สวัสดีค่ะเพื่อนชาวพันทิป
วันนี้เรามีเรื่องอึดอัดมาก ตามหัวข้อเลยนะคะ และไม่รู้จะทำยังไงดี
เรื่องมีอยู่ประมาณว่า...
ต้องเกริ่นก่อนว่าเรากับแม่แฟนสนิทกันค่ะ เราเคารพครอบครัวเค้ามาก เราเจอกันทุกวัน กินข้าวด้วยกันแทบจะทุกวัน มีเจ็ดวัน เราจะต้องไปกินข้าว
กับบ้านแฟน 4-5 วัน/สัปดาห์ แม่แฟนใจดีค่ะ แต่เป็นคนจุกจิกเรื่องอาหาร เรื่องความสะอาด เรื่องลูกๆ ตามประสาคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูกสุดๆ
เราได้รับโอกาส ได้รับอะไรดีๆจากบ้านแฟนเยอะมาก เพื่อนๆคนอื่นยังเคยบอกเราเลยว่าอิจฉาชีวิตเรา แต่อยู่มาวันนึง... เมื่ออาทิตย์ก่อน เรา แฟน และแม่แฟน ได้ไปดูบ้านทาวโฮมด้วยกัน ซึ่งหมู่บ้านนี้เราไม่ชอบ และเราไม่อยากให้แฟนรีบซื้อ
แต่แฟนเค้าก็ชอบนะคะ ด้วยที่หมู่บ้านมันเข้าไม่ลึก และอยู่ไม่ไกลมาก บ้านก็โอเค ราคาก็อยู่ในเรนท์ที่จ่ายได้ ส่วนแม่แฟนก็ชอบค่ะ
ถามว่าทำไมเราถึงไม่ชอบ เพราะหมู่บ้านนี้ยังขายไม่หมด แต่!!! สภาพแวดล้อมคือเริ่มมีการตากผ้าไว้นอกรั่วตัวเอง รั้วทาสีใหม่มีทั้งสีชมพู
สีส้ม สีเขียว หลายหลังมาก เราเลยรู้สึกว่ามันดูวุ่นวายไม่ค่อยมีกฎ ถามว่าบ้านหลังที่แฟนจะจองสวยนะคะ พื้นที่เยอะที่สุดแล้วมั้ง
เราชอบตัวบ้านเค้านะ มันก็โอเคแหละ แต่เราติดใจเรื่องสภาพแวดล้อมมากไปหน่อย เอาจริงๆคือวันที่ไปดูบ้านแฟนเราตั้งใจจะไปจอง
แต่ชวนเราไปดูบ้าน ในใจเราก็คิดเล่นๆว่าอ้าวจะเอาชั้นไปดูทำไมในเมื่อแกจะจองแล้ว น้อยใจมากที่ครั้งแรกเค้าไปดูบ้านกับคนอื่น และไม่รอไปดูกับเรา
และช่วงที่นั่งต่อราคาบ้านกับเซล แม่แฟนเค้าก็ถามว่าชอบไม๊ เราก็เป็นพวกตรงๆพูดจาไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ เราก็ตอบว่าบ้านก็สวยดีค่ะ แต่ไม่ชอบสังคม
สภาพแวดล้อม ถ้าถามว่าชอบไม๊ ก็ไม่ชอบค่ะ แต่ก็นอนได้ + กับตอนนั้นไม่พอใจที่แฟนจะจองบ้านเลยโดยไม่ปรึกษาเราไม่ฟังเราบ้าง ฟังแต่แม่ + ไม่ชอบสภาพหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่ไม่มีคนเข้าใจ ก็หงุดหงิคด่ะ น้ำเสียงนิ่งๆ หน้านิ่ง ไม่ยิ้ม หน้าบึ้งแหละว่าง่ายๆ แต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้ข้างในมากกกกกกก เพราะเรารู้ว่าเวลาหงุดหงิดอะไรปากจะไม่ค่อยดี เราก็พูดจาแบบไม่มีเสียงต่ำเสียงสูงนะ พูดแบบเสียงเป็นเส้นตรงอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าคนฟังเค้าจะรู้สึกแบบนั้นไม๊นะ 5555555
