เมื่อวันก่อนเห็นประกาศผลสอบ กสพท.แล้วมีลูกพี่ลูกน้องที่อายยุห่างกันเยอะมีชื่อลุ้นไปเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ ถ้าคะแนนโอเน็ตที่จะตามมาไม่มีปัญหานะ เค้าก็คงได้เป็นนักศึกษาแพทย์สมใจแหงๆ เราก็นึกถึงเรื่องตัวเองเมื่อหลายปีก่อนเลยอยากจะมาแบ่งปัน
ตอนเราเรียนม.ปลายเราเป็นคนหัวดีคือไม่ได้แบบหลงตัวเองนะ คือดีในระดับที่เรียนรู้อะไรก็เข้าใจได้ไม่ยาก ผลการเรียนก็ค่อนข้างดีอยู่สายวิทย์ห้องกลางๆเกรด3ขึ้น และรู้ตัวเองว่าเป็นคนติดเพื่อนมากเพื่อนชอบอะไรก็เฮไปกับเพื่อนด้วย สมัยนั้นจำได้ว่าวิชาแนะแนวคุณครูที่โรงเรียนเคยมาถามว่าอยากเรียนอะไร อยากทำงานสายไหนก็ตอบไม่ได้เพราะอะไรก็เฉยๆไปหมด จนบอกไปว่าคณะนี้ๆๆเพราะจำได้ว่าเป็นคณะที่แก๊งค์เดียวกันอยากเข้า ถ้าคณะที่อยากเรียนเอง ตอนนั้นไม่มีจริงๆ กลวงและเปลือกมาก อ่อเคยกลายเป็นคนเก่งในวิชาหนึ่งด้วยเหตุผลตลกๆคือตั้งใจเรียนเพื่อจะเอามาทำให้ตัวเองเป็นติวเตอร์สอนคนที่ชอบ ก็กลายเป็นเก่งวิชานั้นมากไปจริงๆได้สอนด้วยแต่ก็ไม่ได้เป็นลงเอยเป็นแฟนกัน ฮ่าๆ
ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยน ตอนนั้นสอบได้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพโดยคณะที่ได้มาจากคำแนะนำของผู้ปกครองที่มองว่าจบคณะนี้มาแล้ว อาชีพการงานในอนาคตจะดีแน่นอน เราก็ลงมาเรียนตามใจท่าน แต่ปรากฏว่าเราเพิ่งได้รู้ครั้งแรกในชีวิตว่า ไม่ใช่ว่าอะไรเราก็ทำได้ง่าย เรียนได้ง่ายๆเหมือนที่ผ่านมาไปหมด ไม่ได้รักเนื้อหาคณะที่เรียน แต่ก็ไม่ได้เกลียดไม่ต่อต้านแต่ก็เรียนได้นะเกรดไม่ได้แย่เลย ใช้ได้แต่ไม่สุด
พอเรียนไปถึงซักจะขึ้นปี4 ช่วงนั้นไปชอบเด็กคณะแพทย์ เลยลุยจีบจนได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ๆเลยไปหาตำราที่เด็กแพทย์เรียนมาอ่าน ก็คิดในใจว่าเอ๊ะไม่เห็นยากขนาดที่ใครๆบอกว่ายากกันเลย อาการเป็นหนักมากถึงขั้นไปสิงคณะแพทย์ นั่งอ่านหนังสือกับแฟนที่คณะอ่านไปก็บิ้วด์ตัวเองไปอินไปว่าข้าจะต้องมาเป็นนักศึกษาใหม่คณะนี้ให้ได้ อาการนี้จะว่าเพราะไปจีบชาวแพทย์เลยมีแรงบันดาลใจแบบนี้ก็คงใช่แต่สมัยปี2ที่มีแฟนเป็นสาววิศวะ ก็ไม่มีความคิดจะไปสอบใหม่เข้าวิศวะเลย
ตั้งใจว่ามุ่งมั่นว่าอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เอาหนังสือม.ปลายมาอ่านใหม่ด้วย พวกคู่มือข้อสอบเก่าย้อนหลังก็ไปหามาทำ มั่นใจมากว่าจะสอบได้แน่นอน(เอาจริงอาจไม่ติดก็ได้ แต่ทุกวันนี้ยังเชื่อนะว่าเตรียมตัวดี ยังไงก็ติด) ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มา มาเจอกัน ไม่กลัว ฮ่าๆ
