บทที่ 1
Anaphylaxis
ในตรอกดำมืดด้านหลังไนต์คลับแห่งนั้นมีบรรยากาศที่วังเวง หลอดนีออนจากเสาไฟฟ้ากระพริบติดๆ ดับๆ ขณะที่หญิงสาวเดินผ่านไป ดรัญญาเขย่งเท้ากระโดดข้ามบ่อน้ำขังบนพื้นด้วยความคล่องแคล่ว อากาศร้อนและเหม็นอับ โชคดีที่จุดหมายปลายทางของเธอปรากฏให้เห็นในสายตาเมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุม ไม่ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่นัก
โกดังร้างข้างโรงน้ำแข็งเก่า
เสียงจอแจโหวกเหวกดังออกมาจากภายใน แม้ดรัญญาจะยังเดินไปไม่ถึง หญิงสาวผู้ซุกซ่อนดวงตางามกลมโตไว้ใต้เงาหมวกแก๊ปเลื่อนกระเป๋าใส่อุปกรณ์ที่คาดอยู่มาด้านหน้าเตรียมพร้อม เธอมาหยุดยืนหน้าประตูสังกะสีของโกดัง แสงไฟสีส้มสาดลอดช่องว่างใต้ประตูออกมา ดรัญญาเห็นเงาคนเคลื่อนไหววุ่นวายบนพื้น ก้มหน้ามองนาฬิกา เธอแน่ใจว่าไม่ได้มาช้าเกินไป
ดรัญญายกมือเคาะประตู
ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังกังวานจากเนื้อสังกะสี สรรพสำเนียงโกลาหลวุ่นวายด้านในพลันเงียบลง ประตูตรงหน้าดรัญญาถูกเลื่อนเปิดออก เสียงสังกะสีเสียดสีแหลมหู ชายฉกรรจ์ผู้เปิดประตูหรี่ตามองร่างบางในชุดแจ็คเก็ตดำและกางเกงยีนห้าส่วนสีเดียวกัน ซึ่งยืนในเงามืดพร้อมกระเป๋าสะพายใบโต แววตาเขาเคลือบแคลงสงสัย จนอดถามไม่ได้
“หมอเหรอ?”
ดรัญญาเงยหน้าขึ้น นึกขัดใจที่เจ้าของไนต์คลับไม่ได้แจ้งรายละเอียดใดไว้ก่อนเลยอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไร ประสบการณ์ผจญโลกมืดมาสองปีในฐานะหมอเถื่อน สอนให้เธอรู้วิธีรับมือพวกนักเลงที่ชอบดูถูกเพศแม่พวกนี้ดีมากพอแล้ว
“ใช่” เธอตอบ สั้นแต่หนักแน่น
“แน่ใจว่ารักษาได้?” ชายฉกรรจ์ไม่ปิดบังว่าไม่เชื่อในตัวเธอ “ไหนเฮียโก้บอกจะตามหมอที่ดีที่สุดมาให้ รู้หรือเปล่าว่าคนเจ็บที่คุณต้องรักษาคือใคร”
“เป็นคนเจ็บก็คือคนเจ็บ คนเจ็บย่อมหมายถึงต้องการรักษา และหน้าที่ของหมอคือการรักษาคน โดยไม่สนใจที่มาที่ไปของคนๆ นั้น” กล่าวจบ ดรัญญาก็เดินเบี่ยงตัวผ่านชายฉกรรจ์หน้าประตู เข้าสู่ด้านในโกดัง ที่มีแหล่งให้แสงสว่างเดียวเป็นหลอดไฟห้อยเพดานสีส้มราคาถูก
สิ่งที่ดรัญญากำลังเห็น ทำให้เธอไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
ภายในโกดังหลังโต ซึ่งวางเกลื่อนด้วยข้าวของเหลือใช้กองพะเนิน ที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่งท่ามกลางกลุ่มบอดีการ์ดราวหกถึงเจ็ดคน ร่างเล็กในชุดเดรสสั้นสำหรับท่องราตรีกำลังนอนกรนเบาๆ ผมเพ้ายุ่งเหยิง ใครสักคนถอดเสื้อไปคลุมปิดขาอ่อนที่พ้นชายกระโปรงติดระบายลูกไม้ให้เธอ ดรัญญาคิดว่าคุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้ชอบกล แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“มะ... หมอ ช่วยผมด้วย...”
