว

เกย์ทุกคนที่ประสบทุกข์ก็คงมีความคิดอยากแต่งงาน เมื่อครอบครัวปฏิเสธแบบทันใด ก็คิดอยากแก้เพื่อให้ดับทุกข์แบบทันที มันเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นความคิดที่ขัดแย้งต่อใจตนเอง เหมือนกับเอาจิ๊กซอว์ขนาดต่างกันมาต่อกันมันก็ต่อกันไม่ได้ มีอะไรบ้างในชีวิตนี้ที่ยังไม่ลงมือทำแล้วฟันธงได้ แต่ถ้าเกย์ทุกคนมีสติก็คงจะไม่คิดแบบนี้ ถ้าคิดทำในสิ่งที่ใจรัก ใจชอบ ใจต้องการก็คงจะสุขกว่านี้ใช่หรือไม่?

ประเด็นคำถาม คือ
1. คนเป็นเกย์จะพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวและสังคมเห็นไม่ได้เลยหรอว่าเราก็มีความสุขในแบบของเราได้? เพราะเหตุใดถึงพิสูจน์ไม่ได้?
2. ความเป็นเกย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมันทำให้คนเป็นคนไร้ค่าขนาดนั้นเลยหรอ? ทำอะไรไม่ได้เลยหรอ?
3. การแก้ปัญหาเพื่อให้ครอบครัวและสังคมเข้าใจต้องแต่งงานกับผู้หญิงแล้วมีลูกแค่นั้นหรอชีวิตถึงจะเป็นสุข?
4. คุณมีความสำเร็จอะไรในชีวิตบ้างที่น่าเชื่อถือที่จะเป็นหลักฐานยืนยันว่าคุณดูแลผู้หญิงได้ นี่ใจตัวเองก็ยังไม่ยอมรับ จะเอาชนะตัวเองเพื่อให้คนอื่นยอมรับก็ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปดูแลใจคนอื่นได้ยังไง?

เกย์คืออะไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร?

การนิยามรสนิยมเพศในแต่ละบุคคลก็สำคัญ คำว่าไบส์ เกย์ กระเทย เลสเบี้ยน ทอม ดี้ ทอมเกย์ อะไรต่าง ๆ สังคมเป็นผู้นิยามทั้งนั้น ถ้าหันมาสนใจกลุ่มคนที่ถูกใส่ชื่อพวกนี้ให้ ถามว่าเขาพอใจไหม ก็คงตอบว่าไม่ เพราะคนที่มีรสนิยมแบบนี้ (จขกท ด้วย) ก็คือคนที่สมบูรณ์เหมือนกับคนทั่วไป ไม่ได้ผิดแปลกพิการ เพียงแต่สังคมจะเอารสนิยมเพศมาเป็นตัวแบ่งความสนใจให้มันเกิดลักษณะเฉพาะเพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่แสดงออกและมองเห็นอยู่นั้นมันแทนด้วยคำพูดนี้ แต่อีกด้านนึงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสังคมคนรอบตัวเราเขาคิดอะไรอยู่ แค่ได้เห็นหน้า สบตา เวลาได้พูดคุยก็มักจะสอยมาที่รสนิยมเพศด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าสังคมมีวัตถุประสงค์อะไร เช่น "เป็นเกย์รึเปล่า?" มีแต่เขาอยากรู้เรา ทำไมเราไม่อยากรู้เขาบ้าง ซึ่งเป็นปัญหาที่เพศที่สามมักจะบ่นกัน เฮ้ย ทำไมชอบมองที่เพศ ทำไมไม่มองที่คุณค่าหรืออัธยาศัย เป็นคำถามที่ไม่ให้เหตุผลหรือจุดประสงค์ (เพื่ออะไร) จะเอาคำตอบเราดื้อ ๆ ไปเลย ได้แต่ตั้งข้อสังเกตว่า เขาชอบเรารึเปล่า หรือจะแกล้งรึเปล่า กลับทำให้เกิดความเบื่อหน่ายหรือรำคาญ ทำให้บางคนเลือกตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัว กลายเป็นว่ายิ่งกดดันให้เพศที่สามไม่อยากเผยตัว นอกเหนือจากปัญหาทางครอบครัวและสังคมที่เป็นปัญหาหลัก ๆ แล้ว

