I Hate You I Love You EP.2 : เมื่อเราได้เห็นชีวิตเทา ๆของชายชื่อโจ



By มาร์ตี้ แม็คฟราย และ มัตสึโกะ


สานต่อเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันต่อกับเรื่องราวของ โจ ตัวละครที่ปูมาให้เราเข้าใจว่า นี่คือเพื่อนเก่าของนานะ (รึเปล่า) ในเส้นเรื่องที่จบลงที่การเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของตัวละครหนึ่ง ทำให้เกิดการคาดเดาขึ้นต่าง ๆนา ๆถึงความเป็นไปได้ในตัวละครของโจว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้างกับตัวละครหลักอีกสี่ตัว ซึ่งพอได้มาดูแล้วก็คงรู้สึกเงิบไปตาม ๆกัน เมื่อผลออกมาค่อนข้างน่าประหลาดใจและผิดคาดไปพอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักที่น้อยกว่าที่คิดไว้ !


เมื่อต้องเล่าตัวละครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักน้อยที่สุด
ในความคิดของทุกคนอาจจะสามารถใช้ความว่าผิดหวัง เนื่องจากไม่สนุกชวนสงสัยเหมือน EP. แรก เลยก็ว่าได้ นั้นเพราะในตอนนี้เลือกที่จะเล่าตัวละครที่เปิดเผยแล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักน้อยที่สุด จริง ๆแล้วเรื่องนี้เราโทษตัวซีรีส์ไม่ได้ เพราะคนดูก็ต่างจินตนาการ ตีโพย ตีพาย ไปเองถึงส่วนเกี่ยวข้องกับตัวละครอื่น แต่จริง ๆแล้ว หากเราดูจากตอน EP.1 ซีรีส์ได้ปูทางให้เราได้เห็นอยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าตัวละครโจ มีจุดเชื่อมโยงกับตัวละครหลักเพียงตัวเดียวเท่านั้น คือนานะ การให้เล่ห์เลี่ยมหลอกล่อไม่ว่าด้วยโปสเตอร์ (ที่ตัวละครโจมองไทเกอร์) และจินตนาการของคนดูที่ทำให้พาลคิดไปไกลกว่านั้นมาก ผลคือทีมผู้สร้างหลอกเราสำเร็จได้แล้วอีกหนึ่งครั้ง และสามารถตัดผู้ต้องหาไปได้แล้วหนึ่งคน (อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เพราะไม่รู้ว่าในตอนหน้าจะมีอะไรพลิกแพลงกับตัวละครตัวนี้อีกหรือไม่)


ในเรื่องราวของผู้ชายชื่อว่า โจ
เมื่อใน EP.นี้เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับเส้นเรื่องหลักน้อยที่สุด ดังนั้นเรื่องราวใน EP. นี้จึงค่อนข้างเป็นเอกเทศ และไม่อิงกับเส้นเรื่องหลักใน 5 วันนั้นมากนัก มีแค่บางส่วนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น (ก็คือส่วนที่เกี่ยวพันกับนานะ) นั้นเปิดโอกาสให้เราสามารถทำความรู้จักตัวละครโจได้อย่างเต็มที่ ในแบบที่แทบจะเป็นเรื่องราวที่ดู(เหมือน)จะนอกเรื่องไปเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่คือชีวิตของโจ ที่ไม่ได้ไปมีเรื่องที่เกี่ยวข้องอะไรกับใครมากนัก เราจึงได้เห็นชีวิตของผู้ชายขายตัวชื่อโจ ที่อาศัยอยู่กับเมียชื่อกระเป๋า ที่เป็นผู้หญิงขายตัวเหมือนกัน แต่วันหนึ่งกระเป๋าเกิดท้องโดยไม่ตั้งใจ (และไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก) โดยที่โจต้องการจะรักษาเด็กในท้องไว้ไม่ว่าจะเป็นลูกของเขาหรือไม่ก็ตาม

สิ่งที่เด่นชัดที่สุดในตอนนี้คือการสร้างความรู้สึกเทา ๆให้กับตัวละครโจ โจเป็นทั้งคนขายตัวซึ่งนอกจากขายตัวแล้ว โจยังเป็นพวกมือเบาชอบลักเล็กขโมยน้อย ตามที่เราได้เห็นในฉากเปิดอีกด้วย แต่จุดขัดแย้งที่เกิดขึ้น คือความต้องการรักษาชีวิตเด็กในท้องของกระเป๋า การเห็นคุณค่าของชีวิตนี่แหละที่ทำให้โจดูเป็นตัวละครที่เป็นสีเทาขึ้นมาทันที ตัวละครแบบนี้น่าสนใจตรงที่ทำให้คนดูรู้สึกขัดแย้งในตัวเองระหว่างที่ดู เป็นอาการที่ไม่รู้จะเอาใจช่วยหรือไม่เอาใจช่วยดี เพราะมีทั้งข้อดีและข้อเสียรวมอยู่ในตัวคนเดียว

