Bubujingxin หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Scarlet Heart ออนแอร์ครั้งแรกปี พ.ศ. 2554 เป็นซีรีย์จีนที่โด่งดังเอามากๆ จากหนังสือนิยายมีชื่อ แปลเป็นไทยจะมีความหมายว่า "สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" เป็นการนำเอาเกร็ดประวัติศาสตร์การช่วงชิงบัลลังก์กันระหว่างองค์ชายในปลายรัชสมัยของฮ่องเต้คังซี ราชวงศ์ชิง มาเล่าขานใหม่อีกครั้ง
หากเป็นแฟนหนังจีนยุค 70's เรื่องราวดังกล่าวเคยเป็นละครชุดที่โด่งดังมาแล้วชื่อไทยว่า "ศึกสายเลือด" โดยองค์ชายสี่ หรือฮ่องเต้หย่งเจิ้น พระเอกใน Bubujinxin ถือว่าเป็นตัวร้าย เป็นลูกที่ฆ่าพ่อ ฆ่าพี่น้องได้เพื่อขึ้นบัลลังก์
แต่หลังจากประวัติศาสตร์สายใหม่ได้ศึกษาเรื่องราวของฮ่องเต้หย่งเจิ้น วิเคราะห์อย่างละเอียด กลับพบว่าในรัชสมัยของพระองค์ บ้านเมืองนั้นเป็นปึกแผ่น ท้องพระคลังเต็มไปด้วยเงินทองผิดจากรัชสมัยใดๆ ทำให้อนุมานกันได้ว่า เหตุที่ในพงศาวดารหรือเรื่องเล่าตำนานต่างๆเกี่ยวกับพระองค์นั้น ภาพลักษณ์ที่เป็นทรราชย์น่าจะเกิดขึ้นจากการที่เป็นฮ่องเต้ที่เข้มงวดและปราบปรามคอรัปชั่นอย่างดุเดือดมากกว่าฮ่องเต้องค์ใดในราชวงศ์แมนจู ทำให้ขุนนางหรือเจ้านายที่ถูกลงโทษจำนวนมากไม่พอใจ ในบันทึกของประวัติศาสตร์(ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการสวรรคตไปแล้ว) จึงเขียนถึงฮ่องเต้หย่งเจิ้นแบบไม่เหลือชิ้นดี ตรงข้ามกับเอกสารราชการอื่นๆ หรือตัวเลขเศรษฐกิจ(ที่ดูจากบัญชีค้าขายเรียกเก็บภาษีสมัยนั้น) ที่บ่งบอกว่ารัชสมัยของพระองค์นั้นบ้านเมืองอยู่ดีกินดีเพียงไร ภาพลักษณ์ของหย่งเจิ้นในสายตาชาวจีนปัจจุบันจึงไม่ใช่ฮ่องเต้ทรราชย์ แต่เป็นฮ่องเต้ที่ดีทำเพื่อบ้านเมืองแต่ถูกใส่ร้ายให้เป็นคนเลวมากกว่า
ดังนี้ ในระยะหลังๆ บทของหย่งเจิ้นจึงกลายเป็น "พระเอก" ขึ้นมาในละคร นิยายจีนสมัยใหม่ รวมไปถึง Bubujingxin แกนหลักของเรื่องไม่ได้อยู่ที่บทขององค์ชายสี่ หรือหย่งเจิ้น แต่กลับเป็นบทของนางเอกที่เดิมเป็นผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่ประสบอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อต แล้วดันย้อนกลับมาในอดีตชาติของตนเองสมัยราชวงศ์ชิงที่มีนามว่า รั่วซี ความที่เป็นคนในอนาคตร้อยกว่าปีข้างหน้า ทำให้รั่วซีสามารถรู้อนาคตได้ว่า ในปลายรัชสมัยของฮ่องเต้คังซีจะเกิดการขับเคี่ยวชิงบัลลังก์กันระหว่างองคชาย เพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของจีนเป็นที่ศึกษากันแพร่หลาย เป็นหนังสือ ละคร ภาพยนตร์ ฯ ล ฯ ดังนั้น รั่วซีจึงอาศัยอยู่ในยุคอดีตด้วยการที่เธอมองเห็นอนาคตไว้อยู่แล้วว่าใครจะอยู่ใครจะไปในหมู่องค์ชาย ทำให้ชีวิตที่สองของเธอนั้นต้อง "สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" เพราะแม้ว่าเธอจะรู้ว่าจุดจบของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร แต่เธอกลับไม่รู้อนาคตของตัวเอง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งเบี้ยในกระดานชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย
รั่วซี ตกหลุมรักอ๋องแปด ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขาจะมีจุดจบที่น่าอนาถในบั้นปลาย ทำให้รั่วซีพยายามที่จะหยุดยั้งไม่ให้เขาเข้าไปในเกมอำนาจ แต่อ๋องแปดไม่ยอมปล่อยวางได้ รั่วซีจึงยุติความสัมพันธ์ เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในหายนะของอ๋องแปดด้วย และแม้ว่าจะเลือกรับรักอ๋องสี่ ในเวลาต่อมาก็ไม่เป็นเพราะเธอกระหายอำนาจ แต่เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นมาทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัวที่ทำให้เธอรู้ว่าอ๋องสี่มีความจริงใจกับเธอ และเธอพึ่งพาเขาได้ ท่ามกลางความน่ากลัวของเกมการเมืองในวังต้องห้าม ดังนั้น แม้ว่าจะตกยากต้องราชภัยกันไปบ้างก็เพราะต้องการทำตามหัวใจตนเอง รั่วซีก็เต็มใจทน แต่กลายเป็นว่า อ๋องสี่ที่เธอรักค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่ฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมต่อพี่น้อง(ซึ่งก็เป็นองค์ชายต่างๆที่รั่วซีถือเป็นมิตร) ก็เหมือนกับการที่ต้องทนดูคนรักตนเองกลายเป็นคนอื่นที่เราไม่อยากให้เขาเป็น
การเห็นอนาคตของรั่วซี จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับชีวิตในชาติภพนี้ของเธอเลย แต่กลายเป็นทุกข์ที่ต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักทั้งหลายเดินทางไปสู่จุดจบมืดมนที่เราเห็นแต่แรก แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย และนี่ก็เป็นสิ่งที่กัดกินรั่วซีมาโดยตลอดสมชื่อ สะท้านขวัญทุกย่างก้าว เพราะการรู้อนาคตนั้นกลับทำให้เรากลัวที่จะก้าวต่อไปอย่างที่เราต้องการ การรู้จุดจบของเรื่องกลับทำให้เราหวาดระแวงตลอดเวลา ยิ่งดิ้นรนจะหลีกหนี ก็ยิ่งเจ็บปวดเสียเปล่า การรู้อนาคตของรั่วซีจึงเป็นความเจ็บปวดของปัจจุบันตรงหน้าไปด้วย
ปีนี้ Bubujinxin ถูกรีเมคข้ามประเทศไปที่ฝั่งเกาหลี แน่นอนว่าจากความที่ออริจินัลเลย เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีน เกาหลีซื้อพล็อตไป อย่างไรซะคงไม่สามารถเดินเรื่องเป๊ะได้ตามของเดิม เพราะประวัติศาสตร์มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ดังนั้น Bubujingxin เวอร์ชั่นเกาหลีจึงเลือกช่วงเวลาย้อนไปสมัยพันปีก่อนไปเลย (ประวัติศาสตร์ยุคพันปีขึ้นไปส่วนใหญ่จะมีความเป็นตำนานสูงมาก หลักฐานบันทึกไม่ค่อยมาก