สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ผมออกจากComfort Zoneตอนอายุ41ปี ก่อนจะออกเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล งานไม่ยากอะไร แต่ต้องออกเพราะแม่เสียชีวิต แล้ว พ่อก็คงจะคิดถึงแม่มากๆ เลยผอมลง เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย ทั้งๆที่ผมก็พยายามกลับบ้านบ่อยๆเพื่อไปดูแลแก 1ปีผ่านไปไม่ดีขึ้น เลยตัดสินใจลาออกมาอยู่ดูแลแก
แล้วก็เริ่มทำอาชีพเกษตรกรรม แบบพอเพียงบ้าง แบบเชิงเดี่ยวบ้าง ทั้งๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะทำการเกษตร แต่ก็กลับทำได้ แต่ปัญหาเยอะมากมาย ทั้งสิ่งแวดล้อม โรค แมลงศัตรู ราคาผลผลิต เลยทำให้บางรอบได้กำไร แต่ส่วนใหญ่ขาดทุน
ก็หมดเงินไปกับการเกษตรหลายแสน(เงินเก็บที่สะสมไว้ก็หมด) ก็ต้องกู้ธกส.มาทำโดยหวังว่าจะดีขึ้น แต่ก็เหมือนเดิม จนตอนนี้อายุ 43ปี เริ่มถอดใจ รู้แล้วว่ามันยากเย็นเหลือเกินสำหรับเรา ก็เลยเริ่มหางานทำใหม่ โดยสมัครงานด้านบุคคล กับบริษัทที่ใกล้บ้าน สามารถดูแลพ่อได้ แต่ปัญหาคือ อายุขนาดผม สมัครไป 7 ที่ มีเรียกสัมภาษณ์ที่เดียวเอง(ตอนนี้รอประกาศผลอยู่) ก็เริ่มปลงๆแแล้วละครับ ว่าคงต้องทำการเกษตรต่อไป
ก็คิดว่าข้อดีคือ ผมทำให้พ่อกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทุกวันพระก็พาแกไปวัด ทุกๆเดือนหมอนัดไปเช็คความดันเบาหวาน ผมก็พาแกไปตลอด กลายเป็นผมเป็นห่วงแกมากๆไปอยากให้แกทำอะไรด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ต้องอดทนคือรายได้ที่น้อยมากๆ(เมื่อเทียบกับที่ทำงานออฟฟิต) ผมก็จึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด จนตอนนี้ก็เริ่มชินกับชีวิตแบบนี้ละ
แต่ก็มีแอบคิดน้อยใจไม่ได้ว่า เพื่อนคนอื่นๆ เค้าทำงานโก้หรู มีเงินเดือนมากมาย แต่เรากลับทำไม่ได้ ก็พยายามไม่คิดถึงจุดนั้นนะครับ คิดซะว่า เราเลือกทางเดินแบบนี้ เราคิดว่าจะดูแลพ่อไปจนตลอดชีวิตแก ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เปรียบเทียบกับใคร ก็มีความสุขดีนะครับ
นี่แหละครับชีวิตผม
แล้วก็เริ่มทำอาชีพเกษตรกรรม แบบพอเพียงบ้าง แบบเชิงเดี่ยวบ้าง ทั้งๆที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะทำการเกษตร แต่ก็กลับทำได้ แต่ปัญหาเยอะมากมาย ทั้งสิ่งแวดล้อม โรค แมลงศัตรู ราคาผลผลิต เลยทำให้บางรอบได้กำไร แต่ส่วนใหญ่ขาดทุน
ก็หมดเงินไปกับการเกษตรหลายแสน(เงินเก็บที่สะสมไว้ก็หมด) ก็ต้องกู้ธกส.มาทำโดยหวังว่าจะดีขึ้น แต่ก็เหมือนเดิม จนตอนนี้อายุ 43ปี เริ่มถอดใจ รู้แล้วว่ามันยากเย็นเหลือเกินสำหรับเรา ก็เลยเริ่มหางานทำใหม่ โดยสมัครงานด้านบุคคล กับบริษัทที่ใกล้บ้าน สามารถดูแลพ่อได้ แต่ปัญหาคือ อายุขนาดผม สมัครไป 7 ที่ มีเรียกสัมภาษณ์ที่เดียวเอง(ตอนนี้รอประกาศผลอยู่) ก็เริ่มปลงๆแแล้วละครับ ว่าคงต้องทำการเกษตรต่อไป
ก็คิดว่าข้อดีคือ ผมทำให้พ่อกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทุกวันพระก็พาแกไปวัด ทุกๆเดือนหมอนัดไปเช็คความดันเบาหวาน ผมก็พาแกไปตลอด กลายเป็นผมเป็นห่วงแกมากๆไปอยากให้แกทำอะไรด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ต้องอดทนคือรายได้ที่น้อยมากๆ(เมื่อเทียบกับที่ทำงานออฟฟิต) ผมก็จึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด จนตอนนี้ก็เริ่มชินกับชีวิตแบบนี้ละ