เสียงอ่อนระทวยดังงึมงำจากบนพื้น ดรัญญาก้มมองอีกทีก็พบว่าชายที่มีเลือดท่วมตัวคนหนึ่งตะเกียกตะกายคลานมาเกาะข้อเท้าของเธอ ดรัญญาเข้าใจว่าเป็นคนเจ็บที่ถูกตามตัวมารักษา จึงไม่รอช้าที่จะย่อกายลงเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบอุปกรณ์สำหรับตรวจอาการเบื้องต้นออกมา
“นั่นหมอจะทำอะไรน่ะ?” ชายฉกรรจ์ผู้เปิดประตูให้ดรัญญาเดินมาหยุดข้างเธอ บุ้ยปากมาที่ชายเลือดท่วมซึ่งหมอสาวสวมถุงมือยาง กำลังจะดูแผลที่หางคิ้ว อันเป็นหนึ่งในหลายบาดแผลบนใบหน้า “ไอ้เห็บหมานี่ไม่ใช่คนเจ็บสักหน่อย มันกะมอมเหล้าเจ้านายผม โดนแค่นี้ถือว่าปราณีมากแล้วนะ”
“ฮะ?” ดรัญญาเบิกตาโต ก้มมองชายบาดเจ็บบนพื้นสลับกับชายฉกรรจ์หน้าหนวดที่ยืนค้ำศีรษะ “ถ้านี่ไม่ใช่คนเจ็บ แล้วไหนล่ะคนเจ็บ”
ผู้ถูกถามซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีเสื้อคลุมตัวนอกสวมใส่ พยักหน้าไปยังหญิงสาวบนเก้าอี้ยาว ดรัญญาหันมองตามไป สาวสวยที่คุ้นตาเธอพลิกตัวมาหันนอนตะแคงข้าง พลางเคี้ยวปากแจ๊บๆ น้ำลายไหลยืด กลิ่นแอลกอฮอลล์โชยมาปะทะปลายจมูกดรัญญาทันที
“นี่ไม่เรียกเจ็บ เขาเรียกเมา” ดรัญญากล่าวหลังละความสนใจจากชายคนเจ็บบนพื้น เดินไปดูอาการของ ‘คนเจ็บ’ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ
อาการทั่วไปบ่งบอกว่าไม่มีอะไรมากไปกว่า ผู้หญิงคออ่อนริอ่านจะดื่มแอลกอฮอลล์แรงๆ จนร่างกายน็อคคาที่แบบนี้
“ไม่เจ็บที่ไหน หมอเป็นหมอจริงหรือเปล่า” ชายหน้าหนวดผู้น่าจะเป็นหัวหน้าบอดีการ์ดขึงตาใส่หมอสาว ก่อนจะเดินมาย่อกายคุกเข่าข้างหนึ่งใกล้กับเก้าอี้ยาว และเอื้อมมือเขย่าแขนหญิงสาวคนเจ็บของเขาอย่างนอบน้อม “คุณหนูครับ คุณหนูๆ หมอมาแล้วครับ คุณหนู ตื่นได้แล้วครับ”
“โอ้ย มีไรเทนทิน คนจะนอน...” คุณหนูคออ่อนสะลึมสะลือปรือตามอง หน้าตายู่ยี่
พอได้ยินเทนทินเรียกว่าคุณหนู ดรัญญาจึงนึกได้แล้วว่า หญิงสาวคนนี้เป็นลูกสาวของเสี่ยขุนพล หัวหน้าแก๊งนักเลงจอมโหดผู้คุมพื้นที่ซอยเสือดาวในพัทยาเหนือ เป็นสาวไฮโซเนื้อหอมประจำพื้นที่ นี่นึกเพี้ยนอะไรกันนะถึงมาเมาหมดสภาพอยู่ที่นี่ได้
“หมอมาทำแผลให้แล้วครับ ลุกขึ้นเร็ว” หัวหน้าบอดีการ์ดหนุ่มค่อยๆ ประคองร่างน้อยขึ้นนั่ง เสื้อคลุมของเขายังอยู่บนตักของเธอ