พอที่บ้านรู้เท่านั้นแหละ บ้านแตกเลย ฮ่าๆ คือจริงๆก็เข้าใจผู้ปกครองดีถึงดีที่สุด ว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่ปานกลาง ถ้าลูกเริ่มเรียนใหม่ก็จะเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจไปอีกหลายปี พอเรียนจบก็ทำงานตรงสายคณะที่จบมาพักหนึ่งแต่ด้วยจังหวะชีวิต ทำให้ได้มาทำงานอีกเส้นทางที่ไม่เกี่ยวกับคณะที่เรียนมาเลย(แต่ได้งานเพราะกิจกรรมที่ทำสมัยเป็นนักศึกษาด้วยรายได้ที่ดีกว่าอาชีพเดิม)
ทุกวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว คิดแล้วยังเสียดายพอรู้อยู่ว่าพอมาเรียนหมอหรือเป็นหมอเข้าจริงๆมันคงมีทั้งเรื่องสุขและทุกข์เหมือนทุกอาชีพ ตอนเลิกกับเด็กแพทย์แต่ความคิดอยากเป็นหมอในหัวก็ยังวนๆอยู่ทุกปีไม่ได้หายไปไหน ฮ่าๆ
จริงๆถ้าตอนนั้นยอมแข็งกับที่บ้านแล้วถ้าสอบได้จะขอกู้เงินเรียนเองทุกวันนี้อาจจะได้เป็นหมอไปแล้วมั้ง
ที่เขียนมาไม่ใช่ว่าไม่พอใจกับหน้าที่การงานและอาชีพในปัจจุบันที่เอาเข้าจริงก็สนุกพอสมควร คำพูดที่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ คือความจริงแท้ที่ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่เห็นการประกาศผล กสพท.แล้วตะกอนความคิดมันฟุ้งขึ้นมาเอง
เห็นผลสอบ กสพท.ของเด็กแล้วนึกถึงตัวเองเมื่อครั้งอยากเป็นหมอ :)
ตอนเราเรียนม.ปลายเราเป็นคนหัวดีคือไม่ได้แบบหลงตัวเองนะ คือดีในระดับที่เรียนรู้อะไรก็เข้าใจได้ไม่ยาก ผลการเรียนก็ค่อนข้างดีอยู่สายวิทย์ห้องกลางๆเกรด3ขึ้น และรู้ตัวเองว่าเป็นคนติดเพื่อนมากเพื่อนชอบอะไรก็เฮไปกับเพื่อนด้วย สมัยนั้นจำได้ว่าวิชาแนะแนวคุณครูที่โรงเรียนเคยมาถามว่าอยากเรียนอะไร อยากทำงานสายไหนก็ตอบไม่ได้เพราะอะไรก็เฉยๆไปหมด จนบอกไปว่าคณะนี้ๆๆเพราะจำได้ว่าเป็นคณะที่แก๊งค์เดียวกันอยากเข้า ถ้าคณะที่อยากเรียนเอง ตอนนั้นไม่มีจริงๆ กลวงและเปลือกมาก อ่อเคยกลายเป็นคนเก่งในวิชาหนึ่งด้วยเหตุผลตลกๆคือตั้งใจเรียนเพื่อจะเอามาทำให้ตัวเองเป็นติวเตอร์สอนคนที่ชอบ ก็กลายเป็นเก่งวิชานั้นมากไปจริงๆได้สอนด้วยแต่ก็ไม่ได้เป็นลงเอยเป็นแฟนกัน ฮ่าๆ
ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยน ตอนนั้นสอบได้มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพโดยคณะที่ได้มาจากคำแนะนำของผู้ปกครองที่มองว่าจบคณะนี้มาแล้ว อาชีพการงานในอนาคตจะดีแน่นอน เราก็ลงมาเรียนตามใจท่าน แต่ปรากฏว่าเราเพิ่งได้รู้ครั้งแรกในชีวิตว่า ไม่ใช่ว่าอะไรเราก็ทำได้ง่าย เรียนได้ง่ายๆเหมือนที่ผ่านมาไปหมด ไม่ได้รักเนื้อหาคณะที่เรียน แต่ก็ไม่ได้เกลียดไม่ต่อต้านแต่ก็เรียนได้นะเกรดไม่ได้แย่เลย ใช้ได้แต่ไม่สุด