แต่อาการเราดูไม่ยากหรอก เพราะเวลาเราอารมณ์ดีเราจะสุดติ่งมาก แต่พอไม่สบอารมณ์ก็จะสุดติ่งเหมือนกัน และแม่แฟนเค้าก็อธิบายประมาณว่าบ้านก็บ้านของคนอื่น เค้าจะทำไรกับบ้านก็ได้ เราจะไปยุ่งไม่ได้ เค้าก็เริ่มมีน้ำโหแล้วแหละ และแม่แฟนก็พูดต่อว่าถ้าไม่อยากให้ข้างบ้านทารั้วสีชมพูก็ต้องไปปลูกบ้านเองกลางทุ่งนา เค้าก็บอกว่าความคิดเรามันเด็ก คิดอะไรเด็กๆ ยังไม่เข้าใจ เค้าพยายามจะลดธิถิเรา พยายามพูดเพื่อให้เราชอบบ้านหลังนี้ แต่เราเป็นพวกไม่ชอบให้เซ้าซี้อ่ะ คือยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด เราก็คิดว่าเราอยากปรึกษาแฟนก่อนว่าจะเอายังไง แต่เราไม่ได้ปรึกษาแฟนเลยค่ะ มันเป็นการจะจองบ้านแบบเร่งรีบมาก แม่แฟนเค้าก็พยายามพูดว่าชอบไม่ชอบก็ต้องถามคนอยู่ ซึ่งบ้านหลังนี้เรากับแฟนเราจะอยู่ในอนาคต แต่การกระทำมันกลับกันมากค่ะ เรารู้สึกว่าการตัดสินใจของแม่แฟนพุ่งมาก เรานอยด์มากค่ะ ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เห็นด้วยกับเรื่องบ้านหลังนี้อยู่คนเดียว แต่คนอื่นเค้าเห็นด้วยหมด วันนั้นทั้งวันสรุปก็ไม่ได้จองบ้านค่ะ
เรามีเหตุผลของเราที่ยังไม่อยากจอง คือเราอยากพร้อมเรื่องเงินก่อน ตอนนี้เรากำลังจะได้งานใหม่ค่ะ เราอยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับรายจ่ายบ้านด้วย โดยที่ไม่อยากให้แม่แฟนช่วย เพราะมันคือบ้านในอนาคตของเรา เราไม่อยากให้ใครก็ตามเข้ามาจัดการกับบ้านของเรา โดยอ้างสิทธิ์นั่นนุ่นนี่ เราอยากให้แฟนรอเราพร้อมกว่านี้ก่อน เราเข้าใจว่าเราไม่ได้มีการมีงานที่ดีอะไร เงินเดือนก็ไม่เยอะ ถ้ารอไปอีกนานๆปีสองปีบ้านก็แพงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าจะซื้อถูกๆ ก็ต้องไกลออกไปจากตัวเมืองมากขึ้น เราเสียใจนะคะที่เราไม่สามารถมีเงินมารองรับตรงนี้ได้ และเราก็เข้าใจว่าแม่แฟนก็คงอยากเลือกสิ่งดีดีที่เค้ามองว่าที่ดีที่สุดให้ลูก และเราก็เครียดขึ้นเรื่อยๆโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้มารวมกัน เรื่องที่เคยอึดอัดใจกันมาก่อนหน้านี้ เช่นเรื่องการแต่งตัว การใส่ขาสั้น เกาะอก เปิดไหล่ ซึ่งเราเป็นคนชอบใส่เสื้อเปิดไหล่มากกกกกกกกก ชอบทาปากสีแดง สีน้ำตาล สีมั่นๆไรงี้ บ้าบอติ๊งต๊องไปเรื่อย แต่ก็โดนแม่แฟนตำหนินิดหน่อยว่าไม่ควรใส่ ตอนแรกเราก็โมโหมาก เราก็คุยกับแฟนว่าเราชอบแต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแฟนก็รู้มาตลอด แฟนเราก็ชอบให้เราแต่งตัวสวยๆ แต่แม่แฟนไม่ชอบเอาไงละทีนี้ เราก็พยายามทำในสิ่งที่เค้าห้ามมาตลอดเพื่อที่เค้าจะได้ชินและยอมรับความเป็นตัวตนของเรา แต่สุดท้ายการทาปากแดงของเราก็ไม่เป็นผล ทุกครั้งที่เราโดนว่าโดนตำหนิมาเราจะมาเล่าให้แฟนฟังตลอดค่ะ จนเรารู้สึกสงสารแฟน โอเคในเมื่อแม่แฟนไม่เข้าใจความเป็นตัวเรา งั้นเราเปลี่ยนตัวเองก็ได้ เราจะพยายามใส่กางเกงยีนต์ขายาว ไม่ทาปากแดง ไม่ใส่เปิดไหล่ ไม่ใส่เกาะอก เราก็หันมาใส่เสื้อเชิ๊ต ใส่เดรสกระโปรง ก็หาๆในตู้เสื้อผ้ามาอันไหนเรียบร้อยก็ใส่ๆไป แต่ทุกวันเราจะคิดถึงลิปเรามากกกกกกเพราะเราชอบทาลิป TT