คำสัญญา.....ปากผี ถ้าไม่อยากเจอดี อย่าสัญญาตอนเป็น >> เพราะไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนกัน<<



“ทำยังไงจะได้เห็นผี”

“อยากเห็นผีจังเลย”

.....ชีวิตของดิฉัน   มักจะได้ยินประโยคนี้จากคนรอบตัว   ที่เขาทราบว่าดิฉันสามารถสัมผัสสิ่งลี้ลับนี้ได้  หากจะพูดให้เป็นวิทยาศาสตร์ ดิฉัน ก็คงจะเป็นบุคคลที่  บังเอิญมีคลื่นสมองและประสาทสัมผัสที่บังเอิญรับคลื่นของพลังงานหลังการเปลี่ยนภพ ที่เรียกว่า “ความตาย” ได้เสียมากกว่า


.....เพื่อนๆของดิฉัน  ที่เขารู้  เขามักจะมาถามดิฉัน  ให้เล่าถึงสิ่งที่เรียกว่า “วิญญาณ”ให้พวกเขาได้ฟังบ่อยๆยามว่าง
เพื่อนหลายคนบอกว่าดิฉันโชคดีจัง  ที่มองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น   หลายคนบอกดิฉันเป็นคนมีบุญที่ได้พบได้เจออะไรแบบนี้   แต่สำหรับตัวดิฉันแล้ว  ดิฉันบอกใครๆเสมอค่ะ ว่าการเห็นผีของดิฉัน  มันคือ “กรรมค่ะ” กรรม ที่ดิฉันต้องใช้มัน  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชดใช้ให้กับใคร

......คุณลองนึกภาพ  คนๆหนึ่งที่สัมผัสวิญญาณได้มาตั้งแต่เด็กๆ   ต้องตื่นมากลางดึก  แล้วพบว่ามีเงาดำๆอันเป็นวิญญาณของใครก็ไม่รู้ มานั่งร้องสะอื้นข้างเตียง  เพื่อจะขอความช่วยเหลือบ่อยๆสิคะ คุณคิดว่ามันจะบันเทิงตรงไหน
จริงอยู่เราอาจจะชิน  เพราะเจอบ่อย  แต่ทุกครั้งที่เจอ  เราจะรู้สึกอึดอัด  เหมือนอยู่ในที่ๆมีความกดอากาศต่ำ  จนบางครั้งเหมือนจะหายใจไม่ออก   ทุกวันนี้ก่อนนอนดิฉันต้องสวดมนต์  ต้องห้อยพระไว้รอบๆห้อง  ก็เลยพอได้นอนหลับสบายได้บ้าง  แต่ถ้าเผลอไปนอนต่างที่เมื่อไหร่แล้วลืมห้อยพระ  รับรองว่าล้อมรอบตัวเลยล่ะค่ะ

........วิญญาณพวกนี้  ที่เค้ามีแรงพอ  เค้าจะรับรู้ได้ว่า  คนเป็นๆคนไหนสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพวกเค้า  และถ้าบุคคลนั้น  เข้ามาในขอบเขตที่พวกเค้าจะไปขอความช่วยเหลือได้  เค้าก็จะแห่กันไปล้อมขอไม่ต่างจากขอทานในประเทศอินเดียที่จะรุมล้อมนักท่องเที่ยวต่างชาติเลยค่ะ


.......สำหรับหลายๆคนที่บอก  อยากเห็นผีได้จังเลย  จะได้ขอหวย  ประทานโทษ  พวกท่านเหล่านั้นช่วยตัวเองยังไม่ได้เลยค่ะ จะมาช่วยคุณได้เช่นไร    พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีแต่เพียงพลังงาน  และส่วนใหญ่จะล่องลอยไปตามยถากรรมบันดาล คุณลองนึกภาพปลาตายที่ขึ้นอืด แล้วลอยอยู่ในน้ำนะคะ   ลอยไปตามแต่แรงน้ำจะพาไป
.......แต่
ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีข้อยกเว้นของมัน   


