ตอน เฮ้ย แกมาเรียนวิทยาศาสตร์ทำไมว้า ?
สวัสดีคร้าบบบบบ สมาชิก สุดชิกกี้ด๊าว ชาวพันทิป ฮิปปี้ ทุกท่าน (คำสร้อยจะเยอะไปไหน - -) กระทู้นี้หรือบทความนี้เขียนขึ้นมาเพราะ...เพราะอะไรดีน้า เพราะความอยากเขียนล้วนๆ ฮ่าๆ ไม่ใช่ เขียนเพราะว่าอยากจะเล่าเรื่องราวการเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ และเป็นอนาคตนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ (ดูยิ่งใหญ่) แต่เรื่องเล่าต่อไปนี้ไม่เครียดนะ จะมาเล่าเรื่อยๆ ถ้าคิดถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงการเรียนตลอด 20 กว่าปีอะไรสนุกๆ ได้ก็จะมาเล่า อีกอย่างขอเป็นแนวทางที่น้องๆ นักเรียนที่คิดจะเรียนต่อได้เลือกเส้นทางของตัวเองว่าอยากจะเรียนอะไรดี หวังว่าเรื่องเล่าของพี่จะช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
อ่ะ...เข้า คำถาม เอาปากกาและสมุดลายไทยเล่มงามขึ้นมา
แล้วตอบคำถามของพี่ว่า... “วิทยาศาสตร์คืออะไร ?” ให้เวลา 3 วินาที เขียน !!!!
.
.
นี่เป็นการบังคับเกินไปขออภัยด้วยครับ ฮ่าๆ
ถ้าหากเราย้อนกลับไปถามน้อง ม.6 ที่กำลังจะเลือกสอบต่อพี่คิดว่าคณะวิทยาศาสตร์จะเป็นคำตอบสุดท้าย แล้วอาไตรภพก็จะชี้นิ้วแล้วบอกว่า ถูก...ต้องครับบบ (พี่เกิดยุคไหนคะ ? / พี่ก็เกิดยุคเดียวกับหนูแหละจ๊ะที่มนุษย์เกิดขึ้นมา 50,000 ปีเท่านั้น / ถูกน้องเสกควายธนูเข้าท้อง)
แต่พี่ขอย้อนเล่าถึงชีวิตอันรันทด อดสู ของพี่ให้ฟังแล้วกัน (ปาดน้ำตาทำเสียงกระซิกๆ)
.
หากย้อนกลับไป พี่เป็นเด็กชายที่เกิดมา... (พี่ค่ะ ย้อนไกลไป / อ่อๆ ขอโทษๆ)
คือถ้าถามว่าพี่ตอนสมัยจะจบ ม.6 เนี่ยอยากเรียนอะไร คือตอนนั้นความฝันคืออยากเรียนครูครับ แต่ถ้าย้อนไปตอน ม. 3 ก็อยากเรียนหมอ แต่ชีวิตผกผัน จากแดนอีสานบ้านเกิดเมืองนอน มาเล่นละครบทชีวิตเศร้า ใครจะไปคิดว่าการเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ในมัธยมปลายนั้นมันจะยากเย็นแสนเข็ญ จำได้รางๆ ไม่รางอ่ะจำได้แม่น เรียนฟิสิกส์มาหกเทอม ได้เกรดฟิสิกส์เกรด 1 ทุกเทอม เป็นที่ภาคภูมิใจของพี่ชายที่เรียนจบวิศวะฯ มามากๆ แล้วสมัยนั้นพี่เป็นนักเรียนที่สอบ 7 วิชาสามัญเป็นรุ่นแรก จะบอกว่าพี่ขนสอบมันทุกวิชาและวิชาที่คะแนนดีที่สุดเป็นวิชาอะไรครับ ใช่แล้วครับบ (ใครตอบแกอ่ะ ?) ชีววิทยา แล้วสอบ Gat-Pat อีก ตอนนั้นจะบอกว่าเรียนมา 3 ปีใน ม.ปลายไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียใจที่ไม่ตั้งใจเรียน เสียดายข้าวที่แม่อุตส่าห์เลี้ยงให้กระต่ายน้อยน่ารักอย่างพี่กิน (ว่าแล้วก็คิดถึงแม่ ขอไปโทรศัพท์หาแม่แปป)
จำได้ว่าตอนไปสอบ Gat-Pat รอบแรกเดือนตุลา เดินเข้าห้องสอบผิดแล้วไปนั่งที่แล้วด้วยนะ ครูคุมสอบใส่แว่นอย่างกับครูไหวใจร้ายในละครเดินมา ขยับแว่นนิดหนึ่งพร้อมกับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนอื่นก่อนจะบอกเสียงแหลมสูง 120 เดซิเบลอย่างกับอยู่สนามบิน
“ทำไมไม่ตรวจรายชื่อหน้าห้องก่อน !! เข้ามานั่งได้ยังไง โตจนป่านนี้แล้ว !!!!”