ยิ่งสนิทกับแม่แฟนมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งเสียความเป็นตัวตนมากเท่านั้น เราอยากจะไปดินเนอร์กับแฟนสองคนเราก็ต้องโกหกผู้ใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะแฟนเราเคยพูดว่าไม่อยากให้แม่รู้เพราะไม่เคยพาแม่ไปดินเนอร์ดาดฟ้าเลย ถ้าบอกพาแฟนไปก็กลัวแม่น้อยใจ เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรต้องขนาดนั้นแต่เราก็ไม่อะไรก็เก็บไว้ในใจ จะไปไหนก็ต้องบอก ถ้าไปต่างจังหวัดเค้าก็จะซักไซร้ถามอยู่นั่นแหละ เพราะบางทีแฟนเราก็ไม่ยอมบอกความจริงกับแม่ แม่แฟนก็จะมาซักไซร้เอาความจริงกับเรา เรารู้สึกอึดอัดมากกกมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เคยบอกแฟนนะว่าให้เลือกที่จะบอกความจริงไปไม่ว่าจะทำไรก็บอกความจริงเค้าจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตเราสองคนเป็นแบบนี้นะ มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย แฟนเราก็พยายามทำตามที่เราบอก ถึงจะทำไม้ได้เต็มที่แต่เค้าก็พยายามทำให้เราเห็นแหละว่าเค้าก็แคร์เรานะ ถ้าเป็นบ้านเราจะไปไหนสามารถพูดกับแม่ตรงๆได้เลยไม่ต้องโกหก จะไปผับก็บอกไปผับ กลับตีสามก็บอกตีสาม เคยโดดเรียนก็สารภาพตรงๆ ที่บ้านเราเลี้ยงเราแบบให้เราช่วยเหลือตัวเองมาตลอด และเคยคุยกันว่าถ้าแม่เราอยากให้เราบอกความจริงก็ต้องยอมรับฟังความจริงที่เราจะบอก ผิดถูกจะด่าก็ค่อยด่า แต่ต้องยอมรับฟังก่อน ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ไม่ได้ไม่ได้ แม่เราก็โอเค ตั้งแต่ที่บ้านเรามีกฎแบบนี้มาทุกคนแฮปปี้มาก เราสบายใจทุกครั้งที่จะไปไหน เราชอบเที่ยวแต่เราไม่เคยทำเรื่องปวดหัวให้พ่อกับแม่เลย
นอกเรื่องไปเยอะเลย เข้าเรื่องๆ พอตกเย็นเราก็เครียดร้องห่มร้องไห้กับแฟน แฟนเราก็เข้าใจเราในระดับนึงแหละ ว่าเราเป็นคนแบบนี้ บ้านนี้ก็ไม่ใช่บ้านแบบที่เราอยากจะได้ นางก็พยายามเป็นกลางมาก เราก็มานั่งคุยกันว่าอันไหนที่เราผิดบ้างอันไหนที่แม่แฟนเยอะบ้าง แต่ถ้าผู้ใหญ่มองเราก็ผิดเต็มประตูแหละ แต่เราก็ได้แต่พูดว่าเป็นเด็กแต่ก็มีความคิด ฟังกันหน่อยได้ไม๊ เราก็ร้องไห้ ว่าจะทำยังไง หาทางออกยังไง เพราะเรื่องมันเริ่มจะไม่โอเคแล้ว บ้านแค่หลังเดียวมันเกิดปัญหามากขนาดนี้เลยหรอ พอวันรุ่งขึ้นแม่แฟนก็เปลี่ยนไปเลย เราก็เปลี่ยนไป จากที่พูดหยอกกันก็ต่างตนต่างเงียบ มันยิ่งทำให้เราอึดอัดมาก เพราะเราไม่ได้อยากให้มันจบแบบนี้ เราก็แค่อยากอธิบายเหตุผลของเราที่เราคิด แต่มันอาจจะทำให้คนฟังไม่พอใจ เราก็ยอมรับนะว่าตอนที่โมโหเราก็
