หลายคนคงจะงงว่าเทพอำคืออะไร คือเราก็ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรก็เลยใช้คำนี้ เพราะมันก็คืออาการเหมือนผีอำอย่างที่หลายๆคนเคยเจอนั่นแหละ เพียงแต่สิ่งที่เราเจอท่าทางจะไม่ใช่ผีธรรมดา น่าจะเป็นวิญญาณที่สูงกว่าวิญญาณทั่วไป เลยเรียกว่าเทพอำแทนคำว่าผีอำ จริงๆเราเคยมีอาการนี้อยู่สี่ครั้ง แต่ที่เป็นเทพมีแค่สองครั้ง เลยจะมาเล่าในกระทู้นี้แค่สองครั้งที่เจอ
ครั้งแรกเป็นอะไรที่แปลกมากที่อยู่ดีๆเราคิดว่าเราหลับไปแล้วแต่ก็เหมือนอยู่ดีๆก็เหมือนตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องนอนตัวเองนั่นแหละ แต่สิ่งที่แปลกคือทำไมขยับตัวไม่ได้ เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง เตียงเราติดผนังอยู่ฝั่งหนึ่ง แล้วก็เห็นมีคนมาข้างๆเตียง เป็นผู้ชายแก่ ผิวคล้ำ หน้าตาดุมาก ใส่ชุดขาวทั้งชุดเหมือนชุดพราหมณ์ ในความรู้สึกตอนนั้นคือเหมือนเจ้าที่ๆไหนสักแห่ง มาแบบดุมากๆ ยืนนิ่งๆแล้วชี้มาที่ตัวเราที่นอนอยู่ ชี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ความรู้สึกตอนนั้นคือกลัวมาก ขยับตัวไม่ได้ จะส่งเสียงก็ร้องไม่ได้ แล้วอาการเสียวสันหลังเพิ่งเคยรู้จักในตอนนั้นว่าคืออะไร อาการเสียวสันหลังวาบๆ ไล่ตามจุดที่เขาชี้ ชี้ขึ้นชี้ลงอยู่สองรอบคือไล่จากหัวไปเท้าแล้วเท้ามาหัว ไม่มีคำพูดใดๆออกมา แต่ตอนนั้นรู้ว่าต้องไปทำอะไรให้เขาโกรธมากๆแน่ๆเหมือนมาเอาเรื่อง แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วเราทำอะไร ก็เลยงง ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าเวลากลัวมากๆคือความรู้สึกแบบนี้นี่เอง จากนั้นเขาก็จากไป ปล่อยให้เรางงอยู่อย่างนั้น พอเขาไปเราถึงขยับได้ พูดได้ ได้แต่คิดในใจขอขมาเขาหากเราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ก็งงว่าทำไมไม่พูดจะได้เข้าใจกันมากกว่านี้
ครั้งที่สองตอนนั้นเป็นปีชงของเรา เราปีม้าแล้วเขามีความเชื่อกันว่าให้หาตุ๊กตาหรือจี้ที่เป็นรูปนักษัตรปีที่เป็นคู่สมพงษ์มาห้อยหรือพกติดตัวเพื่อแก้เคล็ด ปีม้าคู่สมพงษ์คือปีวัว เราเลยต้องหาอะไรที่เป็นสัญลักษณ์รูปวัวมาพกติดตัว คือที่บ้านเราจะขายตุ๊กตาเซรามิกของจีนที่เป็นตุ๊กตาเทพและของเสริมดวงทั้งหลายด้วย คุณแม่เรามีจี้สิบสองนักษัตรขายอยู่ด้วย เราเลยเอาจี้รูปวัวมาพกติดตัว พอได้จี้มาเราก็เอามาห้อยกระเป๋าสะพาย ซึ่งกระเป๋าสะพายเราจะชอบห้อยตุ๊กตุ่นตุ๊กตาอยู่แล้ว ก็เอามาห้อยรวมกัน ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร พอตกกลางคืนคืนนั้นเท่านั้นเอง อาการเดิมที่เคยเกิดขึ้นก็มา
