ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละตัวบุคคลเลยค่ะ บางคนรู้สึกตัวง่ายมาก บางคนบ้านถล่มก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
เรียกปฏิกริยานี้ง่ายๆ ว่า "การตอบสนองต่อสิ่งเร้า" โดยมีระดับของ "ค่าแอปก้า" เป็นตัวกำหนด/ชี้วัดค่ะ
เราทุกคนจะถูกตรวจเช็คค่าแอปก้าตั้งแต่ยังเล็กๆ โดยกุมารแพทย์ เพื่อให้คำแนะนำให้การดูแลสำหรับคุณพ่อ-แม่อย่างเหมาะสม
คะแนนจะเริ่มตั้งแต่ 0 ถึง 10 ถ้าหากเด็กคนดังกล่าวมีระบบประสาทและการตอบสนองที่ฉับไว (อิมพัลส์) จะมีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่า 5-6 คะแนนขึ้นไป

อิมพัลส์ คือ เวลาที่สัญญาณไฟฟ้าที่ถูกส่งจากตาไปสมองจากสมองไปกล้ามเนื้อส่นต่างๆ ของร่างกาย
โดยระยะเวลาการตอบสนองที่น้อยกว่า 0.10 วินาทีนั้นเป็นไปไม่ได้ในทางวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบัน
ดังนั้นระยะเวลาแค่ 0.10 ก็ถือว่าเป็นขีดสุดของการตอบสนองของร่างกายมนุษย์แล้วค่ะ *เราอาจจะมองภาพไม่ค่อยออกนะคะ*
พูดง่ายๆ ก็คือการที่เรามองเห็นแล้วเคลื่อนไหวทันที คนที่มีสิ่งเหล่านี้เราจะเรียกว่า "ผู้มีพรสวรรค์" ทางด้านร่างกาย

ผู้ที่มีอิมพัลส์ระดับสูงนั้นเหมาะกับการเป็นนักกีฬามืออาชีพที่สุด เพราะจะบุคคลเหล่านี้จะมีการตอบสนองที่รวดเร็วมากค่ะ
และการทำงานทางด้านที่ต้องใช้การตอบสนองอย่างฉับไวของร่างกาย เช่น ตำรวจ ทหาร นักผจญเพลิง ฯลฯ ก็เหมาะสมเหมือนกัน

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนถึงนอนไม่หลับ หากมีเสียงรบกวนในเวลานั้น มีแสงไฟลอดผ่านบ้านประตูแค่เพียงนิดเดียว
จะรู้สึกรำคาญพื้นที่ซึ่งมีคนพลุกพล่าน หรือมีเสียงดังอึกทึกค่ะ เพราะระบบการตอบสนอง/ประสาทของเขาทำงานดีเกินไป *ฮาาา*

ในขณะที่บางคนบ้านไฟไหม้ โจรขึ้นบ้าน หรือ เกิดบางสิ่งขึ้นใกล้ๆ ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ เพราะนอกจากระบบประสาทจะค่อยไม่ดีแล้ว
การอดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอยังเป็นผลทำให้ร่างกายอ่อนล้าถึงขีดสุด และมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ช้าลงไปกว่าปกติอีกค่ะ

ลองไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตำรวจดับเพลิง หรือนักผจญเพลิงได้นะคะ
แล้วเราจะรู้ว่าเครื่องตรวจจับควัน หรือสัญญาณเตือนเพลิงไหม้นั้นถูกออกมาให้เข้ากับระบบการรับรู้/ตอบสนองของมนุษย์
ได้อย่างเหมาะสมที่สุดในเวลานี้แล้ว เพราะเวลาเรานอนหลับไป ระบบสัมผัสเกือบทั้งหมดของร่างกายจะหยุดทำงานตามไปด้วย
ยกเว้น "หู" ของเรานี่ล่ะค่ะ ที่ยังมีการรับรู้/ตอบสนองต่อสิ่งเร้าอยู่ตลอดเวลาค่ะ

ตัวอย่างในชีวิตประจำวันง่ายๆ เลย คือ เราสามารถตื่นได้เวลามีเสียงนาฬิกาปลุก หรือเสียงเรียกนี่ล่ะค่ะ