ตรงกันข้ามกับเวอร์ชั่นจีนซึ่งเลือกช่วงเวลาสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งถือเป็นสมัยราชวงศ์สุดท้าย มีระบบบันทึกเอกสารเรื่องราวต่างๆค่อนข้างชัดเจนกว่ามาก) Moonlovers Scarlet Heart Ryeo จึงเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่อาจจะแฝงความเป็นแฟนตาซีนิดๆเกี่ยวกับเสื้อผ้าหน้าผม รายละเอียดต่างๆเพราะประวัติศาสตร์ยุคโครยอนั้นค่อนข้างไกล ภาพประวัติศาสตร์ต่างๆหลายอย่างมักจะเกิดจากการอนุมานเอาจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ทิ้งไว้บ้าง อะไรบ้าง ถ้าจะมีอะไรดูเวอร์วังล้ำยุคไปบ้าง ก็เป็นเพราะเหตุดังกล่าวนี้ ( คิดว่าหนังฮอลลีวู้ดเล่าถึงยุคกรีก โรมัน อิยิปต์ เขาก็ไม่ได้มีความเป๊ะเวอร์เรื่องประวัติศาสตร์นะจ๊ะ เพราะภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ยังคงต้องนำเสนอความเพลิดเพลินในการรับชมเป็นหลัก ไม่ใช่การแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างเด็ดขาด เพราะแม้แต่ในวงประวัติศาสตร์เอง การจะฟันธงว่าเรื่องราวในอดีตเป็นอย่างไรนั้น ยังถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าใช่ไม่ใช่ เหตุการณ์เดียวกัน บันทึกโดยคนละคน กลายเป็นเรื่องคนละแบบก็มีให้พบบ่อยไป) ดังนั้น หากดู Moonlovers อย่าหวังหาข้อยุติทางประวัติศาสตร์จริงจัง เพราะนี่คือสื่อเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ประวัติศาสตร์ที่ใส่มานั้นเป็นไปเพื่ออรรถรสการรับชม เขาจึงใช้คำว่า "อิง" อย่างไรเล่า คนดูเองพึงวิเคราะห์ด้วยตนเองว่าสิ่งใดคือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สิ่งใดคือมายา
เพิ่งออนแอร์ได้ไม่นาน แต่ Moonlovers ก็ So hot เอามากๆ เพราะรวมดาราชายรูปหล่อไว้เพียบ โปรดักชั่นป๊อปสุดๆแบบโคเรียนสไตล์ แล้วความที่ขายชื่อของ Scarlet Heart ทำให้เรียกความสนใจจากแฟนละครเวอร์ชั่นจีนมาได้มากด้วย จากสาวจีนสุดมั่นเลือดร้อนที่จับได้ว่าแฟนนอกใจ กลายมาเป็นสาวเกาหลีสุดเศร้าถูกแฟนทิ้ง (มีความเจ็บปวดเรื่องหัวใจแบบเดียวกัน) แต่ฝั่งจีนนางเอกโคม่าเพราะไฟฟ้าช็อตทำให้คลื่นสมองหรือวิญญาณถูกย้ายไปสู่อดีตชาติ ในขณะที่เกาหลีเลือกใช้สายน้ำเป็นตัวผ่านพานางเอกย้อนสู่อดีต(มีความคล้ายคลึงนางเอกจากการ์ตูนคำสาปฟาโรห์นิดๆแฮะ) anyway จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องสำอางค์ กลายเป็นสาวใสวัยสิบหกนามกร แฮซู ที่อาศัยอยู่ในยุคของพระเจ้าแทโจแห่งโครยอ ซึ่งเก่าแก่กว่าพันปี( ราชวงศ์โครยอมีอายุอยู่ราว ค.