แต่ก็มีแอบคิดน้อยใจไม่ได้ว่า เพื่อนคนอื่นๆ เค้าทำงานโก้หรู มีเงินเดือนมากมาย แต่เรากลับทำไม่ได้ ก็พยายามไม่คิดถึงจุดนั้นนะครับ คิดซะว่า เราเลือกทางเดินแบบนี้ เราคิดว่าจะดูแลพ่อไปจนตลอดชีวิตแก ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เปรียบเทียบกับใคร ก็มีความสุขดีนะครับ
นี่แหละครับชีวิตผม
ความคิดเห็นที่ 3
ออกจาก comfort zone ตอนอายุ 23 ค่ะ
เรียนจบมา ทำงานได้แปบเดียวก็ลาออกเลย เพราะไม่ชอบ อึดอึด
ตอนนั้นรอบๆ ตัวมีแต่คนด่าค่ะ ครอบครัวก็ด้วย
เพราะที่ทำงานเงินเดือน+โอที+ค่านั่นนี่ ต่อเดือน 25K+ แถมมีที่พัก+ค่าน้ำ+ค่าไฟ รถรับส่ง สวัสดิการดีมาก
สำหรับเด็กจบใหม่แบบเรา เราว่าเท่านี้คือเยอะมากแล้ว
เรียกได้ว่า แต่ละเดือน เงินเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เพราะไม่ได้มีเวลาออกไปใช้เงินค่ะ 555
ทำงาน 6 วัน ข้าวปลาอาหาร โรงงานก็มีพร้อม
1 วันที่เหลือคือนอนชาร์ตแบตอยู่ห้องอย่างเดียว
บวกกับตัวงานที่เครียดอยู่แล้ว ร้องไห้ทุกวัน มันเป็นวัฎจักรแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
จนวันนึงมีเพื่อนสนิทเราตายค่ะ นอนตายไปเฉยๆ น่าจะเรียกหัวใจวายเฉียบพลันหรือเปล่าไม่แน่ใจ
จากวันนั้นรู้สึกเลย ชีวิตคนเรามันตายง่ายจริงๆ ทั้งที่อายุยังน้อย ยังแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
เราลาออกเลยค่ะ รู้สึกว่าเราโชคดีที่เรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร
แล้วทำไมไม่ไปทำอะไรที่ชอบล่ะ
ถ้าพรุ่งนี้เราตาย เราคงเสียใจแย่ ที่เราใช้เวลาในแต่ละวันมานั่งทนร้องไห้กับสิ่งที่เราไม่ชอบ
ตอนนั้นพอบอกพ่อกับแม่ว่าลาออกปุ๊บ พ่อนี่แทบจะตัดขาดเลยค่ะ
ไม่ทำงานก็ไปหาเงินใช้เอง ตัดหางปล่อยวัดกันไปเลย
เรากลับไปอยู่บ้านอาทิตย์เดียว อยู่ไม่ได้ค่ะ บรรยากาศในบ้านตึงเครียดมาก แทบไม่มีใครคุยกับเรา
พ่อแม่ไม่อยากออกจากบ้าน เพราะอาย กลัวชาวบ้านถาม
เราเลยออกจากบ้านมาอยู่กับเพื่อนที่ กทม. แม่สงสารให้เงินมา 5000 ไว้กิน เพราะคงไม่ให้อีกแล้ว
แต่ตอนนั้นก็ยังติดสบาย นอนๆเล่นๆ จนเงิน 5000 หมด
บังเอิญเราเป็นติ่งเกาหลี ไปเล่นเกมส์ได้บัตรคอนเสิร์ตมา เอาไปขายต่อเพื่อน ได้เงินมาราวๆ 4000 กว่าบาท + เงินเก่าที่เหลือเก็บจากตอนทำงาน 7000 กว่าบาท
กลายเป็นว่ามีเงิน 10000 กว่าบาท ก้อนสุดท้ายจริงๆ
เอาเงินไปซื้อจักรเย็บผ้าค่ะประมาณ 4000 คิดว่าจะจริงจังแล้วนะ
แต่ก็ยัง ยัง ปล่อยจักรร้างอยู่แบบนั้น
เหลือเงิน 7000 ต้องจริงจังแล้วหล่ะ
ไปประตูน้ำค่ะ ซื้อเสื้อผ้ามาขาย 3000 ไปโฮมโปรซื้อพวกไฟ กับอุปรณ์แต่งถ่ายรูป 3000 เหลือ 1000 ประทังชีวิต
หลังจากวันนั้นจนวันนี้ 3 ปีได้แล้ว เลี้ยงตัวเองได้ ส่งเงินให้ที่บ้านทุกเดือน
มีเงินรีโนเวทบ้านให้พ่อแม่สบายได้บ้าง ใช้หนี้ให้ท่านได้บ้าง
พ่อแม่เลิกอายแล้ว ชวนกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน ภูมิใจในตัวเองค่ะ
ขออภัยเล่ายาวไปนิด...