พอเรียนไปถึงซักจะขึ้นปี4 ช่วงนั้นไปชอบเด็กคณะแพทย์ เลยลุยจีบจนได้ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่ๆเลยไปหาตำราที่เด็กแพทย์เรียนมาอ่าน ก็คิดในใจว่าเอ๊ะไม่เห็นยากขนาดที่ใครๆบอกว่ายากกันเลย อาการเป็นหนักมากถึงขั้นไปสิงคณะแพทย์ นั่งอ่านหนังสือกับแฟนที่คณะอ่านไปก็บิ้วด์ตัวเองไปอินไปว่าข้าจะต้องมาเป็นนักศึกษาใหม่คณะนี้ให้ได้ อาการนี้จะว่าเพราะไปจีบชาวแพทย์เลยมีแรงบันดาลใจแบบนี้ก็คงใช่แต่สมัยปี2ที่มีแฟนเป็นสาววิศวะ ก็ไม่มีความคิดจะไปสอบใหม่เข้าวิศวะเลย
ตั้งใจว่ามุ่งมั่นว่าอยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ เอาหนังสือม.ปลายมาอ่านใหม่ด้วย พวกคู่มือข้อสอบเก่าย้อนหลังก็ไปหามาทำ มั่นใจมากว่าจะสอบได้แน่นอน(เอาจริงอาจไม่ติดก็ได้ แต่ทุกวันนี้ยังเชื่อนะว่าเตรียมตัวดี ยังไงก็ติด) ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ มา มาเจอกัน ไม่กลัว ฮ่าๆ
พอที่บ้านรู้เท่านั้นแหละ บ้านแตกเลย ฮ่าๆ คือจริงๆก็เข้าใจผู้ปกครองดีถึงดีที่สุด ว่าฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร แค่ปานกลาง ถ้าลูกเริ่มเรียนใหม่ก็จะเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจไปอีกหลายปี พอเรียนจบก็ทำงานตรงสายคณะที่จบมาพักหนึ่งแต่ด้วยจังหวะชีวิต ทำให้ได้มาทำงานอีกเส้นทางที่ไม่เกี่ยวกับคณะที่เรียนมาเลย(แต่ได้งานเพราะกิจกรรมที่ทำสมัยเป็นนักศึกษาด้วยรายได้ที่ดีกว่าอาชีพเดิม)
ทุกวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว คิดแล้วยังเสียดายพอรู้อยู่ว่าพอมาเรียนหมอหรือเป็นหมอเข้าจริงๆมันคงมีทั้งเรื่องสุขและทุกข์เหมือนทุกอาชีพ ตอนเลิกกับเด็กแพทย์แต่ความคิดอยากเป็นหมอในหัวก็ยังวนๆอยู่ทุกปีไม่ได้หายไปไหน ฮ่าๆ
จริงๆถ้าตอนนั้นยอมแข็งกับที่บ้านแล้วถ้าสอบได้จะขอกู้เงินเรียนเองทุกวันนี้อาจจะได้เป็นหมอไปแล้วมั้ง
ที่เขียนมาไม่ใช่ว่าไม่พอใจกับหน้าที่การงานและอาชีพในปัจจุบันที่เอาเข้าจริงก็สนุกพอสมควร คำพูดที่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ คือความจริงแท้ที่ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่เห็นการประกาศผล กสพท.แล้วตะกอนความคิดมันฟุ้งขึ้นมาเอง