โกรธว่าต้องเข้ามายุ่งอะไรขนาดนี้เลยหรอ แต่ก็พูดไม่ได้เพราะเค้าเป็นแม่ลูกกัน เราก็นั่งคิดในสิ่งที่ทำลงไป เราไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่พูดคนฟังเค้ารู้สึกแบบไหน รู้แต่ว่าเราโมโหและเราก็เก็บอารมณ์เรามาก (แต่ไม่รู้ว่าคนฟังเค้ารู้สึกยังไงงะ) เราก็โอเค ตูผิดก็ผิดว่ะ ถึงยังไงเราก็พูดไม่ได้อยู่แล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเราสองคน เราขอตัดสินใจ ขอเคลียร์กันสองคน โดยที่มีแม่คอยให้ความเห็นอยู่ห่างๆจะได้ไม๊ ก็พูดไม่ได้ น้ำท่วมปาก พูดไปก็เตรียมตัวหาแฟนใหม่ได้เลยค่ะ 5555555 (มีน้ำตาซ่อนอยู่) เราก็ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปสองวัน คิดทบทวนตัวเองทุกวัน คิดถึงเหตุการณ์ทุกคืน นอนก็ไม่หลับ ร้องไห้ดราท่าอยู่คนเดียว กลัวเค้าจะไม่ให้ลูกเค้ามารักกับเรา โหะโหะโหะ แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจค่ะ เราก็ยกหูโทรศัพท์หาแม่แฟนเลยค่ะ น้ำเสียงฝ่ายตรงข้ามแบบไม่อยากจะคุยด้วยมากกก ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เคยโทรหา เราก็ไม่รอช้า เราก็ขอโทษเค้าค่ะ เค้าก็ถามว่าเรื่องอะไร เราก็บอกไปว่าเรื่องวันก่อนที่หนูทำกริยาไม่ดี อาจจะมองว่าก้าวร้าว ไม่มีมารยาทต่างๆ ก็ขอโทษที่ทำให้คุณแม่ไม่พอใจ หนูขอโทษนะคะ อะไรประมาณนี้แหละ เค้าก็อืม ไม่พูดไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เค้าถามกลับเราแค่ว่าตอนนี้อยู่ไหน แม่ไม่สบายเป็นอะไร ก็แค่นี้ค่ะ
เรานึกว่าเราจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่เลยค่ะ เรารู้สึกเหมือนตัวไรก็ไม่รู้ อันนี้รู้สึกเอง รู้สึกว่าทุกอย่างมันคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปละ รู้สึกว่าจากเหตุการณ์ในวันนั้นเรามีข้อถูกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนตูผิดไปหมด ผิดเต็มประตู เหมือนอยู่ตัวคนเดียว จะหันหน้าไปพึ่งใครดีฟระ ถึงลึกๆในใจเราจะรู้สึกว่าเราถูกอยู่บ้างแต่คนรอบข้างก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรา
เผียดดดดด
ๆ เครียดค่ะ อึดอัด ทุกวันนี้ยังไม่มีทางออกให้ตัวเองเลยค่ะ ว่าจะทำยังไงต่อ
ปล.ทั้งหมดที่เรามาไม่มีเจตนาจะว่าหรือประจานใครนะคะ แค่อยากระบาย ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านหรอก เพราะตั้งกระทู้อะไรมาไม่คอยมีคนมาอ่าน 5555 แต่ด้วยความอึดอัด ไม่รู้จะไปพูดกับใคร ไม่อยากไปเล่าให้แม่ตัวเองฟัง ไม่อยากให้แม่เครียดไปกับเรา เราแค่อยากระบายแต่พอได้พิมพ์ทุกอย่างที่ติดอยู่ในใจออกมาก็โล่งขึ้นเยอะ ถ้าไม่ได้ระบายออกมากลัวว่าตัวเองจะสมองแตกตายซะก่อน ฮ่าาาา **แต่ถ้ามีคนเข้ามาอ่านหรือคอมเม้นอะไรเราก็ยินดีรับฟังจากคนที่มองเข้ามาค่ะ แต่ขอให้ใช้คำสุภาพนะคะ จุ๊บๆ
ในวันที่แม่แฟนกับว่าที่ลูกสะใภ้ผิดใจกัน
วันนี้เรามีเรื่องอึดอัดมาก ตามหัวข้อเลยนะคะ และไม่รู้จะทำยังไงดี
เรื่องมีอยู่ประมาณว่า...