เมื่อมีชายหญิงเกิดขึ้น เพศที่สามก็คงมีมาตาม ๆ กัน แต่ที่โหดร้ายแสนจะเจ็บปวดคือเพศที่สามติดอยู่ในยุคมืดมาโดยตลอด เพราะสังคมไม่ยอมทำความเข้าใจ เหตุที่สังคมไม่เข้าใจเพศที่สาม (ชารักชายและหญิงรักหญิง) เป็นเพราะสังคมในประวัติศาสตร์มีความคิดสุดโต่งติดอยู่กับความเชื่อศาสนา ยังไม่เข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ่ง (ปรัชญา) ไม่มีเสรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และทางสังคมที่อยู่กินอย่างสุขสบายได้เหมือนทุกวันนี้ ทุกอย่างถูกกีดกันสิทธิเสรีภาพ แบ่งชนชั้น ไม่มีความเสมอภาค (ทุกวันนี้ก็ยังมี) จะเห็นแต่เรื่องความขัดแย้งสงครามรบราฆ่าฟันกันเต็มไปหมด แต่ทุกวันนี้โลกมันเชื่อมต่อกัน อะไร ๆ ก็เริ่มมีเสรีภาพต่อกันมากขึ้น กลุ่มเพศที่ถูกกดทับไว้หรือแอบคบกันแบบลับ ๆ ก็เผยตัวตนออกมาเป็นชายรักชาย หญิงรักหญิง กลายเป็นเรื่องใหม่ทางสังคม ซึ่งสังคมไม่รู้ว่ามันคือเพศทางเลือกที่ธรรมชาติก็สร้างสรรค์ขึ้นเหมือนชายหญิงแท้ทั่วไป รู้แต่ว่าเป็นสิ่งประหลาดแปลกปลอม เมื่อมีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพขึ้นจนเกิดสิทธิมนุษยชน เมื่อมีหลักสิทธิมนุษยชน คนเราก็กำหนดสิทธิเสรีภาพของตัวเองได้มากขึ้น จึงมีกฎหมายแต่งงานเพศที่สามเกิดขึ้นในประเทศแถบตะวันตก เพราะความคิด+การกระทำของคนมันเปลี่ยนแปลง โลกของเราจึงเปลี่ยนแปลงตาม (ทัศนคติที่สังคมมองว่าเพศที่สามเป็นพวกประหลาดก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว) แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือใจของเรา เรารักอะไร ชอบเพศไหน ต่อให้มีสิ่งมาขัดขวางมันก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรามีความสามารถ เราทำอะไรได้บ้าง แล้วเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมอย่างไร เราก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ยืนด้วยขาของตนเองได้ ทำด้วยมือของตนเองได้ ไม่พึ่งพาหรือเบียดเบียนคนอื่นเพื่อหายใจ เป็นไปไม่ได้ที่ครอบครัวและสังคมจะไม่ยอมรับเราเลย เพียงทุกอย่างต้องใช้เวลาเครื่องมือพิสูจน์แค่นั้นเอง

ทำไมผู้หญิงคิดเปลี่ยนแต่เพศอื่น? ทำไมไม่ลองคิดเปลี่ยนตัวเองบ้าง?

ไม่ใช่แค่ผู้หญิงผู้ชายบางคนยังมีความเชื่อว่า "การคบผู้หญิงจะสามารถทำให้หายจากการเป็นเกย์ได้" ขณะเดียวกันก็มีการคิดประโยคขึ้นมาโต้แย้ง หลายคนก็คงคุ้นหูติดปากกับประโยคนี้ "เกย์ไม่ใช่โรคที่จะรักษาให้หายหรือเปลี่ยนกันได้" จขกท ก็มั่นใจ เพราะไม่มีงานวิจัยอะไรบนโลกใบนี้ที่ทำให้เกย์กลายเป็นชายแท้ได้ เว้นซะจากว่าเขายังไม่รู้ใจตนเองว่าชอบเพศอะไรกันแน่ ถ้าเป็นแล้วหายได้ป่านนี้เกย์ทั่วโลกไม่กลายเป็นชายแท้ไปหมดแล้วหรือ? ไม่เห็นมีเกย์คนไหนมาตั้งกระทู้ในพันทิปอยากเลิกเป็นแล้วไปคบผู้หญิงแล้วหายเป็นจริง ๆ คนที่หายได้คือคนที่รู้ใจตัวเอง แต่เกย์รู้ใจตัวเองอยู่แล้วว่าชอบเพศอะไร จะหายเป็นได้ยังไง เป็นไปไม่ได้  ขอยกตัวอย่างให้คิดง่าย ๆ สมมติว่าวันนี้ต้นกุหลาบออกดอกเป็นสีม่วง แต่มันไม่ชอบ มันอยากมีดอกเป็นสีแดงมันจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นสีแดงเลยได้ไหม  หรือวันนี้งูไม่มีขา เกิดวันนึงมันอยากมีขามันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีขาเลยได้ไหม  เพราะทั้งหมดเป็นธรรมชาติตัวเองล้วน ๆ ธรรมชาติสร้างสรรค์มันขึ้นมาแบบนั้น ส่วน “เกย์” ธรรมชาติก็สร้างเรามาแบบนี้ ไม่ใช่ตัวเราสร้างมันขึ้นจะมาเปลี่ยนกันง่าย ๆ ตามวิธีคิดของตัวเอง

ถ้ายังไม่เข้าใจธรรมชาติ ก็ขอให้เข้าใจความจริงแท้ ความจริงแท้ก็คือปรัชญา แล้วไอ้ความจริงแท้นี้มนุษย์เปลี่ยนมันได้รึเปล่า? มีอะไรบ้างที่มนุษย์เปลี่ยนได้ ถ้าเปลี่ยนได้ก็ต้องเปลี่ยนความเป็นไบส์ เกย์ กระเทย เลสเบี้ยน ทอม ดี้ ทอมเกย์ ได้เหมือนกัน