ในใจพี่อยากจะเถียงครูกลับไปว่า “พ่อผมไปทำให้ญาติครูฮ่อเลือดหรอครับ ? ถึงมาตะโกนเสียงดังใส่แบบนี้”
.
.
ตอนนั้นในใจฮึกเหิม เลยลุกขึ้นกัดฟันกรอด
“ขอโทษครับครู ผมไม่ได้อ่าน ผมผิดเอง”แล้วทำหน้าสำนึกผิดเดินออกจากห้องสอบพร้อมกับเสียงเศษหน้าตกลงพื้น อายๆ ก็อาย แต่ก็ต้องไปนั่งสอบห้องข้างๆ
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนเข้าห้องสอบระดับประเทศกรุณาอ่านชื่อหน้าห้องด้วย ไอ้โง่ !!!!
กลับมาที่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร อยากจะบอกจริงๆ น้องเอ้ย พี่ไม่ได้อยากเรียนหรอก แต่ในสมัยที่เลือกแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยเกรดสะสมที่ทำมากับคะแนน O-net และ Gat-Pat ช่างต่ำเตี้ยเรี่ยราดเป็นราดหน้ามาก เลยคิดอยู่นานว่าจะเรียนอะไร ความฝันอยากเป็นหมอสมัย ม.3 ตกแอ๊กไปเพราะรู้สึกสมองไม่รองรับความฉลาดและอดทนของหมอ ความฝันจะเป็นครูก็มาดูคะแนนก็มีโอกาสแต่เป็นแสงเทียนที่ริบหรี่เหมือนไส้จะหมด แต่พี่ก็เลือกเรียนครูไว้อันดับหนึ่งนะ อันดับอื่นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ
วันประกาศผลออกมา เป็นไงล่ะ ยิ้มร่า
พี่ติดครูหรอคะ ?
ไม่ใช่ครับพี่ได้เรียนคณะวิทยาศาสตร์อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ปรบมือ !! (แปะๆๆๆๆๆ / ขอบคุณทุกคนที่ให้เกลียด เอ้ย ให้เกียรติครับ)
.
.
นั่นแหละครับน้องชีวิตอันแสนทรหด จากเด็กชายตัวน้อยๆ ที่มีความฝัน จนตอนนี้เป็นนักศึกษาวิทยาศาสตร์ติสท์แตกชั้นปีที่ 4 แล้ว จะจบอีกภายในไม่ถึงปี คิดแล้วก็อยากจะปักธงชัย (โคราชหรอครับ / ป่าวครับน้อง) ว่าที่เราพี่ไม่ใช้คำว่าทนเรียนนะ แต่พี่ใช้คำว่า เรียนให้สนุก จนผ่านพ้นมาได้ดีกว่า
น้องอาจจะมีคำถามที่ว่า แล้วเรียนวิทยาศาสตร์มันสนุกหรอ พี่ชอบหรอ ?