ต้องเกริ่นก่อนว่าเรากับแม่แฟนสนิทกันค่ะ เราเคารพครอบครัวเค้ามาก เราเจอกันทุกวัน กินข้าวด้วยกันแทบจะทุกวัน มีเจ็ดวัน เราจะต้องไปกินข้าว
กับบ้านแฟน 4-5 วัน/สัปดาห์ แม่แฟนใจดีค่ะ แต่เป็นคนจุกจิกเรื่องอาหาร เรื่องความสะอาด เรื่องลูกๆ ตามประสาคนเป็นแม่ที่เป็นห่วงลูกสุดๆ
เราได้รับโอกาส ได้รับอะไรดีๆจากบ้านแฟนเยอะมาก เพื่อนๆคนอื่นยังเคยบอกเราเลยว่าอิจฉาชีวิตเรา แต่อยู่มาวันนึง... เมื่ออาทิตย์ก่อน เรา แฟน และแม่แฟน ได้ไปดูบ้านทาวโฮมด้วยกัน ซึ่งหมู่บ้านนี้เราไม่ชอบ และเราไม่อยากให้แฟนรีบซื้อ
แต่แฟนเค้าก็ชอบนะคะ ด้วยที่หมู่บ้านมันเข้าไม่ลึก และอยู่ไม่ไกลมาก บ้านก็โอเค ราคาก็อยู่ในเรนท์ที่จ่ายได้ ส่วนแม่แฟนก็ชอบค่ะ
ถามว่าทำไมเราถึงไม่ชอบ เพราะหมู่บ้านนี้ยังขายไม่หมด แต่!!! สภาพแวดล้อมคือเริ่มมีการตากผ้าไว้นอกรั่วตัวเอง รั้วทาสีใหม่มีทั้งสีชมพู
สีส้ม สีเขียว หลายหลังมาก เราเลยรู้สึกว่ามันดูวุ่นวายไม่ค่อยมีกฎ ถามว่าบ้านหลังที่แฟนจะจองสวยนะคะ พื้นที่เยอะที่สุดแล้วมั้ง
เราชอบตัวบ้านเค้านะ มันก็โอเคแหละ แต่เราติดใจเรื่องสภาพแวดล้อมมากไปหน่อย เอาจริงๆคือวันที่ไปดูบ้านแฟนเราตั้งใจจะไปจอง
แต่ชวนเราไปดูบ้าน ในใจเราก็คิดเล่นๆว่าอ้าวจะเอาชั้นไปดูทำไมในเมื่อแกจะจองแล้ว น้อยใจมากที่ครั้งแรกเค้าไปดูบ้านกับคนอื่น และไม่รอไปดูกับเรา
และช่วงที่นั่งต่อราคาบ้านกับเซล แม่แฟนเค้าก็ถามว่าชอบไม๊ เราก็เป็นพวกตรงๆพูดจาไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ เราก็ตอบว่าบ้านก็สวยดีค่ะ แต่ไม่ชอบสังคม
สภาพแวดล้อม ถ้าถามว่าชอบไม๊ ก็ไม่ชอบค่ะ แต่ก็นอนได้ + กับตอนนั้นไม่พอใจที่แฟนจะจองบ้านเลยโดยไม่ปรึกษาเราไม่ฟังเราบ้าง ฟังแต่แม่ + ไม่ชอบสภาพหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่ไม่มีคนเข้าใจ ก็หงุดหงิคด่ะ น้ำเสียงนิ่งๆ หน้านิ่ง ไม่ยิ้ม หน้าบึ้งแหละว่าง่ายๆ แต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้ข้างในมากกกกกกก เพราะเรารู้ว่าเวลาหงุดหงิดอะไรปากจะไม่ค่อยดี เราก็พูดจาแบบไม่มีเสียงต่ำเสียงสูงนะ พูดแบบเสียงเป็นเส้นตรงอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าคนฟังเค้าจะรู้สึกแบบนั้นไม๊นะ 5555555