ผู้หญิง (สาวY) ที่หลงในคารมของเกย์ เพียงเพราะเป็นเพศที่ใกล้ชิดกับเกย์ คิดว่าเกย์จะรักตนเองได้ เขาจะใส่ใจดูแลตนเองได้ทุกอย่าง จึงมีความคิดอยากให้เกย์เปลี่ยนมาชอบตัวเอง ถามว่าเป็นไปได้ไหม? เป็นไปได้แค่บางส่วน ก็แค่รู้สึกดีกับสิ่งที่มอบให้ (เกย์...ไม่ใช่ไบที่สามารถเปลี่ยนได้) อย่าคิดว่าเกย์ทุกคนจะเป็นไปได้อย่างที่คุณดิด สิ่งที่แสดงออกเขาชอบอะไร รักอะไร เกลียดอะไร เป็นธรรมชาติของแต่ละบุคคล ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นแบบนั้น ไม่มีอะไรสามารถไปเปลี่ยนธรรมชาติในตัวของแต่ละบุคคลได้ แต่ถ้ารักหรือชอบใจอยากคบเกย์จริง ๆ ก็ควรจะวางขอบเขต หรือเผื่อใจเพื่อให้ตัวเองได้ทำใจบ้าง ไม่ใช่ทุ่มเสียไปซะทุกอย่างตามความเชื่อตัวเอง เพราะมันเป็นภาพลวงตา มันอาจจะมีความสุขเมื่อตอนเริ่มต้น เพราะเอาความดีแลกใจกันตรงเบื้องหน้า พอมารู้เบื้องหลัง รู้นิสัย รู้สันดาน ข้อเสียที่แท้จริงของกันและกันมากขึ้นเกิดเบื่อรับไม่ได้ขึ้นมาจะทำยังไง โลกใบนี้ไม่มีอะไรบ้างที่เที่ยงตรงแน่นอน  

ผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย เมื่อรู้ผู้ชายคนที่ชอบเป็นเกย์ก็คงรับไม่ได้ รสนิยมทุกคนแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้หญิงคนที่รับความเป็นเกย์ได้ หรือชอบเกย์ เกย์ก็คือผู้ชาย ต่างจากผู้ชายที่รสนิยมและบุคลิกนิสัย ซึ่งบุคลิกนิสัยของคนเป็นเกย์นี่เองที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนรู้สึกชอบและผูกพันธ์ เนื่องจากมีความคล้ายคลึงกันทั้งความอ่อนโยนอ่อนไหว ทำให้ปรับตัวเข้าด้วยกันง่าย จึงไม่แปลกใจที่เกย์ชอบคบหาผู้หญิงเป็นเพื่อน ผู้หญิงก็ชอบตีสนิทกับเกย์ ซึ่งเป็นความรู้สึกทางอารมณ์ที่แปรผันได้ง่ายภายใต้จิตสำนึกของผู้หญิง สิ่งที่สังเกตได้ชัดมาก ๆ คือ อาการดีใจง่าย หัวเราะง่าย โกรธง่าย เกลียดง่าย ร้องไห้ง่าย ในขณะเดียวกันก็สัมพันธ์กันทางร่างกายด้วย ซึ่งจะตอบสนองเร็วกว่าผู้ชาย เพราะผู้ชายมีความหนักแน่น ความหนักแน่นสัมพันธ์กันทางร่างกายและจิตใจ ผู้ชายจึงเป็นเพศที่แข็งแกร่งกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงรสนิยมของผู้หญิงประเภทนี้คือนิสัยและบุคลิก ผู้หญิงประเภทนี้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้หันมาชอบชายแท้ได้ เพราะยังชอบในความเป็นชายอยู่ เป็นไปได้มากกว่าการเปลี่ยนเกย์ให้มาเป็นชายแท้ด้วยซ้ำไป การที่ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้สึกชอบบุคลิกนิสัยใจคอทุก ๆ อย่างของคนเป็นเกย์มันก็คือ "ความหลง" ดีดีนั่นแหละ

*จงแก้ความหลงนั้นซะแล้วชีวิตจะเป็นสุข

แต่หารู้ไม่ความทุกข์ที่เกิดจากความหลงและความอยาก (กิเลสและตัญหา) เป็นอย่างไร การหลงในสิ่งที่มันไม่ใช่ ใช่ในสิ่งที่ไม่ควรคู่แก่ตนเอง (คือทำในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้) ก่อให้เกิดอะไรบ้าง เมื่อได้รักก็หลง เมื่อได้หลงก็โลภ เมื่อไม่ได้โลภก็โกรธ สภาพจิตของคนที่หลงรักเป็นอย่างไร แล้วจิตของคนที่ถูกรักจะเป็นอย่างไร นั่นคือผลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเพศใดก็ตาม เวลาจะตัดสินใจต่ออะไรสักอย่างควรจะไตร่ตรองให้ละเอียดก่อนว่า สิ่งที่คิดทำอยู่นั้นมันคู่ควรแล้วหรือ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่