“แผลเหรอ ก็นายทำให้ฉันแล้วนี่” คุณหนูฉัตรธิรายื่นมือซ้ายออกมา ปลายนิ้วชี้ของเธอพันด้วยปลาสเตอร์ปิดแผล
เทนทินส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ แผลใหญ่ขนาดนั้น ให้หมอเขาดูดีกว่า อ้าว หมอ ยืนนิ่งทำไม มาดูแผลหน่อยสิ”
ดรัญญาพยายามระงับอาการปวดหัว ขณะย่อกายลงนั่งชันเข่า รับมือนุ่มนิ่มของฉัตรธิรามาแกะปลาสเตอร์ออกอย่างเบามือ “โดนอะไรมาคะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” คุณหนูมาเฟียหัวเราะแหะๆ เข้าทำนองสาวสวยไร้สมองสมบูรณ์แบบ
หัวหน้าบอดีการ์ดหน้าหนวดจึงต้องอธิบายแทน “โดนแก้วบาดตอนที่ล้มหมดสติ ไม่รู้แผลบาดลึกมั้ย”
“ไม่ลึกหรอก เนี่ย ทำความสะอาดแผลนิดหน่อยก็ได้แล้ว” ดรัญญากล่าว ก่อนจะล้วงอุปกรณ์ทำความสะอาดชนิดพกพาออกจากกระเป๋าสะพาย ไม่กี่นาทีให้หลัง ปลาสเตอร์แผ่นใหม่ก็แทนที่ปลาสเตอร์เก่าบนปลายนิ้วคนเจ็บ และแผลแก้วบาดขนาดเท่าหนวดมดได้รับการฆ่าเชื้อเรียบร้อย
“ว้าว พี่สาวเก่งจัง มือเบ๊าเบา เป็นหมออยู่รพ.ไหนคะ” ฉัตรธิรามองปลายนิ้วตนเองที่กระดิกดิ๊ก ๆ อย่างเหลือเชื่อ ดรัญญาไม่แน่ใจว่ายัยลูกสาวมาเฟียคนนี้เป็นคนตื่นเต้นง่ายหรือยังไม่สร่างเมากันแน่ เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินขณะจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับใส่กระเป๋า และไม่ลืมที่จะตรวจสอบว่าใบหน้าของตนเองอยู่ภายใต้เงาของหมวกแก๊ปตลอดเวลา
“นี่ คุณหนูผมถาม ทำไมไม่ตอบ” มือหนักๆ ของเทนทินตบลงบนไหล่ของดรัญญาเมื่อเธอลุกขึ้น หญิงสาวปัดมือออกโดยสัญชาตญาณ แต่สงสัยจะปัดแรงไปหน่อย เสียงกริ๊กดังขึ้น บอดีการ์ดที่เหลืออยู่อีกเจ็ดคนชักปืนออกมาเล็งที่เธอเป็นจุดเดียว เดือดร้อนเทนทินต้องส่งสายตาให้เก็บปืนไป
จากนั้น ดรัญญามองสายตาแป๋วแหว๋วรอคอยคำตอบของฉัตรธิรา ก่อนมองดวงตาคาดคั้นจากเทนทิน ตระหนักว่าเรื่องคงไม่จบแน่ๆ หากไม่ยอมตอบคำถาม
“ฉันเป็นหมอเถื่อน ฉันไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้” เธอกล่าว
เทพบุตรกิเลนไฟ (No way to go home) [ฉบับรีไรท์ใหม่]
Anaphylaxis
ในตรอกดำมืดด้านหลังไนต์คลับแห่งนั้นมีบรรยากาศที่วังเวง หลอดนีออนจากเสาไฟฟ้ากระพริบติดๆ ดับๆ ขณะที่หญิงสาวเดินผ่านไป ดรัญญาเขย่งเท้ากระโดดข้ามบ่อน้ำขังบนพื้นด้วยความคล่องแคล่ว อากาศร้อนและเหม็นอับ โชคดีที่จุดหมายปลายทางของเธอปรากฏให้เห็นในสายตาเมื่อเลี้ยวพ้นหัวมุม ไม่ต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่นัก