แต่อาการเราดูไม่ยากหรอก เพราะเวลาเราอารมณ์ดีเราจะสุดติ่งมาก แต่พอไม่สบอารมณ์ก็จะสุดติ่งเหมือนกัน และแม่แฟนเค้าก็อธิบายประมาณว่าบ้านก็บ้านของคนอื่น เค้าจะทำไรกับบ้านก็ได้ เราจะไปยุ่งไม่ได้ เค้าก็เริ่มมีน้ำโหแล้วแหละ และแม่แฟนก็พูดต่อว่าถ้าไม่อยากให้ข้างบ้านทารั้วสีชมพูก็ต้องไปปลูกบ้านเองกลางทุ่งนา เค้าก็บอกว่าความคิดเรามันเด็ก คิดอะไรเด็กๆ ยังไม่เข้าใจ เค้าพยายามจะลดธิถิเรา พยายามพูดเพื่อให้เราชอบบ้านหลังนี้ แต่เราเป็นพวกไม่ชอบให้เซ้าซี้อ่ะ คือยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด เราก็คิดว่าเราอยากปรึกษาแฟนก่อนว่าจะเอายังไง แต่เราไม่ได้ปรึกษาแฟนเลยค่ะ มันเป็นการจะจองบ้านแบบเร่งรีบมาก แม่แฟนเค้าก็พยายามพูดว่าชอบไม่ชอบก็ต้องถามคนอยู่ ซึ่งบ้านหลังนี้เรากับแฟนเราจะอยู่ในอนาคต แต่การกระทำมันกลับกันมากค่ะ เรารู้สึกว่าการตัดสินใจของแม่แฟนพุ่งมาก เรานอยด์มากค่ะ ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เห็นด้วยกับเรื่องบ้านหลังนี้อยู่คนเดียว แต่คนอื่นเค้าเห็นด้วยหมด วันนั้นทั้งวันสรุปก็ไม่ได้จองบ้านค่ะ
เรามีเหตุผลของเราที่ยังไม่อยากจอง คือเราอยากพร้อมเรื่องเงินก่อน ตอนนี้เรากำลังจะได้งานใหม่ค่ะ เราอยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับรายจ่ายบ้านด้วย โดยที่ไม่อยากให้แม่แฟนช่วย เพราะมันคือบ้านในอนาคตของเรา เราไม่อยากให้ใครก็ตามเข้ามาจัดการกับบ้านของเรา โดยอ้างสิทธิ์นั่นนุ่นนี่ เราอยากให้แฟนรอเราพร้อมกว่านี้ก่อน เราเข้าใจว่าเราไม่ได้มีการมีงานที่ดีอะไร เงินเดือนก็ไม่เยอะ ถ้ารอไปอีกนานๆปีสองปีบ้านก็แพงขึ้นเรื่อยๆ หรือถ้าจะซื้อถูกๆ ก็ต้องไกลออกไปจากตัวเมืองมากขึ้น เราเสียใจนะคะที่เราไม่สามารถมีเงินมารองรับตรงนี้ได้ และเราก็เข้าใจว่าแม่แฟนก็คงอยากเลือกสิ่งดีดีที่เค้ามองว่าที่ดีที่สุดให้ลูก และเราก็เครียดขึ้นเรื่อยๆโยงเรื่องนั้นเรื่องนี้มารวมกัน เรื่องที่เคยอึดอัดใจกันมาก่อนหน้านี้ เช่นเรื่องการแต่งตัว การใส่ขาสั้น เกาะอก เปิดไหล่ ซึ่งเราเป็นคนชอบใส่เสื้อเปิดไหล่มากกกกกกกกก ชอบทาปากสีแดง สีน้ำตาล สีมั่นๆไรงี้ บ้าบอติ๊งต๊องไปเรื่อย แต่ก็โดนแม่แฟนตำหนินิดหน่อยว่าไม่ควรใส่ ตอนแรกเราก็โมโหมาก เราก็คุยกับแฟนว่าเราชอบแต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแฟนก็รู้มาตลอด แฟนเราก็ชอบให้เราแต่งตัวสวยๆ แต่แม่แฟนไม่ชอบเอาไงละทีนี้ เราก็พยายามทำในสิ่งที่เค้าห้ามมาตลอดเพื่อที่เค้าจะได้ชินและยอมรับความเป็นตัวตนของเรา แต่สุดท้ายการทาปากแดงของเราก็ไม่เป็นผล ทุกครั้งที่เราโดนว่าโดนตำหนิมาเราจะมาเล่าให้แฟนฟังตลอดค่ะ จนเรารู้สึกสงสารแฟน โอเคในเมื่อแม่แฟนไม่เข้าใจความเป็นตัวเรา งั้นเราเปลี่ยนตัวเองก็ได้ เราจะพยายามใส่กางเกงยีนต์ขายาว ไม่ทาปากแดง ไม่ใส่เปิดไหล่ ไม่ใส่เกาะอก เราก็หันมาใส่เสื้อเชิ๊ต ใส่เดรสกระโปรง ก็หาๆในตู้เสื้อผ้ามาอันไหนเรียบร้อยก็ใส่ๆไป แต่ทุกวันเราจะคิดถึงลิปเรามากกกกกกเพราะเราชอบทาลิป TT