มาทำความรู้จักกับเครื่องบินแอร์บัส รุ่น A320/321 NEO

ในปี 2006 ค่ายผู้ผลิตเครื่องบิน Airbus ได้วางแผนที่จะพัฒนาศักยภาพเของ A320 เพื่อให้นำหน้าคู่แข่งในตลาดเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก โดยทาง Airbus ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มประสิทธ์ภาพของ A320 ให้สูงขึ้นไป 4 - 5% โดยการปรับปรุงในส่วนของปีก และลำตัวเครื่องยนต์ ลดน้ำหนักของโครงสร้าง และปรับแต่งห้องโดยสารใหม่พร้อมกับชื่อใหม่ที่เรียกว่า A320 Evolution (A320E)

A320E มีรายการอัพเกรดดังนี้

- เครื่องยนต์ได้รับการอัพเกรดจากทั้ง CFM และ IAE โดย CFM ได้ปรับปรุงชุดอัพเกรด Tech Insertion และ IAE ได้ปรับปรุงชุดอัพเกรด V2500Select (one) ซึ่งชุดอัพเกรดจากทั้ง CFM และ IAE จะประหยัดเชื้อเพลิงลงได้ 1-2% และมีอายุใช้งานที่นานขึ้น 20%

- มีการติดตั้งอุปกรณ์ปลายปีกแบบใหม่ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ Blended winglet ที่ติดตั้งในเครื่องบินรุ่น Boeing 737NG โดยมีชื่อเรียกว่า Sharklet โดยจะช่วยลดอัตราการใช้น้ำมันลงไปได้ถึง 3.5% และเพิ่มพิสัยการบินเป็นระยะทาง 100 ไมล์ทะเล

- ช่องเก็บสัมภาระเหนือศรีษะมีขนาดใหญ่ขึ้น มีปริมาตรบรรจุเพิ่มขึ้น 10% และมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่หน้าตัดของที่เก็บสัมภาระเหนือศรีษะให้มีประสิทธิภาพในการเก็บสัมภาระมากขึ้น ทำให้เก็บสัมภาระได้เพิ่มขึ้นถึง 60%

- น้ำหนักของห้องโดยสารลดลงจากการใช้วัสดุชนิดใหม่ซึ่งมีน้ำหนักเบา

- ไฟในห้องโดยสารเป็นหลอดไฟแบบ LED

- ระบบกรองอากาศแบบใหม่ที่มาพร้อมกับชุดเร่งปฏิกิริยา โดยจะทำหน้าที่กำจัดก๊าซ Ozone แล้วยังทำหน้าที่กำจัดกลิ่นแปลกปลอมที่ปะปนมากับอากาศ (เช่น กลิ่นเชื้อเพลิงและกลิ่นไอเสีย) ก่อนที่อากาศจะถูกปล่อยเข้าห้องโดยสาร

- ห้องน้ำแบบใหม่ที่มีชื่อว่า Smart-Lav และการจัดวางห้องโดยสารแบบใหม่ที่เรียกว่า Space flex ซึ่งถูกออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารมากขึ้นโดยการย้ายห้องน้ำบริเวณท้ายเครื่องให้ไปอยู่หลังประตูท้าย ส่งผลให้สายการบินสามารถเพิ่มที่นั่งได้ถึง 6 ที่นั่งหรือเพิ่มการปรับเอียงของเบาะได้ ในขณะ ที่ Smart-lav สามารถติดตั้งได้บริเวณประตูที่ 1 และ 4 สามารถเพิ่มที่นั่งได้ประมาณ 6 ที่นั่งเหมือน Space flex เช่นกัน

ต่อมาในปี 2010  Airbus ได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของ A320 ขึ้นไปอีกโดยการนำเครื่องยนต์แบบใหม่ของ CFM (CFM LEAP-1A) และ IAE (PW1100G) มาติดตั้งบน A320E โดยจะมีชื่อใหม่ว่า A320 NEO ในขณะที่เครื่องบิน A320 ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเก่า (CFM56 และ IAE V2500)  จะได้มีชื่อเรียกใหม่ว่า A320 CEO ทาง Airbus ได้คาดไว้ว่า A320 NEO จะประหยัดน้ำมันขึ้น 14-15% มีค่าบำรุงรักษาที่ถูกลง 20% มีพิสัยการบินที่เพิ่มขึ้นอีก 510 ไมล์ทะเลหรือบรรทุกสัมภาระและผู้โดยสาร ได้มากขึ้นอีก 2 ตัน นอกจากนี้ A320 NEO ยังได้มีการปรับเปลี่ยนและเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างบริเวณ Pylon และปีกเพื่อให้สอดคล้องกับเครื่องยนต์แบบใหม่ส่งผลให้ A320 NEO มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโครงสร้างเพิ่มขึ้น 250-300 กิโลกรัมซึ่งถ้าหากติดตั้งเครื่องยนต์ CFM LEAP-1A จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่า 1.7 ตันและ 1.8 ตันสำหรับ PW 1100G อย่างไรก็ตาม A320 NEO จะยังคงใช้ชิ้นส่วนร่วมกับ A320 CEO ถึง 95% ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา A320 NEO



A320 NEO ลำแรกได้นำเสนอต่อสื่อมวลชนในวันที่ 1 กรกฏาคมปี  2014  และได้ทำการบินครั้งแรกในเดือนกันยายนปีเดียวกันและได้ส่งมอบเครื่องบินให้กับสายการบิน Lufthansa รายแรกในวันที่ 20 มกราคมปี 2016