......จริงอยู่ วิญญาณส่วนใหญ่หลังหลุดลอยออกจากซากที่สวมใส่แล้ว  จะล่องลอยไปตามกรรม  แต่ก็มีบางส่วน  ที่มีความเข้มข้นของพลังงานที่รุนแรง  เช่นตอนกำลังจะสิ้นใจ  ฝังใจอย่างหนักกับอะไรบางอย่าง  อาจจะแค้นมาก  รักมาก  หวงมาก  ผูกติดมาก  พอละจากซาก  พลังงานที่เข้มข้นเลยยังอยู่  สามารถทำอะไรได้เหนือกว่าวิญญาณธรรมดาทั่วไป
ทั้งการหลอกให้กลัว  สิงสู่บุคคลจิตอ่อน   เกาะติดคนเป็นไปไหนมาไหน  อาจจะเกาะติดเพื่อรอเวลาเอาคืน   หรือเกาะติดเพื่อเตือนภัย    แต่ก็มีเวลาจำกัดของเขาตามกรรมและวาระ เช่นกัน


.....ตาของดิฉัน  มักเตือนดิฉันเสมอว่า  อย่าไปสัญญาอะไรกับคนเป็นๆ  เช่น  สัญญาว่าจะรักกันจนตาย  หรือแม้ตายก็จะไม่พรากจากกัน  ตายแล้วมาหากูนะ   จะไปหามืงก่อนนะ   อะไรแนวๆนี้เด็ดขาด    ตาบอกว่า  มันคือการเปล่งวาจาด้วยคำสัตย์  และคำสัตย์ที่เปล่ง  มันจะถูกจารึกอยู่ในจิต  ซึมไว้ในวิญญาณ  หากคนที่เราสัญญาไว้ ตายจากไปก่อน  ทีนี้ล่ะ  จะสลัดยังไงก็สลัดไม่พ้น   เพราะวิญญาณของคนที่ตาย  เค้าจะมาทวงคืนคำสัญญานั้นจากเรา


.....ชีวิตดิฉัน  รู้จักเพื่อนผู้ตอบโจทย์ คำสัญญาปากผี แบบนี้อยู่คนหนึ่ง  เขาผู้นั้น มีชื่อว่า “ท่านสมพร”
สมพร  เป็นเพื่อนเราสมัย ม.ปลายค่ะ  ตอนนั้นเราเรียนอยู่ที่มัธยมในตัวจังหวัดพัทลุง  สมพรเป็นคนไม่หล่อ  รูปร่างล่ำ  ตัวดำคล้ำตามฉบับหนุ่มใต้  แต่มีแฟนสวย  ต้องเรียกว่าสวยมากด้วย  อายุเท่ากัน  แต่เรียนคนละโรงเรียน
ในช่วงนั้นดิฉันสนิทกับสมพรพอสมควร  เพราะมีโอกาสไปเข้าค่ายแนวๆอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยกัน  จากเดิมแค่เคยเห็นหน้ากันเฉยๆ  ก็เลยกลายมาเป็นชอบพอนิสัย คบกันแบบเพื่อนไป


......ค่ายจบไปแล้ว  แต่อารมณ์ร่วมของเรามันยังไม่จบค่ะ  ก็ยังจับกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกันเรื่อยๆ  ถ้าเป็นเรื่องของธรรมชาติ  ภูเขา  น้ำตก  สมพรจะเป็นแกนนำต้นคิด   สมพรมีแฟนสวยมากๆชื่อ ผ้าแพร เด็กพาณิชย์  เวลาไปไหนสมพรก็จะหนีบผ้าแพรไปด้วยทุกครั้ง   เพื่อป้องกันข้อครหาว่าไปไหนมาไหนกับพวกเราที่เป็นผู้หญิง  อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้ผ้าแพรสบายใจด้วย  โชคดีที่การทำอะไรแบบนี้  ผ้าแพรก็ชอบไปด้วย  และผู้ใหญ่ของพวกเราพอทราบว่าเราจับกลุ่มเที่ยวป่าน้ำตก  ก็ไม่ได้ห้าม และอนุญาตให้ทำได้  ซึ่งทุกครั้งที่จะไป  พ่อของดิฉันก็จะส่งพี่ชายคนรองให้ไปด้วยตลอด  เพื่อคอยคุ้มครองดูแล