เรารู้สึกว่าหลับไปแล้ว แต่ก็เหมือนตื่นขึ้นมาในห้องนอนตัวเองเหมือนเดิม แล้วก็อีกแล้วคือขยับไม่ได้ พูดไม่ได้เหมือนเดิม นอนท่าเดิมเพราะเราถนัดนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนังอีกแล้ว และก็มีใครบางคนมาอยู่ข้างเตียงเช่นเดิม แต่คราวนี้มาแรงมากคือเข้ามาบีบคอเลย คือโกรธมาก แต่ที่แปลกกว่านั้นคือ เขาไม่ใช่คน หัวเป็นวัวแต่ตัวเป็นคน ในตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าเป็นปีศาจวัวหรือเทพวัว แต่ที่แน่ๆคืออาการกลัวมาก เสียวสันหลังมาก มาบีบคอเรานานพอสมควร หน้าตาโกรธจัดเลย แล้วสักพักก็หายไป เราถึงขยับได้
เราเลยมานั่งคิดว่าเราไปทำอะไรกับวัวหรือเปล่า จนมาจำได้ว่าเพิ่งเอาจี้รูปวัวมาห้อยกระเป๋า ก็เลยไปดูจี้รูปวัวอันนั้นก็เลยเข้าใจว่าทำไมเขาโกรธขนาดนั้น คือมันไม่ใช่แค่จี้รูปวัวธรรมดา เพราะจี้อันนี้มีสองด้าน พลิกดูอีกด้านหนึ่งเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม ด้วยความสะเพร่าของเราเองที่ไม่ดูให้ดี แล้วเราเอาไปห้อยกระเป๋ารวมกับตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สะพายอยู่ทั้งวัน เราเลยรีบขอขมาองค์ท่านแล้วรีบเอาจี้ออกมาขึ้นหิ้งเล็กๆของเราแล้วสวดบูชาท่านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประสบการณ์เทพอำของเราก็มีเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากนั้นเราก็เคยจะมีอาการเหมือนจะโดนอำอยู่หลายครั้ง แค่เรารู้แล้วว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ เราจะมีอาการนำมาก่อน พอมีอาการนำปุ๊บ เราจะรู้เลยว่ากำลังจะเจออะไรที่น่ากลัวอีกแล้ว เราจะรีบต่อต้าน ดิ้นหนี สุดแรงเกิด แล้วมันก็หลุดคือสะดุ้งตื่น หลังจากนั้นก็เลยไม่ค่อยเกิดอาการนี้อีก
เรื่องเล่าจากประสบการณ์จริง...เทพอำ
ครั้งแรกเป็นอะไรที่แปลกมากที่อยู่ดีๆเราคิดว่าเราหลับไปแล้วแต่ก็เหมือนอยู่ดีๆก็เหมือนตื่นขึ้นมาอยู่ในห้องนอนตัวเองนั่นแหละ แต่สิ่งที่แปลกคือทำไมขยับตัวไม่ได้ เรานอนตะแคงหันหน้าเข้าหาผนัง เตียงเราติดผนังอยู่ฝั่งหนึ่ง แล้วก็เห็นมีคนมาข้างๆเตียง เป็นผู้ชายแก่ ผิวคล้ำ หน้าตาดุมาก ใส่ชุดขาวทั้งชุดเหมือนชุดพราหมณ์ ในความรู้สึกตอนนั้นคือเหมือนเจ้าที่ๆไหนสักแห่ง มาแบบดุมากๆ ยืนนิ่งๆแล้วชี้มาที่ตัวเราที่นอนอยู่ ชี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า ความรู้สึกตอนนั้นคือกลัวมาก ขยับตัวไม่ได้ จะส่งเสียงก็ร้องไม่ได้ แล้วอาการเสียวสันหลังเพิ่งเคยรู้จักในตอนนั้นว่าคืออะไร อาการเสียวสันหลังวาบๆ ไล่ตามจุดที่เขาชี้ ชี้ขึ้นชี้ลงอยู่สองรอบคือไล่จากหัวไปเท้าแล้วเท้ามาหัว ไม่มีคำพูดใดๆออกมา แต่ตอนนั้นรู้ว่าต้องไปทำอะไรให้เขาโกรธมากๆแน่ๆเหมือนมาเอาเรื่อง แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วเราทำอะไร ก็เลยงง ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าเวลากลัวมากๆคือความรู้สึกแบบนี้นี่เอง จากนั้นเขาก็จากไป ปล่อยให้เรางงอยู่อย่างนั้น พอเขาไปเราถึงขยับได้ พูดได้ ได้แต่คิดในใจขอขมาเขาหากเราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ก็งงว่าทำไมไม่พูดจะได้เข้าใจกันมากกว่านี้