A321 NEO
เช่นเดียวกับ A320NEO เครื่องบินแบบ A321 NEO เป็นการนำ  A321E มาติดตั้งเครื่องยนต์ CFM LEAP-1A และ PW1100G เพื่อเสริมประสิทธ์ภาพในการปฏิบัติการบินให้ดียื่งขึ้นนอกจากนี้ Airbus ยังได้มีการวางแผนที่จะเพิ่มขีดความสามารถของ A321 NEO ให้สามารถจุผู้โดยสารได้มากถึง 240 คน โดยการเพิ่มประตูทางออกฉุกเฉินบริเวณเหนือปีกและยกเลิกการใช้งานของประตูที่ 2 ส่งผลสายการบินสามารถติดตั้งที่นั่งได้อีก 8 ที่นั่ง บวกกับเทคโนโลยี Space-flex และ Smart lav ทำให้ A321 Neo สามารถเพิ่มที่นั่งได้อีก 16 ที่นั่งสำหรับการจัดวางห้องโดยสารแบบชั้นประหยัดทั้งหมดเครื่องบินแอร์บัส เอ321นีโอ ลำแรก ซึ่งได้รับการติดตั้งด้วยเครื่องยนต์ ซีเอฟเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล แอลอีเอพี-1เอ (CFM International LEAP-1A)

เครื่องบินแอร์บัส เอ321นีโอ ลำแรก ซึ่งได้รับการติด ตั้งด้วยเครื่องยนต์ ซีเอฟเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล แอลอีเอพี-1เอ (CFM International LEAP-1A) ได้ทำการปฏิบัติการเที่ยวบินแรกเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ในกรุงฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี โดยเครื่องบินรุ่นดังกล่าว ซึ่งได้รับการลงทะเบียนภายใต้ชื่อ ดี-เอวีเอ็กซ์บี (D-AVXB) ได้รับการปฏิบัติการโดยนักบินเที่ยวบินทดสอบ ได้แก่ มร. มาร์ติน ชูมันน์ และมร. เบอร์นันโด แซซ เบนิโต้ เฮอร์นันเดซ นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมเดินทางในห้องนักบิน ได้แก่ มร. เจราร์ด เลสเคอร์พิท นักวิศวกรเที่ยวบินทดสอบ และมีนักวิศวกรเที่ยวบินทดสอบอีก 2 ท่านทำหน้าที่ตรวจสอบเที่ยวบินระหว่างการปฏิบัติการ ได้แก่ แซนดร้า บูร์ แชฟเฟอร์ และ มร.เอมิเลียโน เรเกนา เอสเตบัน ทั้งนี้การทดสอบเที่ยวบินดังกล่าวใช้ระยะเวลาทั้งหมด 5 ชั่วโมง 29 นาที ในการทำการทดสอบด้านความแปรผันความเร็วของเครื่องยนต์ (ช้า/เร็ว) การทำงานของระบบ และการตรวจสอบขีดความสามารถของเครื่องบินในด้านต่างๆ (flight envelope) ทั้งนี้ เครื่องบินแอร์บัส เอ321นีโอ จะเข้าร่วมการทดสอบเที่ยวบินของฝูงบินที่ใช้ตัวเลือกเครื่องยนต์ใหม่ (New Engine Option: NEO) และจะเข้าร่วมโครงการทดสอบเที่ยวบินด้านอื่นๆ เพื่อทำการตรวจสอบความสามารถในการจัดการด้านคุณภาพ ด้านประสิทธิภาพและระบบต่างๆ โดยเครื่องบินแอร์บัสเอ321นีโอ ลำแรกมีกำหนดในการส่งมอบในช่วงสิ้นปี พ.ศ.2559

เครื่องบินแอร์บัส เอ321นีโอ เป็นสมาชิกเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตระกูลเครื่องบินแอร์บัส เอ320นีโอ และประกอบด้วยนวัตกรรมมากมาย ได้แก่ เครื่องยนต์รุ่นล่าสุด อุปกรณ์ติดตั้งปลายปีกชาร์คเลท (Sharklet) และการพัฒนาด้านห้องโดยสารต่างๆ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันแล้ว จะทำให้สามารถนำเสนอคุณสมบัติในการประหยัดเชื้อเพลิงได้สูงสุดถึงร้อยละ 20 ในปี พ.ศ.2563 ทั้งนี้ โครงการทดสอบเที่ยวบินของเครื่องบินแอร์บัส เอ320นีโอ ได้มีการสะสมชั่วโมงบินทั้งหมดแล้ว 1,900 ชั่วโมง จากการปฏิบัติการเครื่องบินกว่า 640 เที่ยวบิน ตั้งแต่เริ่มการปฏิบัติการครั้งแรกในวันที่ 25 กันยายน 2557


คำศัพท์ที่เรามักจะพบกันบ่อยๆ
CFM = Commercial Fan Motor
IAE = International Aero Engines
CEO = Current Engines Option
NEO = New Engines Option

บทความโดย
นายสิรภพ  สันติรณรงค์ (แม๊ก) Airlinesweek
Soruce :
www.airbus.com / www.flightglobal.com
Credit Photo : www.airbus.com / Airlinesweek
Last Updated on Wednesday, 14 September 2016 09:31

http://www.airlinesweek.com/home/index.php?option=com_content&view=article&id=1075:-a320321-neo&catid=34:airlines-news&Itemid=54
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่