ศ. 918-1392) ซึ่งถ้าอนุมานโดยทั่วไป คือ ประวัติศาสตร์ที่ลึกขนาดนั้น คนทั่วไปไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักหรอก จึงไม่ผิดแปลกว่าแฮซูจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตเอาซะเลย ไม่รู้ว่าใครจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป คือจำได้แต่กษัตริย์องค์สำคัญๆ อย่างพระเจ้าแทโจ(องค์แรกของราชวงศ์) พระเจ้าควางจง(สร้างความรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น) ตรงกันข้ามกับรั่วซีที่รู้อยู่แล้วว่าองค์ชายแต่ละคนจะพบจุดจบแบบไหน ทางเกาหลีจึงมีตัวช่วยน้องแฮซูด้วยการให้นางมี "นิมิต" เพื่อให้แฮซูได้มีความ "สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" ตามคอนเส็ปต์เดิมของนิยาย
อะไรคือความแตกต่างระหว่างรั่วซี กับ แฮซู ส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ลุคของนักแสดง ในขณะที่รั่วซี คือหญิงสาวร่าเริง ฉลาดเฉลียว แต่หัวแข็ง ดึงดันในสิ่งที่เชื่อ ยึดติดกับความสัมพันธ์ต่างๆและมิตรภาพจนเป็นทุกข์แก่ตนในภายหลัง แฮซู ค่อนข้างจะมีความเป็นเด็ก และเต็มไปด้วยความ "ไม่รู้" และ "ไม่กลัว"มากกว่า เมื่อมองเทียบกัน ใน Bubujinxin จะเห็นความระแวงในอนาคตของรั่วซีตลอดเวลา ในขณะที่แฮซูนั้น คือคนที่พยายามอย่างมากที่จะเข้ากับชีวิตอดีตให้ได้ เพิ่งจะมีความหวาดระแวงต่ออนาคตก็เมื่อตอนที่เห็นนิมิตพระเจ้าควางจงนี้เอง ซึ่งจุดนี้ก็น่าจะเป็นการอนุมานของการเขียนบทให้พระเจ้าควางจงเป็นคนที่ฆ่าพี่น้องเพื่อบัลลังก์ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ให้พระเชษฐาสองพระองค์ที่เป็นกษัตริย์ก่อนหน้าสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์อย่างรวดเร็วติดต่อกัน อาจทำให้ตีความได้ว่า สวรรคตแบบไม่ธรรมดา ประกอบกับพระเจ้าควางจงมีรูปแบบการปกครองที่เด็ดขาด ไม่สนใจระบบอุปถัมภ์คล้ายคลึงกับฮ่องเต้หย่งเจิ้น คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขียนบทของ Moonlovers เลือกที่จะอิงประวัติศาสตร์เกาหลีในยุคสมัยนี้
ดังนี้ ความ "สะท้านกลัวทุกย่างก้าว"ของรั่วซีนั้น จึงเกิดขึ้นตั้งแต่เธอต้องมาพัวพันกับเหล่าองค์ชายแล้ว ในขณะที่แฮซูนั้น เพิ่งมากลัวเอาตอนหลังจากสนิทสนมกันไปเรียบร้อย ซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ความกลัวของแฮซูจะทำให้ชีวิตของเธอเป็นทุกข์ใจแบบเดียวกับที่รั่วซีเป็นมาแล้วหรือไม่อย่างไร
รั่วซีนั้น เคยถามอ๋องสี่ว่า เหมือนตนเองติดอยู่ในฝัน แต่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ อ๋องสี่บอกว่า "จงอยู่ต่อไป" และนี่คือสิ่งที่ทำให้รั่วซีพยายามที่จะอยู่ในยุคสมัยของฮ่องเต้คังซีต่อไปให้ได้ ทั้งนี้ เพราะอย่างไรเสียก็หลีกหนีชะตาลิขิตไม่ได้อยู่ดี เมื่อยังไม่ตาย ก็ต้องอยู่ต่อไป
แล้วแฮซูนั้นเล่า จะอยู่กับความกลัวอนาคตที่เธอรู้จุดจบแล้วอย่างไร ?
