[CR] ไปกินราเมงที่อยู่บนยอดภูเขาไฟฟูจิ ‎¥800 (270บาท) กับความทรงจำที่หลงเหลือ

โชคดีที่ได้เปิดมาเจอรูปเก่าๆครั้งตอนที่ได้มีโอกาสได้ไปเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิในแบบฉบับของผมเองครับ
เลยเอามาแต่งและอยากมานำเสนอไว้เป็นอีกมุมมองอีกมุมหนึ่งจากคนที่รักในการท่องเที่ยวและการถ่ายรูปและทำวีดีโอ
เกร็ดความรู้ในการเดินทางอาจจะลืมๆไปบ้างแล้วผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ด้วยนะครับ ยิ้ม

ถ้าเกิดชอบผลงานของผมสามารถเข้าไปดูวีดีโอหรือรูปภาพการท่องเที่ยวอื่นๆได้ใน link ข้างล่างนี้ได้เลยนะครับ

https://www.facebook.com/petcheer



ผมมีโอกาสได้เจอเพื่อนชาวต่างชาติ และเค้าได้แนะนำผมว่าหน้าร้อนของญี่ปุ่นสามารถไป hiking ที่ภูเขาไฟฟูจิได้
ผมจึงไม่ลังเลแล้วศึกษาเส้นทางในการเดินทางจากโตเกียวไปที่บริเวณที่สามารถเดินขึ้นต่อไปได้นั้นคือ Mt. Fuji 5th Station
โดยซื้อตั๋ว JR แบบเหมาไปกลับ นั่งรถไฟจาก shinjuku ไฟ kawaguchiko และต่อรถบัสไป Mt. Fuji 5th Station



เมื่อมาถึงในวันแรกก็แวะไป lake kawaguchiko และบริเวณรอบๆ



เป็นรูปมุมสุดฮิตที่ผมเคยเห็นมาบางใน pantip ก็ขอสักรูปมันครั้งแรกในชีวิตนี้หน่า


จากนั้นพอจะมีเวลาจึงแวะไปที่ Mt. Fuji 5th Station เพื่อถามข้อมูลและว่างแผนในการจะเดินขึ้นภูเขาไฟ



แผนที่ทางเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิเป็นแบบนี้นี่เอง


จากนั้นก็เดินสำรวจรอบๆเท่าที่จะเดินได้




เดินไปตามทางก็จะเจอทางขึ้นอีกด้านที่ไม่ใช่เป็นทางเดินขึ้นเขา แต่ก็มีวิวให้เพลิดเพลินเหมือนกันนะเนี่ย







จากนั้นได้ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ว่าจะใช้เวลาในการเดินเท่าไหร่เพราะผมมีเวลาที่จำกัด คนส่วนใหญ่จะมาเดินกันในเวลากลางคืน
เพื่อที่จะได้ขึ้นไปถึงยอดในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดีและก็เดินกลับลงมา ส่วนวันนี้ผมก็ไม่พร้อมที่จะขึ้นไปในตอนกลางคืนเพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย จึงคิดว่าไม่น่าจะทนความหนาวไหว