พี่อยากจะบอกครับว่า เราไม่มีทางรู้ว่าเราไม่ชอบอะไร จนกว่าจะได้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ พี่คิดแบบนี้ จนพี่คิดว่าที่พี่เรียนวิทยาศาสตร์มา ถ้ารวมๆ แล้วก็ตั้งแต่ ป.1 สมัยที่ยังเรียกว่าวิชา สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตหรือ สปช. นั่นแหละครับ เราเจอมันตลอด แล้วพี่คิดว่าวิทยาศาสตร์มันมีอะไรสนุกๆ อีกเยอะแยะมากมาย พี่ได้ออกพื้นที่ไปทำแลบนอกสถานที่ ได้เจอพี่พี่ๆ ที่ชอบในสิ่งเดียวกัน ได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน พี่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการเรียนรู้ อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ฮ่าๆ ถ้าเรายอมรับการเรียนรู้ คอยรับความรู้ตลอดเวลา ไม่ได้เครียดกับมันจนเกินไป พี่ว่าเราเรียนอะไรก็สนุกทั้งหมดและครับ อย่างเช่น
คนที่เรียนหมอ เค้าอาจจะสนุกกับการที่ได้รักษาคนไข้และทำให้พวกเขาหายป่วย
คนที่เรียนวิศวะฯ เค้าอาจจะสนุกกับการสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสร้างความสะดวกให้กับคนอื่น
คนที่เรียนครู เค้าอาจจะมีความสุขที่ได้สอนเด็กๆ ให้เป็นคนดี
พี่ว่าเรียนอะไรแล้วเรามีความสุขก็เลือกเรียนแบบนั้นครับ เราไม่ต้องดิ้นรนเรียนอะไรที่สามารถหางานได้ง่ายๆ แต่เราไม่มีความสุขกับมัน
พี่มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนสัตวแพทย์ เพื่อนคนนี้ของพี่ไม่มีทีท่าว่าจะเรียนอะไรที่เป็นงานละเอียดอ่อนได้เลย โดยเฉพาะกับการรักษาสัตว์ ถ้าพี่มีสุนัข พี่คนหนึ่งแหละจะไม่เอาไปรักษากับมัน ฮ่าๆ
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็สู้เรียนของเขามาได้ แม้อาจจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่เขาก็พยายามที่จะทำให้ออกมาดีที่สุด เพราะเขามีความสุขกับการได้อยู่กับสัตว์และทำให้พวกมันหายป่วย พี่เคยถามเขานะตอนที่เรียนจบเทอมแรกแล้วเขาได้เกรดน้อยมากๆ
“แกจะเรียนรอดหรอ ซิ่วไหมแก” (ความจริงมันหยาบกว่านั้นนะครับ ไปคิดเอาเอง ฮ่าๆ)
รู้ไหมเพื่อนพี่ตอบว่ายังไง
“เลือกมาแล้ว เรามีความสุขกับตรงนี้ แม้มันจะเหนื่อยแต่ก็ต้องผ่านไปให้ได้ ทำไงได้ รักมันไปแล้วนี่”
พี่ถึงได้เข้าใจว่า เราจะเรียนอะไรไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับที่เราเรียนหรือเปล่า พี่เจอเพื่อนหลายคนครับที่กำลังท้อกับการเลือกเดินเส้นทางผิดเพราะฟังคำผู้ใหญ่ว่าเรียนคณะนั้นสิ สบาย เรียนคณะนี้สิหางานง่าย แต่จงทำตามความตั้งใจของเราครับ เลือกจุดหมายของเราไว้ ทำให้ได้ตามฝัน จุดหมายไม่ไกลเกินจริงงงงง (จบได้สวยงาม)
เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรสนุกๆ มาเล่าให้ฟังอีก เจอกันใหม่นะครับ หากมีอะไรล่วงเกินหรือผิดพลาดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
เรื่องเล่าจากนัก (ศึกษา) วิทย์ฯ ติสท์แตก ! ตอน เฮ้ย แกมาเรียนวิทยาศาสตร์ทำไมว้า ?
