ผู้หญิงที่เรียนจบ แล้วยอมเลี้ยงลูกอยู่บ้านเป็นคนโง่ และ ไร้ค่าหรอคะ?

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ ดิฉันอายุ 25 ปี เรียนจบจากมหาลัยรัฐบาลใน กทม แห่งหนึ่ง สมัยเรียนก็เคยคิดว่าเรียนจบแล้วจะทำงานและเรียนต่อโทไปด้วย แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเมื่อได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาแก่กว่าดิฉัน 14 ปี
ตอนนั้นที่เขาเข้ามาในชีวิตดิฉัน ดิฉันคิดแค่ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่คนนึงน่าเคารพ แต่พอได้คุย ได้ไปทานข้าวกัน บ่อยครั้ง ก็เกิดความรู้สึกสงสาร จนกลายเป็นความรัก
และตัดสินใจคบหาเป็นแฟนกัน ตอนคบกันก็วางแผนกันไว้ว่าอยากมีลูกด้วยกันหลังจากดิฉันเรียนจบ
แล้วทุกอย่างเป็นไปตามนั้นค่ะ ดูเหมือนชีวิตจะมีความสุขใช่มั้ยคะ? แต่ไม่เลย ดิฉันตั้งท้องลูกคนแรกตอนช่วงสอบเสร็จปีสุดท้าย แต่ผู้ชายไม่กล้าที่จะบอกที่บ้านเขา เพราะเขากลัวพ่อแม่รับไม่ได้ว่าดิฉันเป็นคนไทย
(ผู้ชายเป็นคนอินเดียที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ไทย)
ตอนท้องลูกคนแรกดิฉันต้องอยู่หอพักหญิงเพียงคนเดียว ผู้ชายก็มารับไปทานข้าวบ้างตอนเย็นบางวัน
จนวันนึงดิฉันเกิดปวดท้องและแท้งลูก ดิฉันเลยไปนอน รพ.คนเดียว เพราะความน้อยใจอะไรหลายๆ อย่าง
ตั้งแต่แท้งลูกไป ผู้ชายก็เอาแต่เสียใจและร้องไห้รู้สึกผิดที่เขาไม่ได้ดูแลดิฉันกับลูกจนเสียลูกไป
ดิฉันจึงตัดสินใจมีลูกอีกครั้ง คราวนี้ผู้ชายเขาซื้อบ้าน
เตรียม รพ.ฝากท้อง ดูแลทุกอย่างดีมาก
แต่แค่ช่วงแรก พอหลังจากนั้นก็มีทะเลาะกันเรื่อง ผญ เก่าๆ ที่เขาเคยไปนอนด้วยมาโทรหาดิฉันก่อกวนดิฉัน
จนเขามีการทำร้ายดิฉันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนดิฉันกลายเป็นโรคซึมเศร้า และ ปวดท้องบ่อยๆ
ต้องฉีดยากันแท้งเพื่อไม่ให้เสียลูกไปอีก
ผู้ชายเขารักครอบครัวเขามาก มีครั้งนึงทะเลาะกันแล้วเขาเผลอผลักดิฉันหัวฟาดพื้นจนหมดสติไป
แล้วมีเลือดออกทางช่องคลอด พอเขาพาดิฉันไป รพ.หมอสั่งให้แอดมิทด่วน แต่ ผู้ชายต้องไปงานแต่งน้องสาวเขา (จัดงาน5วัน) เขาเลยบอกว่าให้แอดมิทไม่ได้ไม่มีใครเฝ้า เพราะผมมีธุระสำคัญ เฝ้าภรรยาไม่ได้
หมอเลยถามว่ามีสิ่งไหนสำคัญกว่าชีวิตลูกในท้องและภรรยาคุณอีก? เขาตอบว่าน้องสาวผมจะแต่งงานเขาแต่งไม่ได้ถ้าผมไม่ไป หมอได้ฟังก็ส่ายหน้าน้ำตาดิฉันก็ไหลออกมา ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนอยู่คนเดียวบนโลก หันหาใครก็ไม่มี พ่อแม่ก็เสียหมดแล้ว