สุดท้ายแล้ว การรู้อนาคต แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว การรู้อนาคตล่วงหน้าคือพรสวรรค์หรือคำสาป เรามักพูดกันว่า ถ้าหากเรารู้อย่างนี้ เราจะ... แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้จริงหรือ ถ้าเราแก้ไขอดีตไม่ได้ ควบคุมอนาคตก็ไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์มีเท่ากันคือ ปัจจุบัน ที่เราต้องอยู่กันต่อไป เราจะมีความสุขง่ายขึ้นไหมหากยึดติดกับอดีต และอนาคตให้น้อยลง : )
Bubujingxin V.S. Moonlovers : เมื่อหญิงสาวสามารถย้อนอดีตได้
หากเป็นแฟนหนังจีนยุค 70's เรื่องราวดังกล่าวเคยเป็นละครชุดที่โด่งดังมาแล้วชื่อไทยว่า "ศึกสายเลือด" โดยองค์ชายสี่ หรือฮ่องเต้หย่งเจิ้น พระเอกใน Bubujinxin ถือว่าเป็นตัวร้าย เป็นลูกที่ฆ่าพ่อ ฆ่าพี่น้องได้เพื่อขึ้นบัลลังก์
แต่หลังจากประวัติศาสตร์สายใหม่ได้ศึกษาเรื่องราวของฮ่องเต้หย่งเจิ้น วิเคราะห์อย่างละเอียด กลับพบว่าในรัชสมัยของพระองค์ บ้านเมืองนั้นเป็นปึกแผ่น ท้องพระคลังเต็มไปด้วยเงินทองผิดจากรัชสมัยใดๆ ทำให้อนุมานกันได้ว่า เหตุที่ในพงศาวดารหรือเรื่องเล่าตำนานต่างๆเกี่ยวกับพระองค์นั้น ภาพลักษณ์ที่เป็นทรราชย์น่าจะเกิดขึ้นจากการที่เป็นฮ่องเต้ที่เข้มงวดและปราบปรามคอรัปชั่นอย่างดุเดือดมากกว่าฮ่องเต้องค์ใดในราชวงศ์แมนจู ทำให้ขุนนางหรือเจ้านายที่ถูกลงโทษจำนวนมากไม่พอใจ ในบันทึกของประวัติศาสตร์(ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากการสวรรคตไปแล้ว) จึงเขียนถึงฮ่องเต้หย่งเจิ้นแบบไม่เหลือชิ้นดี ตรงข้ามกับเอกสารราชการอื่นๆ หรือตัวเลขเศรษฐกิจ(ที่ดูจากบัญชีค้าขายเรียกเก็บภาษีสมัยนั้น) ที่บ่งบอกว่ารัชสมัยของพระองค์นั้นบ้านเมืองอยู่ดีกินดีเพียงไร ภาพลักษณ์ของหย่งเจิ้นในสายตาชาวจีนปัจจุบันจึงไม่ใช่ฮ่องเต้ทรราชย์ แต่เป็นฮ่องเต้ที่ดีทำเพื่อบ้านเมืองแต่ถูกใส่ร้ายให้เป็นคนเลวมากกว่า
ดังนี้ ในระยะหลังๆ บทของหย่งเจิ้นจึงกลายเป็น "พระเอก" ขึ้นมาในละคร นิยายจีนสมัยใหม่ รวมไปถึง Bubujingxin แกนหลักของเรื่องไม่ได้อยู่ที่บทขององค์ชายสี่ หรือหย่งเจิ้น แต่กลับเป็นบทของนางเอกที่เดิมเป็นผู้หญิงในยุคปัจจุบันที่ประสบอุบัติเหตุไฟฟ้าช็อต แล้วดันย้อนกลับมาในอดีตชาติของตนเองสมัยราชวงศ์ชิงที่มีนามว่า รั่วซี ความที่เป็นคนในอนาคตร้อยกว่าปีข้างหน้า ทำให้รั่วซีสามารถรู้อนาคตได้ว่า ในปลายรัชสมัยของฮ่องเต้คังซีจะเกิดการขับเคี่ยวชิงบัลลังก์กันระหว่างองคชาย เพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของจีนเป็นที่ศึกษากันแพร่หลาย เป็นหนังสือ ละคร ภาพยนตร์ ฯ ล ฯ ดังนั้น รั่วซีจึงอาศัยอยู่ในยุคอดีตด้วยการที่เธอมองเห็นอนาคตไว้อยู่แล้วว่าใครจะอยู่ใครจะไปในหมู่องค์ชาย ทำให้ชีวิตที่สองของเธอนั้นต้อง "สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" เพราะแม้ว่าเธอจะรู้ว่าจุดจบของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร แต่เธอกลับไม่รู้อนาคตของตัวเอง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งเบี้ยในกระดานชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชาย
รั่วซี ตกหลุมรักอ๋องแปด ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขาจะมีจุดจบที่น่าอนาถในบั้นปลาย ทำให้รั่วซีพยายามที่จะหยุดยั้งไม่ให้เขาเข้าไปในเกมอำนาจ แต่อ๋องแปดไม่ยอมปล่อยวางได้ รั่วซีจึงยุติความสัมพันธ์ เพราะไม่ต้องการให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในหายนะของอ๋องแปดด้วย และแม้ว่าจะเลือกรับรักอ๋องสี่ ในเวลาต่อมาก็ไม่เป็นเพราะเธอกระหายอำนาจ แต่เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นมาทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัวที่ทำให้เธอรู้ว่าอ๋องสี่มีความจริงใจกับเธอ และเธอพึ่งพาเขาได้ ท่ามกลางความน่ากลัวของเกมการเมืองในวังต้องห้าม ดังนั้น แม้ว่าจะตกยากต้องราชภัยกันไปบ้างก็เพราะต้องการทำตามหัวใจตนเอง รั่วซีก็เต็มใจทน แต่กลายเป็นว่า อ๋องสี่ที่เธอรักค่อยๆเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่ฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมต่อพี่น้อง(ซึ่งก็เป็นองค์ชายต่างๆที่รั่วซีถือเป็นมิตร) ก็เหมือนกับการที่ต้องทนดูคนรักตนเองกลายเป็นคนอื่นที่เราไม่อยากให้เขาเป็น
การเห็นอนาคตของรั่วซี จึงไม่ได้เป็นประโยชน์กับชีวิตในชาติภพนี้ของเธอเลย แต่กลายเป็นทุกข์ที่ต้องทนเห็นคนที่ตัวเองรักทั้งหลายเดินทางไปสู่จุดจบมืดมนที่เราเห็นแต่แรก แต่ช่วยอะไรไม่ได้เลย และนี่ก็เป็นสิ่งที่กัดกินรั่วซีมาโดยตลอดสมชื่อ สะท้านขวัญทุกย่างก้าว เพราะการรู้อนาคตนั้นกลับทำให้เรากลัวที่จะก้าวต่อไปอย่างที่เราต้องการ การรู้จุดจบของเรื่องกลับทำให้เราหวาดระแวงตลอดเวลา ยิ่งดิ้นรนจะหลีกหนี ก็ยิ่งเจ็บปวดเสียเปล่า การรู้อนาคตของรั่วซีจึงเป็นความเจ็บปวดของปัจจุบันตรงหน้าไปด้วย
ปีนี้ Bubujinxin ถูกรีเมคข้ามประเทศไปที่ฝั่งเกาหลี แน่นอนว่าจากความที่ออริจินัลเลย เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ของจีน เกาหลีซื้อพล็อตไป อย่างไรซะคงไม่สามารถเดินเรื่องเป๊ะได้ตามของเดิม เพราะประวัติศาสตร์มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ดังนั้น Bubujingxin เวอร์ชั่นเกาหลีจึงเลือกช่วงเวลาย้อนไปสมัยพันปีก่อนไปเลย (ประวัติศาสตร์ยุคพันปีขึ้นไปส่วนใหญ่จะมีความเป็นตำนานสูงมาก หลักฐานบันทึกไม่ค่อยมาก ตรงกันข้ามกับเวอร์ชั่นจีนซึ่งเลือกช่วงเวลาสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งถือเป็นสมัยราชวงศ์สุดท้าย