สวัสดีคร้าบบบบบ สมาชิก สุดชิกกี้ด๊าว ชาวพันทิป ฮิปปี้ ทุกท่าน (คำสร้อยจะเยอะไปไหน - -) กระทู้นี้หรือบทความนี้เขียนขึ้นมาเพราะ...เพราะอะไรดีน้า เพราะความอยากเขียนล้วนๆ ฮ่าๆ ไม่ใช่ เขียนเพราะว่าอยากจะเล่าเรื่องราวการเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ และเป็นอนาคตนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ (ดูยิ่งใหญ่) แต่เรื่องเล่าต่อไปนี้ไม่เครียดนะ จะมาเล่าเรื่อยๆ ถ้าคิดถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงการเรียนตลอด 20 กว่าปีอะไรสนุกๆ ได้ก็จะมาเล่า อีกอย่างขอเป็นแนวทางที่น้องๆ นักเรียนที่คิดจะเรียนต่อได้เลือกเส้นทางของตัวเองว่าอยากจะเรียนอะไรดี หวังว่าเรื่องเล่าของพี่จะช่วยได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
อ่ะ...เข้า คำถาม เอาปากกาและสมุดลายไทยเล่มงามขึ้นมา
แล้วตอบคำถามของพี่ว่า... “วิทยาศาสตร์คืออะไร ?” ให้เวลา 3 วินาที เขียน !!!!
.
.
นี่เป็นการบังคับเกินไปขออภัยด้วยครับ ฮ่าๆ
ถ้าหากเราย้อนกลับไปถามน้อง ม.6 ที่กำลังจะเลือกสอบต่อพี่คิดว่าคณะวิทยาศาสตร์จะเป็นคำตอบสุดท้าย แล้วอาไตรภพก็จะชี้นิ้วแล้วบอกว่า ถูก...ต้องครับบบ (พี่เกิดยุคไหนคะ ? / พี่ก็เกิดยุคเดียวกับหนูแหละจ๊ะที่มนุษย์เกิดขึ้นมา 50,000 ปีเท่านั้น / ถูกน้องเสกควายธนูเข้าท้อง)
แต่พี่ขอย้อนเล่าถึงชีวิตอันรันทด อดสู ของพี่ให้ฟังแล้วกัน (ปาดน้ำตาทำเสียงกระซิกๆ)
.
หากย้อนกลับไป พี่เป็นเด็กชายที่เกิดมา... (พี่ค่ะ ย้อนไกลไป / อ่อๆ ขอโทษๆ)
คือถ้าถามว่าพี่ตอนสมัยจะจบ ม.6 เนี่ยอยากเรียนอะไร คือตอนนั้นความฝันคืออยากเรียนครูครับ แต่ถ้าย้อนไปตอน ม. 3 ก็อยากเรียนหมอ แต่ชีวิตผกผัน จากแดนอีสานบ้านเกิดเมืองนอน มาเล่นละครบทชีวิตเศร้า ใครจะไปคิดว่าการเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ในมัธยมปลายนั้นมันจะยากเย็นแสนเข็ญ จำได้รางๆ ไม่รางอ่ะจำได้แม่น เรียนฟิสิกส์มาหกเทอม ได้เกรดฟิสิกส์เกรด 1 ทุกเทอม เป็นที่ภาคภูมิใจของพี่ชายที่เรียนจบวิศวะฯ มามากๆ แล้วสมัยนั้นพี่เป็นนักเรียนที่สอบ 7 วิชาสามัญเป็นรุ่นแรก จะบอกว่าพี่ขนสอบมันทุกวิชาและวิชาที่คะแนนดีที่สุดเป็นวิชาอะไรครับ ใช่แล้วครับบ (ใครตอบแกอ่ะ ?) ชีววิทยา แล้วสอบ Gat-Pat อีก ตอนนั้นจะบอกว่าเรียนมา 3 ปีใน ม.ปลายไม่ได้ช่วยอะไรเลย เสียใจที่ไม่ตั้งใจเรียน เสียดายข้าวที่แม่อุตส่าห์เลี้ยงให้กระต่ายน้อยน่ารักอย่างพี่กิน (ว่าแล้วก็คิดถึงแม่ ขอไปโทรศัพท์หาแม่แปป)
จำได้ว่าตอนไปสอบ Gat-Pat รอบแรกเดือนตุลา เดินเข้าห้องสอบผิดแล้วไปนั่งที่แล้วด้วยนะ ครูคุมสอบใส่แว่นอย่างกับครูไหวใจร้ายในละครเดินมา ขยับแว่นนิดหนึ่งพร้อมกับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนอื่นก่อนจะบอกเสียงแหลมสูง 120 เดซิเบลอย่างกับอยู่สนามบิน
“ทำไมไม่ตรวจรายชื่อหน้าห้องก่อน !! เข้ามานั่งได้ยังไง โตจนป่านนี้แล้ว !!!!”