โกดังร้างข้างโรงน้ำแข็งเก่า
เสียงจอแจโหวกเหวกดังออกมาจากภายใน แม้ดรัญญาจะยังเดินไปไม่ถึง หญิงสาวผู้ซุกซ่อนดวงตางามกลมโตไว้ใต้เงาหมวกแก๊ปเลื่อนกระเป๋าใส่อุปกรณ์ที่คาดอยู่มาด้านหน้าเตรียมพร้อม เธอมาหยุดยืนหน้าประตูสังกะสีของโกดัง แสงไฟสีส้มสาดลอดช่องว่างใต้ประตูออกมา ดรัญญาเห็นเงาคนเคลื่อนไหววุ่นวายบนพื้น ก้มหน้ามองนาฬิกา เธอแน่ใจว่าไม่ได้มาช้าเกินไป
ดรัญญายกมือเคาะประตู
ทันทีที่เสียงเคาะประตูดังกังวานจากเนื้อสังกะสี สรรพสำเนียงโกลาหลวุ่นวายด้านในพลันเงียบลง ประตูตรงหน้าดรัญญาถูกเลื่อนเปิดออก เสียงสังกะสีเสียดสีแหลมหู ชายฉกรรจ์ผู้เปิดประตูหรี่ตามองร่างบางในชุดแจ็คเก็ตดำและกางเกงยีนห้าส่วนสีเดียวกัน ซึ่งยืนในเงามืดพร้อมกระเป๋าสะพายใบโต แววตาเขาเคลือบแคลงสงสัย จนอดถามไม่ได้
“หมอเหรอ?”
ดรัญญาเงยหน้าขึ้น นึกขัดใจที่เจ้าของไนต์คลับไม่ได้แจ้งรายละเอียดใดไว้ก่อนเลยอีกแล้ว แต่ไม่เป็นไร ประสบการณ์ผจญโลกมืดมาสองปีในฐานะหมอเถื่อน สอนให้เธอรู้วิธีรับมือพวกนักเลงที่ชอบดูถูกเพศแม่พวกนี้ดีมากพอแล้ว
“ใช่” เธอตอบ สั้นแต่หนักแน่น
“แน่ใจว่ารักษาได้?” ชายฉกรรจ์ไม่ปิดบังว่าไม่เชื่อในตัวเธอ “ไหนเฮียโก้บอกจะตามหมอที่ดีที่สุดมาให้ รู้หรือเปล่าว่าคนเจ็บที่คุณต้องรักษาคือใคร”
“เป็นคนเจ็บก็คือคนเจ็บ คนเจ็บย่อมหมายถึงต้องการรักษา และหน้าที่ของหมอคือการรักษาคน โดยไม่สนใจที่มาที่ไปของคนๆ นั้น” กล่าวจบ ดรัญญาก็เดินเบี่ยงตัวผ่านชายฉกรรจ์หน้าประตู เข้าสู่ด้านในโกดัง ที่มีแหล่งให้แสงสว่างเดียวเป็นหลอดไฟห้อยเพดานสีส้มราคาถูก
สิ่งที่ดรัญญากำลังเห็น ทำให้เธอไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย
ภายในโกดังหลังโต ซึ่งวางเกลื่อนด้วยข้าวของเหลือใช้กองพะเนิน ที่เก้าอี้ยาวตัวหนึ่งท่ามกลางกลุ่มบอดีการ์ดราวหกถึงเจ็ดคน ร่างเล็กในชุดเดรสสั้นสำหรับท่องราตรีกำลังนอนกรนเบาๆ ผมเพ้ายุ่งเหยิง ใครสักคนถอดเสื้อไปคลุมปิดขาอ่อนที่พ้นชายกระโปรงติดระบายลูกไม้ให้เธอ ดรัญญาคิดว่าคุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้ชอบกล แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“มะ... หมอ ช่วยผมด้วย...”