มีระบบบันทึกเอกสารเรื่องราวต่างๆค่อนข้างชัดเจนกว่ามาก) Moonlovers Scarlet Heart Ryeo จึงเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่อาจจะแฝงความเป็นแฟนตาซีนิดๆเกี่ยวกับเสื้อผ้าหน้าผม รายละเอียดต่างๆเพราะประวัติศาสตร์ยุคโครยอนั้นค่อนข้างไกล ภาพประวัติศาสตร์ต่างๆหลายอย่างมักจะเกิดจากการอนุมานเอาจากหลักฐานทางโบราณคดีที่ทิ้งไว้บ้าง อะไรบ้าง ถ้าจะมีอะไรดูเวอร์วังล้ำยุคไปบ้าง ก็เป็นเพราะเหตุดังกล่าวนี้ ( คิดว่าหนังฮอลลีวู้ดเล่าถึงยุคกรีก โรมัน อิยิปต์ เขาก็ไม่ได้มีความเป๊ะเวอร์เรื่องประวัติศาสตร์นะจ๊ะ เพราะภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ยังคงต้องนำเสนอความเพลิดเพลินในการรับชมเป็นหลัก ไม่ใช่การแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างเด็ดขาด เพราะแม้แต่ในวงประวัติศาสตร์เอง การจะฟันธงว่าเรื่องราวในอดีตเป็นอย่างไรนั้น ยังถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดงว่าใช่ไม่ใช่ เหตุการณ์เดียวกัน บันทึกโดยคนละคน กลายเป็นเรื่องคนละแบบก็มีให้พบบ่อยไป) ดังนั้น หากดู Moonlovers อย่าหวังหาข้อยุติทางประวัติศาสตร์จริงจัง เพราะนี่คือสื่อเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ประวัติศาสตร์ที่ใส่มานั้นเป็นไปเพื่ออรรถรสการรับชม เขาจึงใช้คำว่า "อิง" อย่างไรเล่า คนดูเองพึงวิเคราะห์ด้วยตนเองว่าสิ่งใดคือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สิ่งใดคือมายา
เพิ่งออนแอร์ได้ไม่นาน แต่ Moonlovers ก็ So hot เอามากๆ เพราะรวมดาราชายรูปหล่อไว้เพียบ โปรดักชั่นป๊อปสุดๆแบบโคเรียนสไตล์ แล้วความที่ขายชื่อของ Scarlet Heart ทำให้เรียกความสนใจจากแฟนละครเวอร์ชั่นจีนมาได้มากด้วย จากสาวจีนสุดมั่นเลือดร้อนที่จับได้ว่าแฟนนอกใจ กลายมาเป็นสาวเกาหลีสุดเศร้าถูกแฟนทิ้ง (มีความเจ็บปวดเรื่องหัวใจแบบเดียวกัน) แต่ฝั่งจีนนางเอกโคม่าเพราะไฟฟ้าช็อตทำให้คลื่นสมองหรือวิญญาณถูกย้ายไปสู่อดีตชาติ ในขณะที่เกาหลีเลือกใช้สายน้ำเป็นตัวผ่านพานางเอกย้อนสู่อดีต(มีความคล้ายคลึงนางเอกจากการ์ตูนคำสาปฟาโรห์นิดๆแฮะ) anyway จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องสำอางค์ กลายเป็นสาวใสวัยสิบหกนามกร แฮซู ที่อาศัยอยู่ในยุคของพระเจ้าแทโจแห่งโครยอ ซึ่งเก่าแก่กว่าพันปี( ราชวงศ์โครยอมีอายุอยู่ราว ค.ศ. 918-1392) ซึ่งถ้าอนุมานโดยทั่วไป คือ ประวัติศาสตร์ที่ลึกขนาดนั้น คนทั่วไปไม่ค่อยรู้รายละเอียดนักหรอก จึงไม่ผิดแปลกว่าแฮซูจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับอดีตเอาซะเลย ไม่รู้ว่าใครจะขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป คือจำได้แต่กษัตริย์องค์สำคัญๆ อย่างพระเจ้าแทโจ(องค์แรกของราชวงศ์) พระเจ้าควางจง(สร้างความรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น) ตรงกันข้ามกับรั่วซีที่รู้อยู่แล้วว่าองค์ชายแต่ละคนจะพบจุดจบแบบไหน ทางเกาหลีจึงมีตัวช่วยน้องแฮซูด้วยการให้นางมี "นิมิต" เพื่อให้แฮซูได้มีความ "สะท้านขวัญทุกย่างก้าว" ตามคอนเส็ปต์เดิมของนิยาย
