เพจหมอ โพสต์ขอโทษเด็กหญิง ม.5 ถูกครูปาแก้วหน้าเบี้ยว หลังวินิจฉัยเป็นโรคตามอคติจนคนเข้าใจผิด
ด้านทนาย ยัน แพทย์ 3 โรงพยาบาลเผยผลตรวจตรวจเส้นประสาทอักเสบจากการถูกกระทบ
จากกรณี น้องทราย นักเรียนหญิงชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ถูกครูสอนวิชาพลศึกษาปาแก้วใส่บริเวณกกหูด้านซ้ายจนปากเบี้ยวและใบหน้าผิดรูป เนื่องจากเส้นประสาทอักเสบจากถูกของแข็ง ซึ่งภายหลังมีหมอรายหนึ่งได้วินิจฉัยอาการของน้องทรายผ่านทางเฟซบุ๊กว่า แท้จริงแล้วเกิดจากโรค Bell's Palsy ทำให้สังคมออนไลน์ต่างมองเด็กหญิงดังกล่าวในแง่ลบนั้น [อ่านข่าว : เด็กหญิง ม.5 ถูกปาแก้ว เสียใจถูกกล่าวหากุเรื่อง-วอนโซเชียลอย่าบิดเบือนความจริง]
โดยล่าสุด (17 กันยายน 2559) มีรายงานว่า หมอที่ออกมาวินิจฉัยคนดังกล่าว ได้ออกมาขอโทษ และยอมรับว่าตัวเองเข้าใจผิด วินิจฉัยโดยใช้อคติและอารมณ์ส่วนตัว ก่อนจะมีการปิดเพจเฟซบุ๊กไป
ด้าน ทนายความชื่อดัง ที่อาสาเข้ามาช่วยน้องทราย ก็ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวด้วยผ่านเฟซบุ๊ก เกิดผล แก้วเกิด ว่า ผลการตรวจทางการแพทย์ ทั้ง 3 โรงพยาบาล วินิจฉัยว่า อาการของน้องทรายถูกกระทบจากของแข็งไม่มีคม จนเส้นประสาทอักเสบ แต่มีหมอบางคนตั้งข้อสังเกตว่ามาจากโรค Bell's Palsy ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่ยังไม่ได้ซักถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วย ทำให้สังคมเข้าใจผิด โดยล่าสุดหมอคนดังกล่าวก็ได้ส่งข้อความมาขอโทษแล้ว แต่เหมือนเป็นการเข้าทำนอง "ตบหัวบนศาลา มาขอขมาที่บ้าน "
โดยมีข้อความทั้งหมดดังนี้
ขณะ ที่เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง เฟซบุ๊ก Drama-addict ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว ในทำนองว่า ไม่มีหมอคนใดที่วินิจฉัยโรคออนไลน์ โดยฟังจากที่คนเล่าให้ฟังหรืออ่านจากข้อมูลทางสื่อ เนื่องจากการวินิจฉัยโรคต้องมีทั้งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ผลแลป รวมทั้งมันเป็นสิทธิของผู้ป่วยด้วยว่าจะให้หมอเปิดเผยข้อมูลได้แค่ไหน หรือจะไม่ให้เปิดเผยข้อมูลใดเลยก็ยังได้
อ่านข่าวเพิ่มเต็มๆได้ที่
http://hilight.kapook.com/view/142274
ที่ผมโพสข่าวนี้ เพราะว่าเมื่อวันสองวันก่อน มีผู้หญิงหลายพันหลายหมื่นคนใน facebook ได้แชร์ข้อความที่หมอเอหรือหมออะไรสักคนนั้นโพสในเพจ และต่างก็รุ่มด่าน้องหน้าเบี้ยวว่าสมน้ำหน้า ทายแล้วว่าเด็กบ้านั่นต้องโกหกสารพัด สารเลว ต่างๆ นาๆ ผมก็รู้สึกจิตตกและแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงด้วยกันจึงสะใจดีใจหรือตกย้ำเมื่อผู้หญิงอีกคนหน้าเบี้ยว แทนที่จะสงสาร
และผมก็อยากบอกหมอคนนั้นให้รู้ว่า สิ่งที่หมอโพสไปและแสดงความรู้ความสามารถแบบอคิตไปในวันนั้น มันคือดราม่าและมันถูกแชร์ไปอย่างมากในเฟส มันโผล่ในเฟสบุคผมเยอะมากเพราะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ และการที่วันนี้หมอมายอมรับผิดและขอโทษว่าที่วินิจฉัยออนไลน์ไปนั้นก็เพราะอคติและอารมณ์ส่วนตัว สิ่งนี้ไม่ใช่ดราม่าและความสะใจฉะนั้นการแก้ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ถูกแชร์หรือถูกแชร์น้อยกว่าอาจจะทำให้คนที่เข้าใจผิดเพราะข้อความของหมอในตอนแรกที่นั่งเทียนวินัจฉัยโรคก็ยังเข้าใจผิดอยู่ตลอดไป มันไม่เป็นธรรมกับน้องนักเรียนคนนั้นเท่าไหร่