ยิ่งสนิทกับแม่แฟนมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งเสียความเป็นตัวตนมากเท่านั้น เราอยากจะไปดินเนอร์กับแฟนสองคนเราก็ต้องโกหกผู้ใหญ่อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะแฟนเราเคยพูดว่าไม่อยากให้แม่รู้เพราะไม่เคยพาแม่ไปดินเนอร์ดาดฟ้าเลย ถ้าบอกพาแฟนไปก็กลัวแม่น้อยใจ เราก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอะไรต้องขนาดนั้นแต่เราก็ไม่อะไรก็เก็บไว้ในใจ จะไปไหนก็ต้องบอก ถ้าไปต่างจังหวัดเค้าก็จะซักไซร้ถามอยู่นั่นแหละ เพราะบางทีแฟนเราก็ไม่ยอมบอกความจริงกับแม่ แม่แฟนก็จะมาซักไซร้เอาความจริงกับเรา เรารู้สึกอึดอัดมากกกมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เคยบอกแฟนนะว่าให้เลือกที่จะบอกความจริงไปไม่ว่าจะทำไรก็บอกความจริงเค้าจะได้รู้ว่าวิถีชีวิตเราสองคนเป็นแบบนี้นะ มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย แฟนเราก็พยายามทำตามที่เราบอก ถึงจะทำไม้ได้เต็มที่แต่เค้าก็พยายามทำให้เราเห็นแหละว่าเค้าก็แคร์เรานะ ถ้าเป็นบ้านเราจะไปไหนสามารถพูดกับแม่ตรงๆได้เลยไม่ต้องโกหก จะไปผับก็บอกไปผับ กลับตีสามก็บอกตีสาม เคยโดดเรียนก็สารภาพตรงๆ ที่บ้านเราเลี้ยงเราแบบให้เราช่วยเหลือตัวเองมาตลอด และเคยคุยกันว่าถ้าแม่เราอยากให้เราบอกความจริงก็ต้องยอมรับฟังความจริงที่เราจะบอก ผิดถูกจะด่าก็ค่อยด่า แต่ต้องยอมรับฟังก่อน ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ไม่ได้ไม่ได้ แม่เราก็โอเค ตั้งแต่ที่บ้านเรามีกฎแบบนี้มาทุกคนแฮปปี้มาก เราสบายใจทุกครั้งที่จะไปไหน เราชอบเที่ยวแต่เราไม่เคยทำเรื่องปวดหัวให้พ่อกับแม่เลย
นอกเรื่องไปเยอะเลย เข้าเรื่องๆ พอตกเย็นเราก็เครียดร้องห่มร้องไห้กับแฟน แฟนเราก็เข้าใจเราในระดับนึงแหละ ว่าเราเป็นคนแบบนี้ บ้านนี้ก็ไม่ใช่บ้านแบบที่เราอยากจะได้ นางก็พยายามเป็นกลางมาก เราก็มานั่งคุยกันว่าอันไหนที่เราผิดบ้างอันไหนที่แม่แฟนเยอะบ้าง แต่ถ้าผู้ใหญ่มองเราก็ผิดเต็มประตูแหละ แต่เราก็ได้แต่พูดว่าเป็นเด็กแต่ก็มีความคิด ฟังกันหน่อยได้ไม๊ เราก็ร้องไห้ ว่าจะทำยังไง หาทางออกยังไง เพราะเรื่องมันเริ่มจะไม่โอเคแล้ว บ้านแค่หลังเดียวมันเกิดปัญหามากขนาดนี้เลยหรอ พอวันรุ่งขึ้นแม่แฟนก็เปลี่ยนไปเลย เราก็เปลี่ยนไป จากที่พูดหยอกกันก็ต่างตนต่างเงียบ มันยิ่งทำให้เราอึดอัดมาก เพราะเราไม่ได้อยากให้มันจบแบบนี้ เราก็แค่อยากอธิบายเหตุผลของเราที่เราคิด แต่มันอาจจะทำให้คนฟังไม่พอใจ เราก็ยอมรับนะว่าตอนที่โมโหเราก็