อะไรคือความแตกต่างระหว่างรั่วซี กับ แฮซู ส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ลุคของนักแสดง ในขณะที่รั่วซี คือหญิงสาวร่าเริง ฉลาดเฉลียว แต่หัวแข็ง ดึงดันในสิ่งที่เชื่อ ยึดติดกับความสัมพันธ์ต่างๆและมิตรภาพจนเป็นทุกข์แก่ตนในภายหลัง แฮซู ค่อนข้างจะมีความเป็นเด็ก และเต็มไปด้วยความ "ไม่รู้" และ "ไม่กลัว"มากกว่า เมื่อมองเทียบกัน ใน Bubujinxin จะเห็นความระแวงในอนาคตของรั่วซีตลอดเวลา ในขณะที่แฮซูนั้น คือคนที่พยายามอย่างมากที่จะเข้ากับชีวิตอดีตให้ได้ เพิ่งจะมีความหวาดระแวงต่ออนาคตก็เมื่อตอนที่เห็นนิมิตพระเจ้าควางจงนี้เอง ซึ่งจุดนี้ก็น่าจะเป็นการอนุมานของการเขียนบทให้พระเจ้าควางจงเป็นคนที่ฆ่าพี่น้องเพื่อบัลลังก์ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ให้พระเชษฐาสองพระองค์ที่เป็นกษัตริย์ก่อนหน้าสิ้นพระชนม์หลังขึ้นครองราชย์อย่างรวดเร็วติดต่อกัน อาจทำให้ตีความได้ว่า สวรรคตแบบไม่ธรรมดา ประกอบกับพระเจ้าควางจงมีรูปแบบการปกครองที่เด็ดขาด ไม่สนใจระบบอุปถัมภ์คล้ายคลึงกับฮ่องเต้หย่งเจิ้น คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขียนบทของ Moonlovers เลือกที่จะอิงประวัติศาสตร์เกาหลีในยุคสมัยนี้
ดังนี้ ความ "สะท้านกลัวทุกย่างก้าว"ของรั่วซีนั้น จึงเกิดขึ้นตั้งแต่เธอต้องมาพัวพันกับเหล่าองค์ชายแล้ว ในขณะที่แฮซูนั้น เพิ่งมากลัวเอาตอนหลังจากสนิทสนมกันไปเรียบร้อย ซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ความกลัวของแฮซูจะทำให้ชีวิตของเธอเป็นทุกข์ใจแบบเดียวกับที่รั่วซีเป็นมาแล้วหรือไม่อย่างไร
รั่วซีนั้น เคยถามอ๋องสี่ว่า เหมือนตนเองติดอยู่ในฝัน แต่ตื่นขึ้นมาไม่ได้ อ๋องสี่บอกว่า "จงอยู่ต่อไป" และนี่คือสิ่งที่ทำให้รั่วซีพยายามที่จะอยู่ในยุคสมัยของฮ่องเต้คังซีต่อไปให้ได้ ทั้งนี้ เพราะอย่างไรเสียก็หลีกหนีชะตาลิขิตไม่ได้อยู่ดี เมื่อยังไม่ตาย ก็ต้องอยู่ต่อไป
แล้วแฮซูนั้นเล่า จะอยู่กับความกลัวอนาคตที่เธอรู้จุดจบแล้วอย่างไร ?
สุดท้ายแล้ว การรู้อนาคต แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะทุกอย่างถูกลิขิตมาแล้ว การรู้อนาคตล่วงหน้าคือพรสวรรค์หรือคำสาป เรามักพูดกันว่า ถ้าหากเรารู้อย่างนี้ เราจะ... แต่เมื่อมันเกิดขึ้นจริง เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้จริงหรือ ถ้าเราแก้ไขอดีตไม่ได้ ควบคุมอนาคตก็ไม่ได้ สิ่งที่มนุษย์มีเท่ากันคือ ปัจจุบัน ที่เราต้องอยู่กันต่อไป เราจะมีความสุขง่ายขึ้นไหมหากยึดติดกับอดีต และอนาคตให้น้อยลง : )