.......จนเมื่อตอนอยู่ ม.5  เทอม  2  ผ้าแพร แฟนของสมพร   ไปดูเขาชนวัวกันแถวบ้าน  แล้วมีพวกนักเลง  มายิงคู่อริ แต่กระสุนพลาด  โดนผ้าแพรเสียชีวิต  ทำให้สมพรเศร้าโศกเสียใจมาก  เอาแต่คร่ำครวญพร่ำเพ้อ  ชอบแอบหนีไปนั่งดูรูปผ้าแพรแล้วร้องไห้อยู่คนเดียวที่โรงเรียนบ่อยๆ  พวกเราทำได้แค่คอยปลอบใจ  และเฝ้าดูอาการของสมพร  สมพรกลายเป็นคนเงียบๆ  จากที่ร่าเริง  ดูแล้วเขาช๊อคกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากๆ   เราพูดอะไรไป  สมพรก็ไม่อยากจะฟังหรอก


.....แล้วสมพรก็เป็นของเขาอยู่แบบนี้มาตลอด จนขึ้น ม.6   ดิฉันสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปของสมพร ที่ไม่ใช่แค่นิสัย
แต่เป็นสภาพร่างกาย   ที่ดูซูบผอมลง  ตาโหล  ขอบตาคล้ำ เดินซึมๆตลอด ตั้งแต่ผ้าแพรจากไป  เราไม่เคยเห็นสมพรยิ้มเลยสักครั้ง  ชวนไปไหนก็ไม่ไป   ดิฉันอดเป็นห่วงสมพรไม่ได้  ก็เข้าไปซักถามพูดคุย  ให้เค้าบำรุงรักษาตัวเองบ้าง
สมพรก็จะตอบกลับแบบเนือยๆว่า  


  “ตายไปเสียได้ก็ดี  จะได้ไปอยู่กับผ้าแพร”


....เย็นวันหนึ่ง  ดิฉันกลับบ้านช้าสุด  เพราะต้องช่วยงานครูบางอย่างเกี่ยวกับการตรวจข้อสอบ  ตอนกำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่าง  ข้างล่างไม่มีเด็กแล้ว  ดิฉันเห็นสมพรกำลังเดินอยู่เพื่อจะออกไปที่ประตูโรงเรียน   ก็เดินทึมๆซึมๆสไตล์เขาในช่วงหลังๆนั่นแหละ  แต่ที่ทำดิฉันขนลุกขนพองคือ  แว้บนึงดิฉันเห็นผู้หญิงตัวขาวๆ  เดินตามสมพรไม่ห่าง   และในฐานะที่ดิฉันไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ  ตอนเธอยังอยู่  ดิฉันรู้ในทันทีว่า  นั่นคือ “ผ้าแพร”  แฟนผู้ล่วงลับของสมพรแน่ๆ


.....พอดิฉันเห็นแบบนั้น  ถึงจะแค่แว้บๆ  ดิฉันก็คิดจะลงไปบอกสมพรเรื่องนี้  แต่จู่ๆกลับมีเสียง เสียงนึงแว้บเข้ามาในหัวสมองไม่ต่างจากการได้ยินคนพูดตรงหน้าว่า

   “หยก....อย่า ....มา....เผือก”

ดิฉันเลยต้องหยุดแค่นั้น  ตรงบันไดอาคารเรียน  ก่อนจะเดินกลับขึ้นไปอย่างอดเป็นห่วงสมพรไม่ได้

.....ดิฉันเคยรู้มาจากตา...ว่า  วิญญาณที่ตามคน เป็น  มี2พวก  คือ  รักมาก กับแค้นมาก  ดิฉันไม่แน่ใจว่าที่ผ้าแพร มาตามสมพรอยู่แบบนั้น มันเป็นแบบไหน  ดิฉันเอาเรื่องที่เห็นผ้าแพร เดินตามสมพรไปเล่าให้ตาฟัง
ตา...ฟังแล้วนิ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่พักใหญ่ๆ  ก่อนจะเอ่ยบอกมาว่า

  “นุ้ยลองไปถามเพื่อนคนนั้นนุ้ยแลน๊า   เคยไปสัญญาสาบานไอ่ไหรกับโหม๋เด็กไว้ม้าย”

((เดี๋ยวมาค่ะ))
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่