สุดท้ายไม่มีใครเฝ้าหากนอน รพ.หมอเลยฉีดยากันแท้งแล้วให้กลับไปพักที่บ้าน ส่วนผู้ชายก็ไปงานแต่งทุกวันจนครบ 5 วัน ตามประเพณี ไม่โทรหา ไม่ถามว่าเป็นไงบ้างกลับมาถึงบ้าน 5 ทุ่ม เที่ยงคืนทุกวัน
ส่วนดิฉันก็มีเพื่อนมาหาที่บ้านทุกวัน มาเช็ดตัวให้ ป้อนข้าว ป้อนยา อยู่เป็นเพื่อน ตอนนั้นดิฉันคิดว่าชีวิตเลวร้ายสุดๆแล้ว แต่มันก็ยังไม่สุดๆ เพราะผู้หญิงที่เขาเคยนอนด้วยโทรรบกวนดิฉัน ส่งข้อความมาวันละหลายรอบ จนทะเลาะกันบ่อย จนเปลี่ยนเบอร์หนี 2-3 เบอร์
เป็นแบบนี้จนดิฉันผ่าคลอด และ สามีก็ทำร้ายร่างกายดิฉันจนถึงวันผ่าคลอดเช่นกัน พอคลอดลูก เหมือนทุกอย่างดีขึ้นเพราะเขารักลูกมาก แต่ความจริงก็คือ
เขาอยากได้แค่เด็กเท่านั้น ลูกผ่าคลอดได้ 3 วันเขาอุ้มลูกหนีเพราะมีปากเสียงกัน จนต้องแจ้งตำรวจมาเคลียร์
เพราะตอนนั้นไปอยู่บ้านพ่อแม่เขา แล้วตกลงกันไม่ได้
เพราะดิฉันอยากกลับบ้านที่เราอยู่ด้วยกัน เพราะเขาต้องการให้อยู่บ้านพ่อแม่เขา แต่ดิฉันอยู่ไม่ได้ เพราะพ่อแม่สามีเขาต้องการให้เลี้ยงนมผง จะเปิดนมให้ลูกกินในบ้านไม่ได้ น่าเลียด ผิดประเพณีเขา
ดิฉันเลยอยากกลับบ้าน อยากอยู่แบบแม่ลูกอ่อนทั่วไป
ที่ให้นมลูกได้ แต่ฝ่ายบ้านผู้ชายไม่ยอม เขาเลยโทรแจ้งตำรวจ ตำรวจฟังเรื่องราวก็ตัดสินว่าดิฉันขอแค่กลับไปอยู่บ้านตัวเองไม่ได้ฆ่าใครตาย ทำไมต้องโวยวายเป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายก็ได้กลับมาบ้านเลี้ยงลูก
เอง ไม่ต้องมีใครมาแอบป้อนน้ำหวาน แอบป้อนขนมลูกทั้งๆ ที่คลอดออกมาไม่กี่วัน ตั้งแต่นั้นก็เลี้ยงลูกเอง ดูแลบ้านเอง กลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว มีโควต้ามหาลัยที่เคยขอต่อโทไว้ ติดต่อมาให้ไปเรียนต่อ บริษัทที่เคยเอาประวัติการศึกษาไปแปะไว้ เรียกทำงาน แต่ฉันเลือกที่จะอยู่บ้านเลี้ยงลูก และ ผู้ชายเขาขอร้องไม่ให้ไปเรียนต่อ ดิฉันเลยเลือกที่จะปฎิเสธทุกอย่างไป
หลังจากนั้นเวลามีปากเสียงกันเขาก็จะด่าว่าดิฉันโง่ ไร้ค่า เป็นผู้หญิงขี้เกียจ ไม่ทำงาน มักง่าย ด่าแบบนี้ตลอด
บางทีลามปามถึงมหาลัย พ่อแม่ที่เสียไปแล้ว ทำร้ายร่างกายบ้าง เหนื่อยเหลือเกินค่ะ ดิฉันคิดผิดใช่มั้ยคะที่เลือกทิ้งทุกอย่างตามที่เขาขอ ดิฉันคิดว่าลูก และ ครอบครัวคืออนาคต ดิฉันจึงเลือกที่จะทิ้งทุกอย่างไป
แต่สิ่งที่ดิฉันได้รับคือคำว่า "โง่" "ไร้ค่า"
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่