ในใจพี่อยากจะเถียงครูกลับไปว่า “พ่อผมไปทำให้ญาติครูฮ่อเลือดหรอครับ ? ถึงมาตะโกนเสียงดังใส่แบบนี้”
.
.
ตอนนั้นในใจฮึกเหิม เลยลุกขึ้นกัดฟันกรอด
“ขอโทษครับครู ผมไม่ได้อ่าน ผมผิดเอง”แล้วทำหน้าสำนึกผิดเดินออกจากห้องสอบพร้อมกับเสียงเศษหน้าตกลงพื้น อายๆ ก็อาย แต่ก็ต้องไปนั่งสอบห้องข้างๆ
บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนเข้าห้องสอบระดับประเทศกรุณาอ่านชื่อหน้าห้องด้วย ไอ้โง่ !!!!
กลับมาที่เลือกเรียนวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร อยากจะบอกจริงๆ น้องเอ้ย พี่ไม่ได้อยากเรียนหรอก แต่ในสมัยที่เลือกแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย ด้วยเกรดสะสมที่ทำมากับคะแนน O-net และ Gat-Pat ช่างต่ำเตี้ยเรี่ยราดเป็นราดหน้ามาก เลยคิดอยู่นานว่าจะเรียนอะไร ความฝันอยากเป็นหมอสมัย ม.3 ตกแอ๊กไปเพราะรู้สึกสมองไม่รองรับความฉลาดและอดทนของหมอ ความฝันจะเป็นครูก็มาดูคะแนนก็มีโอกาสแต่เป็นแสงเทียนที่ริบหรี่เหมือนไส้จะหมด แต่พี่ก็เลือกเรียนครูไว้อันดับหนึ่งนะ อันดับอื่นวิทยาศาสตร์ล้วนๆ
วันประกาศผลออกมา เป็นไงล่ะ ยิ้มร่า
พี่ติดครูหรอคะ ?
ไม่ใช่ครับพี่ได้เรียนคณะวิทยาศาสตร์อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ปรบมือ !! (แปะๆๆๆๆๆ / ขอบคุณทุกคนที่ให้เกลียด เอ้ย ให้เกียรติครับ)
.
.
นั่นแหละครับน้องชีวิตอันแสนทรหด จากเด็กชายตัวน้อยๆ ที่มีความฝัน จนตอนนี้เป็นนักศึกษาวิทยาศาสตร์ติสท์แตกชั้นปีที่ 4 แล้ว จะจบอีกภายในไม่ถึงปี คิดแล้วก็อยากจะปักธงชัย (โคราชหรอครับ / ป่าวครับน้อง) ว่าที่เราพี่ไม่ใช้คำว่าทนเรียนนะ แต่พี่ใช้คำว่า เรียนให้สนุก จนผ่านพ้นมาได้ดีกว่า
น้องอาจจะมีคำถามที่ว่า แล้วเรียนวิทยาศาสตร์มันสนุกหรอ พี่ชอบหรอ ?