โกรธว่าต้องเข้ามายุ่งอะไรขนาดนี้เลยหรอ แต่ก็พูดไม่ได้เพราะเค้าเป็นแม่ลูกกัน เราก็นั่งคิดในสิ่งที่ทำลงไป เราไม่รู้หรอกว่าน้ำเสียงที่พูดคนฟังเค้ารู้สึกแบบไหน รู้แต่ว่าเราโมโหและเราก็เก็บอารมณ์เรามาก (แต่ไม่รู้ว่าคนฟังเค้ารู้สึกยังไงงะ) เราก็โอเค ตูผิดก็ผิดว่ะ ถึงยังไงเราก็พูดไม่ได้อยู่แล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของเราสองคน เราขอตัดสินใจ ขอเคลียร์กันสองคน โดยที่มีแม่คอยให้ความเห็นอยู่ห่างๆจะได้ไม๊ ก็พูดไม่ได้ น้ำท่วมปาก พูดไปก็เตรียมตัวหาแฟนใหม่ได้เลยค่ะ 5555555 (มีน้ำตาซ่อนอยู่) เราก็ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปสองวัน คิดทบทวนตัวเองทุกวัน คิดถึงเหตุการณ์ทุกคืน นอนก็ไม่หลับ ร้องไห้ดราท่าอยู่คนเดียว กลัวเค้าจะไม่ให้ลูกเค้ามารักกับเรา โหะโหะโหะ แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจค่ะ เราก็ยกหูโทรศัพท์หาแม่แฟนเลยค่ะ น้ำเสียงฝ่ายตรงข้ามแบบไม่อยากจะคุยด้วยมากกก ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เคยโทรหา เราก็ไม่รอช้า เราก็ขอโทษเค้าค่ะ เค้าก็ถามว่าเรื่องอะไร เราก็บอกไปว่าเรื่องวันก่อนที่หนูทำกริยาไม่ดี อาจจะมองว่าก้าวร้าว ไม่มีมารยาทต่างๆ ก็ขอโทษที่ทำให้คุณแม่ไม่พอใจ หนูขอโทษนะคะ อะไรประมาณนี้แหละ เค้าก็อืม ไม่พูดไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เค้าถามกลับเราแค่ว่าตอนนี้อยู่ไหน แม่ไม่สบายเป็นอะไร ก็แค่นี้ค่ะ
เรานึกว่าเราจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่เลยค่ะ เรารู้สึกเหมือนตัวไรก็ไม่รู้ อันนี้รู้สึกเอง รู้สึกว่าทุกอย่างมันคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปละ รู้สึกว่าจากเหตุการณ์ในวันนั้นเรามีข้อถูกอยู่บ้าง แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนตูผิดไปหมด ผิดเต็มประตู เหมือนอยู่ตัวคนเดียว จะหันหน้าไปพึ่งใครดีฟระ ถึงลึกๆในใจเราจะรู้สึกว่าเราถูกอยู่บ้างแต่คนรอบข้างก็ทำให้เรารู้สึกว่าเราเผียดดดดดๆ เครียดค่ะ อึดอัด ทุกวันนี้ยังไม่มีทางออกให้ตัวเองเลยค่ะ ว่าจะทำยังไงต่อ
ปล.ทั้งหมดที่เรามาไม่มีเจตนาจะว่าหรือประจานใครนะคะ แค่อยากระบาย ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านหรอก เพราะตั้งกระทู้อะไรมาไม่คอยมีคนมาอ่าน 5555 แต่ด้วยความอึดอัด ไม่รู้จะไปพูดกับใคร ไม่อยากไปเล่าให้แม่ตัวเองฟัง ไม่อยากให้แม่เครียดไปกับเรา เราแค่อยากระบายแต่พอได้พิมพ์ทุกอย่างที่ติดอยู่ในใจออกมาก็โล่งขึ้นเยอะ ถ้าไม่ได้ระบายออกมากลัวว่าตัวเองจะสมองแตกตายซะก่อน ฮ่าาาา **แต่ถ้ามีคนเข้ามาอ่านหรือคอมเม้นอะไรเราก็ยินดีรับฟังจากคนที่มองเข้ามาค่ะ แต่ขอให้ใช้คำสุภาพนะคะ จุ๊บๆ