เจ้าหน้าที่บอกว่า ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมงในการเดินทั้งหมด ผมจำเวลาของรถบัสไม่ได้ แต่ที่จำได้ว่าถ้ามารถบัสเที่ยวแรกจาก kawaguchiko - Mt. Fuji 5th Station และเดินขึ้นและลงเขา 11 ชั่วโมงจะไม่ทันรถบัสกลับ จาก Mt. Fuji 5th Station - kawaguchiko และก็จะไม่ทันรถไฟจาก kawaguchiko - tokyo ผมจะต้องเสียเงินเยอะเลยทีเดียว เพราะงั้นผมจึงกลับไปนอนคิดที่โรงแรมว่าจะลองเสี่ยงดูมาขึ้นภูเขาดีมั้ยเพราะถ้าสามารถทำเวลา ขึ้น-ลง ภายใน 8 ชั่วโมงจะทันรถทุกเที่ยว จนถึงถึง TOKYO นั้นแปลว่าผมมีเวลา เดินขึ้น-ลงรวม 7 ชั่วโมง เพื่อที่จะมีเวลา 1 ชั่วโมงที่จะได้ไปเดินดูยอดเขาและนั่งกินราเมงที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในคืนนั้นเมื่อผมกลับที่พักระหว่างที่คิดตัดสินใจก็เดินไปซื้อเสบียงเตรียมพร้อมสำหรับเดินขึ้นเขาก่อนซะงั้น และบอกตัวเองว่า โอเค พรุ่งนี้ตื่นให้ทันรถเที่ยวแรกแล้วค่อยว่ากันอีกที่ คิดเสร็จก็เก็บของที่จะใช้พรุ่งนี้ ไปในกระเป๋าทั้งหมด


พอตื่นขึ้นร่างกายก็พุ่งไปที่รถบัส  kawaguchiko - Mt. Fuji 5th Station ก่อนความคิดจะตัดสินใจไปซะอีก 5555 โพล่อีกที่ก็ไปได้ไม้เท้าจากคนที่เดินลงจากยอดเขาซะแล้ว




ทำให้การเดินขึ้นภูเขาไฟครั้งนี้มีเดิมพันเป็นรถบัสเที่ยวสุดท้าย 55555 ไม่รู้เลยจะเจออะไรบ้างไม่รู้จะทำได้มั้ย กับ 8 ชั่วโมง ที่มี ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องเสียเงินค่าที่พักและซื้อตั๋วรถไฟกลับ TOKYO ใหม่หมดเลย



ระหว่างเดินไปที่จุดเริ่มต้นก็มีคนเดินสวนลงมามากมายสภาพก็ดูเหนื่อยล้ากันทุกคน ถามตัวเองเอาไงดีตอนนี้ยังกลับทัน



เดินต่อมาก็จะเจอป้ายบอกทางไปข้างหน้าหรือจะกลับหลังดี 555 เหมือนขู่กันซะยังงั้น


จากนั้นก็หายใจลึกๆและบอกตัวเองว่าทำให้ทันเวลาละกันไม่งั้นก็ต้องอดข้าวไปหลายมื้อแหงๆเลย



พอเห็นวิวแรกแล้วก็บอกตัวว่าเอาละไปให้ถึงข้างบนละกันทันไม่ทันก็ไว้คิดอีกที 5555


เดินหน้าต่อแบบฟิตมากๆ


ลืมบอกไปว่ามันเป็นฤดูร้อนเลยไม่ได้เตรียทเสื้อกันหนาวอะไรมาเลยก็ค่อยๆใส่เสื้อที่พกมาในกระเป๋าทีละตัว ทีละตัวตามความหนาว 555 ส่วนรองเท้าไม่ต้องพูดถึง Stefan Janoski รองเท้าที่ไว้ใส่เล่นสเก็ตบอร์ดที่รักสุดๆ แต่ก็เอาหว่ะ ร้องเท้าซื้อใหม่ที่ไหนก็ได้แต่ภูเขาไฟฟูจินี่มีที่เดียว ลุย!!!  ^^




เริ่มเดินจาก Mt. Fuji 5th Station ต้องบอกก่อนว่าภูเขาไฟฟูจิมี ถึง 10 station ด้วยกัน งั้นแปลว่า อ่อเราเริ่มจากครึ่งทาง เดินไปอีก แค่ 5 station เองนะเนี่ย แต่เดี๋ยวก่อน แต่ละ station ก็ห่างกันพอสมควรเลยที่เดียว และก็จะเพิ่มความยากขึ้นไปในแต่ละ station