เรียนจบมา ทำงานได้แปบเดียวก็ลาออกเลย เพราะไม่ชอบ อึดอึด
ตอนนั้นรอบๆ ตัวมีแต่คนด่าค่ะ ครอบครัวก็ด้วย
เพราะที่ทำงานเงินเดือน+โอที+ค่านั่นนี่ ต่อเดือน 25K+ แถมมีที่พัก+ค่าน้ำ+ค่าไฟ รถรับส่ง สวัสดิการดีมาก
สำหรับเด็กจบใหม่แบบเรา เราว่าเท่านี้คือเยอะมากแล้ว
เรียกได้ว่า แต่ละเดือน เงินเก็บได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เพราะไม่ได้มีเวลาออกไปใช้เงินค่ะ 555
ทำงาน 6 วัน ข้าวปลาอาหาร โรงงานก็มีพร้อม
1 วันที่เหลือคือนอนชาร์ตแบตอยู่ห้องอย่างเดียว
บวกกับตัวงานที่เครียดอยู่แล้ว ร้องไห้ทุกวัน มันเป็นวัฎจักรแบบนี้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
จนวันนึงมีเพื่อนสนิทเราตายค่ะ นอนตายไปเฉยๆ น่าจะเรียกหัวใจวายเฉียบพลันหรือเปล่าไม่แน่ใจ
จากวันนั้นรู้สึกเลย ชีวิตคนเรามันตายง่ายจริงๆ ทั้งที่อายุยังน้อย ยังแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
เราลาออกเลยค่ะ รู้สึกว่าเราโชคดีที่เรารู้ว่าเราไม่ชอบอะไร
แล้วทำไมไม่ไปทำอะไรที่ชอบล่ะ
ถ้าพรุ่งนี้เราตาย เราคงเสียใจแย่ ที่เราใช้เวลาในแต่ละวันมานั่งทนร้องไห้กับสิ่งที่เราไม่ชอบ
ตอนนั้นพอบอกพ่อกับแม่ว่าลาออกปุ๊บ พ่อนี่แทบจะตัดขาดเลยค่ะ
ไม่ทำงานก็ไปหาเงินใช้เอง ตัดหางปล่อยวัดกันไปเลย
เรากลับไปอยู่บ้านอาทิตย์เดียว อยู่ไม่ได้ค่ะ บรรยากาศในบ้านตึงเครียดมาก แทบไม่มีใครคุยกับเรา
พ่อแม่ไม่อยากออกจากบ้าน เพราะอาย กลัวชาวบ้านถาม
เราเลยออกจากบ้านมาอยู่กับเพื่อนที่ กทม. แม่สงสารให้เงินมา 5000 ไว้กิน เพราะคงไม่ให้อีกแล้ว
แต่ตอนนั้นก็ยังติดสบาย นอนๆเล่นๆ จนเงิน 5000 หมด
บังเอิญเราเป็นติ่งเกาหลี ไปเล่นเกมส์ได้บัตรคอนเสิร์ตมา เอาไปขายต่อเพื่อน ได้เงินมาราวๆ 4000 กว่าบาท + เงินเก่าที่เหลือเก็บจากตอนทำงาน 7000 กว่าบาท
กลายเป็นว่ามีเงิน 10000 กว่าบาท ก้อนสุดท้ายจริงๆ
เอาเงินไปซื้อจักรเย็บผ้าค่ะประมาณ 4000 คิดว่าจะจริงจังแล้วนะ
แต่ก็ยัง ยัง ปล่อยจักรร้างอยู่แบบนั้น
เหลือเงิน 7000 ต้องจริงจังแล้วหล่ะ
ไปประตูน้ำค่ะ ซื้อเสื้อผ้ามาขาย 3000 ไปโฮมโปรซื้อพวกไฟ กับอุปรณ์แต่งถ่ายรูป 3000 เหลือ 1000 ประทังชีวิต
หลังจากวันนั้นจนวันนี้ 3 ปีได้แล้ว เลี้ยงตัวเองได้ ส่งเงินให้ที่บ้านทุกเดือน
มีเงินรีโนเวทบ้านให้พ่อแม่สบายได้บ้าง ใช้หนี้ให้ท่านได้บ้าง
พ่อแม่เลิกอายแล้ว ชวนกลับไปทำธุรกิจที่บ้าน ภูมิใจในตัวเองค่ะ
ขออภัยเล่ายาวไปนิด...
แสดงความคิดเห็น
คุณเคยออกจาก comfort zone แบบสุดๆไหมคะ และผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร
ไม่ทราบว่าคุณทำอะไร และผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไร
คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกไหมที่ได้ลอง ออกจาก comfort zone ตอนนั้น