ความเทาของตัวละครโจสำคัญมาก มันดำตรงที่ชอบลักขโมย แต่มันขาวตรงที่เห็นคุณค่าของชีวิตเด็กในท้องของกระเป๋า ทั้งที่ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเป็นลูกของตัวเองไหม แต่เมื่อเทียบกันแล้วระหว่างการขโมยกับการเห็นคุณค่าของชีวิต เรื่องขโมยดูเบาไปเลย มันชวนให้เรานึกต่อว่าอดีตของโจ การเติบโตของโจมันเป็นมายังไงนะ ถึงได้เห็นคุณค่าในชีวิตเด็กขนาดนี้ และมันชวนให้นึกว่า การที่คน ๆหนึ่งจะโตมาเป็นคนที่เห็นคุณค่าชีวิตแบบโจมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน ฐานะไม่ได้เป็นตัวทำให้โจเป็นคนคิดแบบนี้แน่ เพราะโจทั้งขายตัวและลักขโมย ความเทาตรงนี้ที่ทำให้ EP.2 เป็นตอนที่ดี แม้ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นและกระตุ้นต่อมความอยากรู้ เท่ากับ EP.1


ดาบสองคมของการเล่าเรื่องในลักษณะนี้
หากเทียบกับซีรีส์โดยทั่วไปแล้ว (ซีรีส์อเมริกัน-อังกฤษ) การเล่าเรื่องแบ่งตอนในลักษณะแบบที่ตอนจบในตอนที่แล้วแบบน่าติดตามสุด ๆ แต่เริ่มตอนใหม่มาเป็นตัวละครอื่นที่เกี่ยวข้องและเล่าที่มาที่ดูอาจจะไม่มีผลกับเรื่องหลัก แต่สำคัญและมีเกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องปกติที่โดยทั่วไปก็ทำกัน (และเคยได้เห็นกันแล้วในซีรีส์ Hormones ซีซั่น 2 ใน EP.ที่ย้อนไปเล่าเรื่องของ วิน ในตอนที่อยู่นิวยอร์คแบบเดี่ยว ๆไม่เกี่ยวกับใคร) ในทางหนึ่งมันคือการยืดเรื่องราวให้ยาวขึ้น แต่ความเก่งกาจของทีมเขียนบทคือการยืดเรื่องนั้นต้องมีการวางปมใหม่ให้กับเส้นเรื่องหลักไปในตัว ไม่ใช่ยืดให้ยาวโดยไร้เหตุผล และประเด็นเรื่องราวที่เกือบเป็นเอกเทศในตอนนี้ต้องมีดีพอและสื่อความหมายบางอย่างได้ในตัวมันเอง ซึ่งในจุดนี้ต้องยอมรับว่า EP.2 ก็สามารถทำได้ตามที่ได้กล่าวไป

แต่ดาบสองคมคือ คนดูนั้นต่อติดกับความรู้สึกและอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับแบบใน EP.1 ไปแล้ว การที่ได้เห็นโทนและอารมณ์ที่แตกต่างกับตอนแรกอย่างชัดเจน ทำให้เกิดเสียงบ่นอุบร่วมกับผิดหวังอยู่ไม่น้อย ซึ่งในจุดด้อยคืออารมณ์ของซีรีส์ทั้งสองตอนดูแตกต่างกันเกินไป ถึงแม้จะเล่าเรื่องแตกต่างกัน โดยมีตัวละครที่มีเส้นเรื่องแตกต่างกัน แต่อย่างน้อยการคุมโทนให้เหมือนกันนั้นหรืออย่างน้อยให้ใกล้เคียง ก็สำคัญไม่แพ้กัน เมื่อโทนดูแตกต่างกันและมีเรื่องราวที่ไม่ทำให้เส้นเรื่องหลักเดินไปข้างหน้ามากนัก ทำให้คำว่าผิดหวังจากคนดูทั่วไป ทางผู้สร้างจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่หากไม่นับในภาพรวม แต่ดูเฉพาะในแง่ของคุณภาพใน EP.2 อย่างเดียวนั้น มีดีได้ในตัวเอง มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเป็นเรื่องใหม่ (ในวงการซีรีส์และละครในประเทศไทย) อย่างเห็นได้ชัด นึกภาพออกมั้ยหาก EP.2 จะออนแอร์ในฟรีทีวี? เรื่องราวล่อแหลมแบบนี้ไม่มีโอกาสได้โผล่หัวขึ้นมาให้คนไทยได้เรียนรู้และเห็นแน่นอน ทั้งที่มันมี”ความดี” อยู่ใน “ความทราม” ที่สามารถสอนอะไรเราได้เหมือนกัน

และสำหรับคนที่บ่นว่าไม่ตื่นเต้นและไม่สนุกเลยสำหรับ EP.2 ของโจ ใน EP.3 เรื่องคงกลับมาเข้ารูปเข้ารอยให้ได้ตื่นเต้นกันอีกครั้ง เมื่อเราจะได้เห็นมุมมองของฝ่ายชายที่ชื่อ ไทเกอร์กันบ้าง ส่วนคำถามในตัวโจที่ว่า สรุปแล้ว โจเป็นเพื่อนเก่านานะจริง ๆหรือตีเนียน? (ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง แต่ก็เป็นปมให้คิดกันต่อไป) และ โจจะมีบทบาทอะไรกับเส้นเรื่องอีก 3 ตอนที่เหลือหรือไม่ และ คำถามสำคัญอย่าง ใครฆ่า …

ก็คงต้องติดตามกันต่อไป .

ขอบคุณภาพจาก FB Fanpage : hateloveseries

หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากหนังและซีรีส์ที่น่าสนใจได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่