เสียงอ่อนระทวยดังงึมงำจากบนพื้น ดรัญญาก้มมองอีกทีก็พบว่าชายที่มีเลือดท่วมตัวคนหนึ่งตะเกียกตะกายคลานมาเกาะข้อเท้าของเธอ ดรัญญาเข้าใจว่าเป็นคนเจ็บที่ถูกตามตัวมารักษา จึงไม่รอช้าที่จะย่อกายลงเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบอุปกรณ์สำหรับตรวจอาการเบื้องต้นออกมา
“นั่นหมอจะทำอะไรน่ะ?” ชายฉกรรจ์ผู้เปิดประตูให้ดรัญญาเดินมาหยุดข้างเธอ บุ้ยปากมาที่ชายเลือดท่วมซึ่งหมอสาวสวมถุงมือยาง กำลังจะดูแผลที่หางคิ้ว อันเป็นหนึ่งในหลายบาดแผลบนใบหน้า “ไอ้เห็บหมานี่ไม่ใช่คนเจ็บสักหน่อย มันกะมอมเหล้าเจ้านายผม โดนแค่นี้ถือว่าปราณีมากแล้วนะ”
“ฮะ?” ดรัญญาเบิกตาโต ก้มมองชายบาดเจ็บบนพื้นสลับกับชายฉกรรจ์หน้าหนวดที่ยืนค้ำศีรษะ “ถ้านี่ไม่ใช่คนเจ็บ แล้วไหนล่ะคนเจ็บ”
ผู้ถูกถามซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีเสื้อคลุมตัวนอกสวมใส่ พยักหน้าไปยังหญิงสาวบนเก้าอี้ยาว ดรัญญาหันมองตามไป สาวสวยที่คุ้นตาเธอพลิกตัวมาหันนอนตะแคงข้าง พลางเคี้ยวปากแจ๊บๆ น้ำลายไหลยืด กลิ่นแอลกอฮอลล์โชยมาปะทะปลายจมูกดรัญญาทันที
“นี่ไม่เรียกเจ็บ เขาเรียกเมา” ดรัญญากล่าวหลังละความสนใจจากชายคนเจ็บบนพื้น เดินไปดูอาการของ ‘คนเจ็บ’ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ
อาการทั่วไปบ่งบอกว่าไม่มีอะไรมากไปกว่า ผู้หญิงคออ่อนริอ่านจะดื่มแอลกอฮอลล์แรงๆ จนร่างกายน็อคคาที่แบบนี้
“ไม่เจ็บที่ไหน หมอเป็นหมอจริงหรือเปล่า” ชายหน้าหนวดผู้น่าจะเป็นหัวหน้าบอดีการ์ดขึงตาใส่หมอสาว ก่อนจะเดินมาย่อกายคุกเข่าข้างหนึ่งใกล้กับเก้าอี้ยาว และเอื้อมมือเขย่าแขนหญิงสาวคนเจ็บของเขาอย่างนอบน้อม “คุณหนูครับ คุณหนูๆ หมอมาแล้วครับ คุณหนู ตื่นได้แล้วครับ”
“โอ้ย มีไรเทนทิน คนจะนอน...” คุณหนูคออ่อนสะลึมสะลือปรือตามอง หน้าตายู่ยี่
พอได้ยินเทนทินเรียกว่าคุณหนู ดรัญญาจึงนึกได้แล้วว่า หญิงสาวคนนี้เป็นลูกสาวของเสี่ยขุนพล หัวหน้าแก๊งนักเลงจอมโหดผู้คุมพื้นที่ซอยเสือดาวในพัทยาเหนือ เป็นสาวไฮโซเนื้อหอมประจำพื้นที่ นี่นึกเพี้ยนอะไรกันนะถึงมาเมาหมดสภาพอยู่ที่นี่ได้