ระหว่างเดินก็ถ่ายรูปไปมาบ้างแต่ไม่ได้ถ่ายละเอียดต้องขอ อภัยด้วยครับ เน้นมาเล่าสู่กันฟังนะครับผม เพราะผมมีเวลาแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น ขึ้นลงก็หนักเอาการแล้วยังต้องจับเวลาอีก 555 จะนั่งพักนี้ยังต้องคิดเลย  



เดินมาสักพักเจอเสาแดงๆเป็นประตูในแต่ละ station ก็ขอหนึ่งรูปครับผม

ที่ญี่ปุ่นจะเรียนประตูนี้ว่า Torii (โทะริอิ) คือซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น ตั้งไว้เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ว่า อาณาเขตเบื้องหลังเสาโทะริอินี้เป็นอาณาเขตของเทพเจ้า เพื่อที่ผู้คนจะได้ไม่เผลอกระทำการอันจะเป็นการดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณความรู้จาก (วิกิพีเดีย)



เดินต่อไปเรื่อยๆ บางทีก็ร้อนบางหนาวบางก็ต้องใส่เสื้อเพิ่มบ้างถอดออกบ้างครับ



ทางเดินก็เป็นหินเล็กๆบ้าง บางที่ก็เป็นโขดหินบ้างต้องใช้มือช่วยในการปีน



ยิ่งขึ้นสูงวิวก็ยิ่งสวยครับแต่ไม่ต้องกลัวครับ ถึงผมจะไปคนเดียวแต่ก็สามารถไปหาเพื่อนร่วมทางได้ ผมก็สลับกันถ่ายรูปไปมา ยิ้ม




เดินต่อไปก็เจอ station หลายๆ station แต่ละ station จะมีของขายอยู่เหมือนกัน แต่ราคาก็เพิ่มขึ้นตาม มีทั้งขนม ข้าวปั้น จนไปถึง อ๊อกซิเจนแบบพกพา และมีที่พักเป็นแบบ hostel ด้วย และที่เจ๋งไปกว่านั้นแต่ระ station จะมีตราประทับความร้อนสูงไปที่ไม้เท้า ต้องขอโทษที่ไม่มีรูปภาพประกอบ เพราะไม่ได้ประทับตรามาเลยครับ แต่หาดูได้จาก google ครับผม




จากนั้นเดินต่อไปจนไปเจอ ประตูไม้ แต่คราวนี้ไม่ใช่สีแดงครับ แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เท่าไหร่  





เดินต่อไปที่ station สุดท้ายดีใจมากๆที่เจอประตูนี้ เป็นประตูที่พิเศษกว่าประตูอื่น เพราะมีรูปปั้นอยู่สองแท่นเลย นี้หรอ station ที่ 10 ความดีใจมันทำให้ผมลืมความเหนื่อยล้าและการปวดเข่าปวดขาไปหมดเลย ดูเวลา โอ่เรายังทำเวลาได้ดีอยู่เหมือนกัน คือ 4 ชั่วโมง




ทำให้สามารถมีเวลาได้ลิ้มรสชาติของราเมงที่อยู่สูง ราว 3,776 เมตร  



มีให้เลือกอยู่หลายร้านด้วยกัน แต่ด้วยความหนาวจึงรีบเข้าไปในร้านที่คนเยอะที่สุด ก็จะเจอกับนักเดินทางมากมายจากทั่วทุกมุมโลกแม้กระทั้งคนญี่ปุ่นเอง สังเกตว่าเค้าจะมีอุปกรณ์ครบเลย เสื้อกันหนาวด้วย 555 ไอ้เรามีแค่ไม้เท้าอันเก่าๆ และเสื้อที่ใส่หลายๆชั้น 5555

และไม่รอช้ารีบมองหาพนักงานและพูดเลยว่า "ซุมิมาเซน"  แปลว่าขอโทษนะครับ และขอเมนูพร้อมสั่งทันที ไม่รอช้า สั่งราเมงชามใหญ่มาเลยด้วยราคา 800 เยน หรือ ประมาณ 270 บาทไทย