ครั้งที่สองตอนนั้นเป็นปีชงของเรา เราปีม้าแล้วเขามีความเชื่อกันว่าให้หาตุ๊กตาหรือจี้ที่เป็นรูปนักษัตรปีที่เป็นคู่สมพงษ์มาห้อยหรือพกติดตัวเพื่อแก้เคล็ด ปีม้าคู่สมพงษ์คือปีวัว เราเลยต้องหาอะไรที่เป็นสัญลักษณ์รูปวัวมาพกติดตัว คือที่บ้านเราจะขายตุ๊กตาเซรามิกของจีนที่เป็นตุ๊กตาเทพและของเสริมดวงทั้งหลายด้วย คุณแม่เรามีจี้สิบสองนักษัตรขายอยู่ด้วย เราเลยเอาจี้รูปวัวมาพกติดตัว พอได้จี้มาเราก็เอามาห้อยกระเป๋าสะพาย ซึ่งกระเป๋าสะพายเราจะชอบห้อยตุ๊กตุ่นตุ๊กตาอยู่แล้ว ก็เอามาห้อยรวมกัน ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร พอตกกลางคืนคืนนั้นเท่านั้นเอง อาการเดิมที่เคยเกิดขึ้นก็มา
เรารู้สึกว่าหลับไปแล้ว แต่ก็เหมือนตื่นขึ้นมาในห้องนอนตัวเองเหมือนเดิม แล้วก็อีกแล้วคือขยับไม่ได้ พูดไม่ได้เหมือนเดิม นอนท่าเดิมเพราะเราถนัดนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนังอีกแล้ว และก็มีใครบางคนมาอยู่ข้างเตียงเช่นเดิม แต่คราวนี้มาแรงมากคือเข้ามาบีบคอเลย คือโกรธมาก แต่ที่แปลกกว่านั้นคือ เขาไม่ใช่คน หัวเป็นวัวแต่ตัวเป็นคน ในตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าเป็นปีศาจวัวหรือเทพวัว แต่ที่แน่ๆคืออาการกลัวมาก เสียวสันหลังมาก มาบีบคอเรานานพอสมควร หน้าตาโกรธจัดเลย แล้วสักพักก็หายไป เราถึงขยับได้
เราเลยมานั่งคิดว่าเราไปทำอะไรกับวัวหรือเปล่า จนมาจำได้ว่าเพิ่งเอาจี้รูปวัวมาห้อยกระเป๋า ก็เลยไปดูจี้รูปวัวอันนั้นก็เลยเข้าใจว่าทำไมเขาโกรธขนาดนั้น คือมันไม่ใช่แค่จี้รูปวัวธรรมดา เพราะจี้อันนี้มีสองด้าน พลิกดูอีกด้านหนึ่งเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิม ด้วยความสะเพร่าของเราเองที่ไม่ดูให้ดี แล้วเราเอาไปห้อยกระเป๋ารวมกับตุ๊กตุ่นตุ๊กตา สะพายอยู่ทั้งวัน เราเลยรีบขอขมาองค์ท่านแล้วรีบเอาจี้ออกมาขึ้นหิ้งเล็กๆของเราแล้วสวดบูชาท่านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประสบการณ์เทพอำของเราก็มีเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากนั้นเราก็เคยจะมีอาการเหมือนจะโดนอำอยู่หลายครั้ง แค่เรารู้แล้วว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ เราจะมีอาการนำมาก่อน พอมีอาการนำปุ๊บ เราจะรู้เลยว่ากำลังจะเจออะไรที่น่ากลัวอีกแล้ว เราจะรีบต่อต้าน ดิ้นหนี สุดแรงเกิด แล้วมันก็หลุดคือสะดุ้งตื่น หลังจากนั้นก็เลยไม่ค่อยเกิดอาการนี้อีก