“หมอมาทำแผลให้แล้วครับ ลุกขึ้นเร็ว” หัวหน้าบอดีการ์ดหนุ่มค่อยๆ ประคองร่างน้อยขึ้นนั่ง เสื้อคลุมของเขายังอยู่บนตักของเธอ
“แผลเหรอ ก็นายทำให้ฉันแล้วนี่” คุณหนูฉัตรธิรายื่นมือซ้ายออกมา ปลายนิ้วชี้ของเธอพันด้วยปลาสเตอร์ปิดแผล
เทนทินส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ แผลใหญ่ขนาดนั้น ให้หมอเขาดูดีกว่า อ้าว หมอ ยืนนิ่งทำไม มาดูแผลหน่อยสิ”
ดรัญญาพยายามระงับอาการปวดหัว ขณะย่อกายลงนั่งชันเข่า รับมือนุ่มนิ่มของฉัตรธิรามาแกะปลาสเตอร์ออกอย่างเบามือ “โดนอะไรมาคะ”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” คุณหนูมาเฟียหัวเราะแหะๆ เข้าทำนองสาวสวยไร้สมองสมบูรณ์แบบ
หัวหน้าบอดีการ์ดหน้าหนวดจึงต้องอธิบายแทน “โดนแก้วบาดตอนที่ล้มหมดสติ ไม่รู้แผลบาดลึกมั้ย”
“ไม่ลึกหรอก เนี่ย ทำความสะอาดแผลนิดหน่อยก็ได้แล้ว” ดรัญญากล่าว ก่อนจะล้วงอุปกรณ์ทำความสะอาดชนิดพกพาออกจากกระเป๋าสะพาย ไม่กี่นาทีให้หลัง ปลาสเตอร์แผ่นใหม่ก็แทนที่ปลาสเตอร์เก่าบนปลายนิ้วคนเจ็บ และแผลแก้วบาดขนาดเท่าหนวดมดได้รับการฆ่าเชื้อเรียบร้อย
“ว้าว พี่สาวเก่งจัง มือเบ๊าเบา เป็นหมออยู่รพ.ไหนคะ” ฉัตรธิรามองปลายนิ้วตนเองที่กระดิกดิ๊ก ๆ อย่างเหลือเชื่อ ดรัญญาไม่แน่ใจว่ายัยลูกสาวมาเฟียคนนี้เป็นคนตื่นเต้นง่ายหรือยังไม่สร่างเมากันแน่ เธอแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินขณะจัดแจงเก็บอุปกรณ์ทำแผลกลับใส่กระเป๋า และไม่ลืมที่จะตรวจสอบว่าใบหน้าของตนเองอยู่ภายใต้เงาของหมวกแก๊ปตลอดเวลา
“นี่ คุณหนูผมถาม ทำไมไม่ตอบ” มือหนักๆ ของเทนทินตบลงบนไหล่ของดรัญญาเมื่อเธอลุกขึ้น หญิงสาวปัดมือออกโดยสัญชาตญาณ แต่สงสัยจะปัดแรงไปหน่อย เสียงกริ๊กดังขึ้น บอดีการ์ดที่เหลืออยู่อีกเจ็ดคนชักปืนออกมาเล็งที่เธอเป็นจุดเดียว เดือดร้อนเทนทินต้องส่งสายตาให้เก็บปืนไป
จากนั้น ดรัญญามองสายตาแป๋วแหว๋วรอคอยคำตอบของฉัตรธิรา ก่อนมองดวงตาคาดคั้นจากเทนทิน ตระหนักว่าเรื่องคงไม่จบแน่ๆ หากไม่ยอมตอบคำถาม
“ฉันเป็นหมอเถื่อน ฉันไม่เคยมีตัวตนบนโลกนี้” เธอกล่าว