เพจหมอ โพสต์ขอโทษเด็กหญิงถูกครูปาแก้วหน้าเบี้ยว รับตัวเองวินิจฉัยโรคตามอคติและอารมณ์ส่วนตัว ปิดเพจหนีแล้ว แพทย์ 3 โรงบาล
จากกรณี น้องทราย นักเรียนหญิงชั้น ม.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ถูกครูสอนวิชาพลศึกษาปาแก้วใส่บริเวณกกหูด้านซ้ายจนปากเบี้ยวและใบหน้าผิดรูป เนื่องจากเส้นประสาทอักเสบจากถูกของแข็ง ซึ่งภายหลังมีหมอรายหนึ่งได้วินิจฉัยอาการของน้องทรายผ่านทางเฟซบุ๊กว่า แท้จริงแล้วเกิดจากโรค Bell's Palsy ทำให้สังคมออนไลน์ต่างมองเด็กหญิงดังกล่าวในแง่ลบนั้น [อ่านข่าว : เด็กหญิง ม.5 ถูกปาแก้ว เสียใจถูกกล่าวหากุเรื่อง-วอนโซเชียลอย่าบิดเบือนความจริง]
โดยล่าสุด (17 กันยายน 2559) มีรายงานว่า หมอที่ออกมาวินิจฉัยคนดังกล่าว ได้ออกมาขอโทษ และยอมรับว่าตัวเองเข้าใจผิด วินิจฉัยโดยใช้อคติและอารมณ์ส่วนตัว ก่อนจะมีการปิดเพจเฟซบุ๊กไป
ด้าน ทนายความชื่อดัง ที่อาสาเข้ามาช่วยน้องทราย ก็ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวด้วยผ่านเฟซบุ๊ก เกิดผล แก้วเกิด ว่า ผลการตรวจทางการแพทย์ ทั้ง 3 โรงพยาบาล วินิจฉัยว่า อาการของน้องทรายถูกกระทบจากของแข็งไม่มีคม จนเส้นประสาทอักเสบ แต่มีหมอบางคนตั้งข้อสังเกตว่ามาจากโรค Bell's Palsy ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ที่ยังไม่ได้ซักถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วย ทำให้สังคมเข้าใจผิด โดยล่าสุดหมอคนดังกล่าวก็ได้ส่งข้อความมาขอโทษแล้ว แต่เหมือนเป็นการเข้าทำนอง "ตบหัวบนศาลา มาขอขมาที่บ้าน "
โดยมีข้อความทั้งหมดดังนี้
ขณะ ที่เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง เฟซบุ๊ก Drama-addict ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว ในทำนองว่า ไม่มีหมอคนใดที่วินิจฉัยโรคออนไลน์ โดยฟังจากที่คนเล่าให้ฟังหรืออ่านจากข้อมูลทางสื่อ เนื่องจากการวินิจฉัยโรคต้องมีทั้งการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ผลแลป รวมทั้งมันเป็นสิทธิของผู้ป่วยด้วยว่าจะให้หมอเปิดเผยข้อมูลได้แค่ไหน หรือจะไม่ให้เปิดเผยข้อมูลใดเลยก็ยังได้
อ่านข่าวเพิ่มเต็มๆได้ที่
http://hilight.kapook.com/view/142274
ที่ผมโพสข่าวนี้ เพราะว่าเมื่อวันสองวันก่อน มีผู้หญิงหลายพันหลายหมื่นคนใน facebook ได้แชร์ข้อความที่หมอเอหรือหมออะไรสักคนนั้นโพสในเพจ และต่างก็รุ่มด่าน้องหน้าเบี้ยวว่าสมน้ำหน้า ทายแล้วว่าเด็กบ้านั่นต้องโกหกสารพัด สารเลว ต่างๆ นาๆ ผมก็รู้สึกจิตตกและแปลกใจว่าทำไมผู้หญิงด้วยกันจึงสะใจดีใจหรือตกย้ำเมื่อผู้หญิงอีกคนหน้าเบี้ยว แทนที่จะสงสาร
และผมก็อยากบอกหมอคนนั้นให้รู้ว่า สิ่งที่หมอโพสไปและแสดงความรู้ความสามารถแบบอคิตไปในวันนั้น มันคือดราม่าและมันถูกแชร์ไปอย่างมากในเฟส มันโผล่ในเฟสบุคผมเยอะมากเพราะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ และการที่วันนี้หมอมายอมรับผิดและขอโทษว่าที่วินิจฉัยออนไลน์ไปนั้นก็เพราะอคติและอารมณ์ส่วนตัว สิ่งนี้ไม่ใช่ดราม่าและความสะใจฉะนั้นการแก้ข่าวที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ถูกแชร์หรือถูกแชร์น้อยกว่าอาจจะทำให้คนที่เข้าใจผิดเพราะข้อความของหมอในตอนแรกที่นั่งเทียนวินัจฉัยโรคก็ยังเข้าใจผิดอยู่ตลอดไป มันไม่เป็นธรรมกับน้องนักเรียนคนนั้นเท่าไหร่