กลิ่นของน้ำซุบแทบจะทำให้ผมร้องไห้ เว่อไปแล้วละ 555555 ก็ขอรับประทานอย่างสุขใจ จนพี่คนข้างเป็นคนญี่ปุ่นถึงกับ บอกเป็นภาษาไทย เดี๋ยวไม่ใช่ ภาษาอังกฤษ ว่าไอจะถ่ายรูปให้ยูเอามั้ยเห็นยูเอนจอยมากกกกกกก ผมก็ว่างตะเกียบและยื่นโทรศัพท์มือถือให้พี่เค้าไปทันที จากนั้นก็กินราเมงต่อไป และได้รูปนี้มาครับ ด้วยแดดที่แรงแต่อากาศที่หนาวเลยไม่รู้สึกร้อนทำให้หน้าผมไหม้แบบนี้เลย 55555 ยิ้ม




ต้องขอบคุณพี่คนนั้นมากๆครับ พอกินเสร็จก็รีบจ่ายตัง และดูเวลาคงต้องรีบไปต่อแล้วก็เดินดูรอบๆ แต่ด้วยวันนั้นมีพายุใต้ฟุ่นผ่านเข้ามาพอดี ลมแรงมากกกกกก มากๆ จนตัวผมปลิวเลย และหนาวเย็นแบบที่ไม่เคยหนาวมาก่อน จึงทำให้ต้องรีบลงมา



รูปนี้พยายามทำเป็นไม่หนาว 5555555 ถ่ายเสร็จรีบเดินหลบลมเลย และรีบหาทางเดินกลับ ทางกลับจะเดินกลับทางเก่าก็ได้หรือไปอีกทางก็ได้ ผมรีบเลยไปอีกทางที่ง่ายกว่า


เป็นทางเรียบๆ แต่จริงๆไม่ง่ายเลย เพราะหินเล็กๆมันเยอะและรองเท้าผมไม่ได้ออกแบบมาเดินในสภาพแบบนี้ทำให้ผมลื่นแล้วกลิ้นลงมาเล็กน้อย 5555
แต่ผมก็ใช้เวลาขาลง ทั้งหมด 3 ชั่วโมง สรุปผมใช่เวลาไปทั้งหมด 8 ชั่วโมง ลงมาทันรถบัสและทันรถไฟที่จะไปต่อ TOKYO พอดี มีเวลาอาบน้ำนิดหน่อยที่ที่ให้บริการอาบน้ำ สบายตัวมากๆเลยครับผม
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จในแผนที่ตั้งเอาไว้ และดีใจที่สุดในชีวิตที่ได้ตัดสินใจที่จะขึ้นไปบนยอดเขาไฟฟูจิในครั้งนี้ถ้ามีโอกาสครั้งหน้าจะขึ้นไปตอนกลางคืนและดูพระอาทิตย์ขึ้นและจะนำภาพมาฝากนะครับผม
การเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิในครั้งนี้สอนให้ผมอดทน และว่างแผนอย่างดีเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากยิ่งขึ้น และได้เจอเพื่อนใหม่ร่วมทางได้แลกประสบการณ์และความคิดใหม่ๆ
ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นในฤดูร้อนก็อยากให้ไปลองขึ้นกันนะครับ ไม่ยากไปกว่าเขาในบ้านเราเลย ยิ้ม


"ในการเดินขึ้นภูเขาไฟสำหรับผมในครั้งนี้ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าด้านบนนั้นจะสวยงามแค่ไหน แต่ความสำคัญนั้นอยู่ที่ระหว่างทางในทุกๆก้าวเราได้เดินผ่านมันไปด้วยความอดทนของเรา ไม่ว่ามันจะยากหรือเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม"




" ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบนะครับ "
ชื่อสินค้า:   ภูเขาไฟ Fuji, Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่