พี่อยากจะบอกครับว่า เราไม่มีทางรู้ว่าเราไม่ชอบอะไร จนกว่าจะได้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ พี่คิดแบบนี้ จนพี่คิดว่าที่พี่เรียนวิทยาศาสตร์มา ถ้ารวมๆ แล้วก็ตั้งแต่ ป.1 สมัยที่ยังเรียกว่าวิชา สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตหรือ สปช. นั่นแหละครับ เราเจอมันตลอด แล้วพี่คิดว่าวิทยาศาสตร์มันมีอะไรสนุกๆ อีกเยอะแยะมากมาย พี่ได้ออกพื้นที่ไปทำแลบนอกสถานที่ ได้เจอพี่พี่ๆ ที่ชอบในสิ่งเดียวกัน ได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน พี่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการเรียนรู้ อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ฮ่าๆ ถ้าเรายอมรับการเรียนรู้ คอยรับความรู้ตลอดเวลา ไม่ได้เครียดกับมันจนเกินไป พี่ว่าเราเรียนอะไรก็สนุกทั้งหมดและครับ อย่างเช่น
คนที่เรียนหมอ เค้าอาจจะสนุกกับการที่ได้รักษาคนไข้และทำให้พวกเขาหายป่วย
คนที่เรียนวิศวะฯ เค้าอาจจะสนุกกับการสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วสร้างความสะดวกให้กับคนอื่น
คนที่เรียนครู เค้าอาจจะมีความสุขที่ได้สอนเด็กๆ ให้เป็นคนดี
พี่ว่าเรียนอะไรแล้วเรามีความสุขก็เลือกเรียนแบบนั้นครับ เราไม่ต้องดิ้นรนเรียนอะไรที่สามารถหางานได้ง่ายๆ แต่เราไม่มีความสุขกับมัน
พี่มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนสัตวแพทย์ เพื่อนคนนี้ของพี่ไม่มีทีท่าว่าจะเรียนอะไรที่เป็นงานละเอียดอ่อนได้เลย โดยเฉพาะกับการรักษาสัตว์ ถ้าพี่มีสุนัข พี่คนหนึ่งแหละจะไม่เอาไปรักษากับมัน ฮ่าๆ
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็สู้เรียนของเขามาได้ แม้อาจจะไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แต่เขาก็พยายามที่จะทำให้ออกมาดีที่สุด เพราะเขามีความสุขกับการได้อยู่กับสัตว์และทำให้พวกมันหายป่วย พี่เคยถามเขานะตอนที่เรียนจบเทอมแรกแล้วเขาได้เกรดน้อยมากๆ
“แกจะเรียนรอดหรอ ซิ่วไหมแก” (ความจริงมันหยาบกว่านั้นนะครับ ไปคิดเอาเอง ฮ่าๆ)
รู้ไหมเพื่อนพี่ตอบว่ายังไง
“เลือกมาแล้ว เรามีความสุขกับตรงนี้ แม้มันจะเหนื่อยแต่ก็ต้องผ่านไปให้ได้ ทำไงได้ รักมันไปแล้วนี่”
พี่ถึงได้เข้าใจว่า เราจะเรียนอะไรไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับที่เราเรียนหรือเปล่า พี่เจอเพื่อนหลายคนครับที่กำลังท้อกับการเลือกเดินเส้นทางผิดเพราะฟังคำผู้ใหญ่ว่าเรียนคณะนั้นสิ สบาย เรียนคณะนี้สิหางานง่าย แต่จงทำตามความตั้งใจของเราครับ เลือกจุดหมายของเราไว้ ทำให้ได้ตามฝัน จุดหมายไม่ไกลเกินจริงงงงง (จบได้สวยงาม)
เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรสนุกๆ มาเล่าให้ฟังอีก เจอกันใหม่นะครับ หากมีอะไรล่วงเกินหรือผิดพลาดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย