เที่ยงคืนของวันที่ 13 กันยา และเป็นอีก 1 คืนที่เรานอนไม่หลับ หลังจากที่แม่ได้จากเราไป และวันนี้เป็นวันที่เราเสียใจที่สุด เศร้าที่สุด และคิดถึงแม่ที่สุด เพราะเป็นวันเกิดเราเอง ผ่านไปแล้ว 1 เดือน กับอีก 3 วัน กระทู้นี้ เป็นกระทู้ที่ 2 ที่เราได้เขียนขึ้นมา เราอยากจะบอกกับทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ของเรา อย่าคิดว่าการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเอง กับคนในครอบครัว หรือกับคนใกล้ตัว เป็นเรื่องเล็กน้อย คิดว่าไม่เป็นอะไร หายามากินเองก็ได้ ไม่ต้องไปหาหมอ เราแค่อยากจะบอกกับทุกคนว่า ถึงแม้คุณจะเป็นอะไรเพียงเล็กน้อย ไปหาหมอเถอะ อย่างน้อยหมอช่วยรักษาให้คุณหายได้ แต่ถ้าคุณปล่อยไว้ และไม่สนใจ กินยาเองก็หาย แล้วถ้าการกินยาเองมันไม่หาย และปล่อยให้เป็นหนักขึ้น หนักขึ้น ถึงเวลานั้นคุณอยากจะมาหาหมอ อยากให้หมอรักษาคุณให้หาย หมอเองก็ไม่สามารถรักษาคุณให้หายจากโรคได้ เราอยากจะฝากเตือนกับทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของเรา เก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ค่ะ และเรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นจริงกับแม่ของเราเอง
เดือนสิงหาปี 58 เราได้เขียนกระทู้การสร้างบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ โดยที่พ่อกับแม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ในวันที่ 3 สิงหา 58 หลังจากสร้างบ้านเสร็จ เรายังไม่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำแค่พิธีทางเหนือ เรากะว่ารอเก็บเงินสักก้อนแล้วค่อยทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งได้กำหนดว่าจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ช่วงสงกรานต์ปี 59 แต่แล้วเราก้อไม่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เพราะแม่ของเราป่วยเป็นโรคมะเร็งช่องปากเสียก่อน และเราจะเล่าเรื่องอาการป่วยของแม่ต่อจากนี้
แม่ของเราเริ่มเป็นแผลเล็กๆ ข้างในปากประมาณปลายๆ เดือนมกราคม 59 และคิดว่าเป็นแผลจากร้อนใน หายามาทาก็หาย โดยแม่ของเราไปซื้อยาม่วงมาทาในปาก แต่แผลก็ไม่หายซักที พ่อกับน้องชายก็บอกให้แม่ไปหาหมอ แต่ด้วยความดื้อของแม่ แม่ไม่ยอมไปหาหมอ คิดว่าไม่เป็นอะไร แค่แผลในปากเดี๋ยวก็หายเอง แม่ทายาม่วงประมาณเดือนกว่าๆ ก็ไม่หาย จากที่เป็นแผลเล็กๆ กลายเป็นแผลขนาดใหญ่ และบวมตรงบริเวณคางข้างซ้าย และประมาณต้นเดือนมีนา 59 แม่ก็ยอมไปหาหมอ เนื่องจากแผลในปากเริ่มเยอะขึ้น และบริเวณคางบวมเยอะขึ้น และหมอนัดให้มาฟังผลในวันที่ 15 มีนา 59 ซึ่งเราไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่เป็นแผลที่ปากเป็นเดือนๆ ไม่หายซักที เพราะตอนที่แม่ป่วยเราอยู่กรุงเทพฯ แม่ไม่เคยบอกว่าเป็นแผลที่ปาก ไม่มีใครบอกเราว่าแม่ไม่สบายเลย เพราะทุกคนคิดว่าเป็นแค่แผลร้อนใน และไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งช่องปาก และวันที่ 15 มีนา แม่โทรหาเราบอกว่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง จะผ่าตัดวันที่ 18 มีนา แม่ของเรากำลังใจดีมาก แม่ไม่กลัวเลย แต่ผิดกลับเรา เรากลัวมาก กลัวไปหมด ทำอะไรไม่ถูกเลย ร้องไห้อย่างเดียว แม่บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ แม่ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวหมอผ่าตัดเสร็จ แม่ก็หายแล้ว ซึ่งเราก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น
วันที่ 18 มีนา แม่เราผ่าตัดตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนถึงเกือบ ๆ 5 โมงเย็น ผลการผ่าตัดแม่เราปลอดภัยดี แต่แม่พูดไม่ได้ เพราะหมอได้เจาะคอแม่ ทำให้แม่เราพูดไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ เราไม่เคยได้ยินเสียงแม่อีกเลย เราอยากได้ยินเสียแม่อีกครั้ง แม้จะเป็นการบ่นจากแม่เราก้ออยากจะได้ยิน แม่เราพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2 อาทิตย์ และกลับมาอยู่บ้าน แม่ปกติดีทุกอย่าง ทำงานบ้านได้ กินข้าวได้ แต่กินพวกข้าวต้ม โจ๊ก น้ำผลไม้ เนื่องจากหมอได้เลาะฟันของแม่ออกทั้งหมด เพื่อเตรียมการรักษาโดยการฉายแสง ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ส่งตัวแม่ไปรักษาต่อที่ศูนย์มะเร็งลำปาง หมอนัดวันที่ 18 เมษา และแม่ไปหาหมอที่ศูนย์มะเร็งตามที่หมอนัด และแม่ต้องรักษาต่อด้วยการฉายแสงทั้งหมด 33 แสง คีโมอีก 3 ครั้ง หมอไม่บอกว่าแม่ของเราเป็นมะเร็งระยะไหน เราก็ได้แต่สงสัย ว่าแม่เราเป็นระยะไหนแล้ว แต่ก็ภาวนาว่าเป็นระยะแรกทีเถอะ อย่างน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะหายจากมะเร็งได้ เราคิดแบบนั้น
หมอเริ่มนัดฉายแสงวันที่ 25 เมษา แต่เนื่องจากบ้านเราค่อนข้างไกลจากโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งมาก ไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ เราจึงต้องหาเช่าหอพักใกล้ๆ กับโรงพยาบาล ซึ่งตลอดเวลาที่แม่ฉายแสง พ่อเรา ดูแลแม่เราดีมากๆ เราต้องขอบคุณพ่อที่ดูแลแม่เป็นอย่างดี แม่เราเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆ ที่มีพ่อเป็นคู่ชีวิต จนเราอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราป่วยบ้างจะมีใครดูแลเราได้ดีเท่าพ่อเราดูแลแม่ไหม ตลอดเวลาที่แม่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง เราคุยไลน์กับแม่ตลอด เพราะเราอยู่กรุงเทพฯ เราบอกแม่เราทุกครั้งว่า แม่ต้องอดทนนะ กินข้าวเยอะๆ กินน้ำเยอะๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว กับไปอยู่บ้านเรานะ หนูอยากกลับไปหาแม่ที่บ้าน แม่รีบๆ หายนะ ซึ่งปกติเราจะกลับบ้านที่ลำปางแค่ช่วงเทศกาลปีใหม่ กับสงกรานต์ แต่ช่วงที่แม่ป่วย เรากลับลำปางทุกเดือน จนวันนี้เราโทษตัวเองตลอด ว่าทำไมเราไม่กลับบ้านให้บ่อยกว่านี้ เราจะได้รู้ว่าแม่ไม่สบาย เราจะได้พาแม่ไปหาหมอตั้งแต่เริ่มเป็น เรามากลับบ้านทุกเดือนตอนที่แม่เป็นมะเร็งแล้ว เราไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย เราเป็นลูกที่ไม่ดีจริงๆ
ต้นเดือนกรกฎาคม แม่เราฉายแสงและคีโมเสร็จเรียบร้อย แม่กลับมาอยู่บ้าน แต่ด้วยจากผลการรักษาโดยการฉายแสง แม่เราเป็นแผลบริเวณลำคอ ไม่สามารถกินอาหารเองได้ ต้องกินอาหารทางสายยาง เราสงสารแม่มาก แต่แม่เรากำลังใจดีจริงๆ บอกกลับเราว่าไม่ต้องห่วงแม่นะ เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว อีกไม่กี่วัน แม่ก็สามารถกินข้าวเองได้ โดยไม่ต้องมีสายยางเจาะที่จมูก เราก็ได้แต่ภาวนาให้แม่หาย เพราะขั้นตอนของการรักษาจบแล้ว หมอนัดดูอาการแม่ทุกเดือน แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แม่เราอาการทรุดหนักต้องกลับไปนอนที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งอีกครั้ง คราวนี้หมอได้คุยกับทางพ่อและน้องชาย บอกให้ทำใจนะ เพราะตอนนี้มะเร็งได้กระจายไปทั่วร่างแล้ว อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน และปรึกษาเรื่องการใช้เครื่องมือหนัก ถ้าแม่ของเราจะต้องไปจริงๆ จะยินยอมไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องมือหนักไหม พ่อโทรมาบอกเรา เราทำอะไรไม่ถูกเลย พ่อกับน้องชายยินยอมที่จะไม่ใช้เครื่องมือหนัก เพราะพ่อดูแลแม่ตลอด เห็นอาการของแม่เราแล้ว พ่อไม่อยากให้แม่ของเราต้องทรมาน ส่วนน้องชายทำงานที่ลำปาง น้องเห็นมาตลอด และการเป็นมะเร็งมันกระจายเร็วมาก และมันก็เจ็บปวดมาก แต่เราไม่ยอม อย่างน้อยมันมีโอการหาย เราคิดแบบนี้
แม่ของเรานอนที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ และเนื่องจากอาการแม่ดีขึ้น ทางศูนย์มะเร็งได้ให้แม่กลับบ้านได้ แม่เรากลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 3 วัน อาการของแม่ก็ทรุดอีก พ่อของเราพาไปหาหมอที่ศูนย์มะเร็ง แต่เนื่องจากได้จบการรักษาของศูนย์มะเร็งแล้ว หมอได้ส่งตัวแม่กลับมานอนที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ เรารู้สึกไม่ประทับใจกับการให้บริการของโรงพยาบาลนี้เลย วันที่ 30กรกฎา ประมาณ 10 โมง พยาบาลโทรมาหาเรา และถามว่าจะยินยอมไม่ให้ใช้เครื่องมือหนักไหม เราก็ยังยืนยันว่าจะให้ใช้ เพราะเราทำงานอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยเราก็อยากกลับไปทันก่อนที่แม่จะจากไป แต่พยาบาลพูดกลับมาว่า จะให้แม่ทรมานเพื่อรอเรากลับมาดูใจนะเหรอ เราได้แต่ร้องไห้ และคิดว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม ที่ให้แม่เราทรมาน เพื่อรอให้เรากลับไปดูใจ และพยาบาลยังพูดอีกว่า เราจะกลับลำปางได้เร็วสุดวันไหน เพราะดูจากอาการอยู่ได้ไม่กี่วัน อยากจะบอกพยาบาลว่า ก่อนที่คุณจะพูดอะไร ช่วยนึกถึงใจคนฟังหน่อย ว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน เรารู้ว่าแม่เราอยู่ได้อีกไม่นาน เราพยายามทำใจยอมรับเรื่องนี้มาตลอด ว่าแม่ของเราอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน เราก็เลยตอบกลับพยาบาลไปว่า จะกลับเย็นนี้ค่ะ เราก็เลยไปลางานกับหัวหน้า เพราะเราเข้ามาทำงาน และขอลางานวันจันทร์ที่ 1 สิงหา 1 วัน และบอกหัวหน้าไปว่า แม่เราเป็นมะเร็ง ตอนนี้อาการหนัก ทางหัวหน้าก็ให้ลางาน และบอกให้ขอใบรับรองแพทย์มายืนยันการลางาน ซึงเราเองก็เพิ่งจะย้ายที่ทำงาน และทำงานยังไม่ถึงเดือน
เรากลับบ้านเย็นวันเสาร์ที่ 30 กรกฎา และเช้าวันอาทิตย์ที่ 31 หมอเวรโรงพยาบาลประจำอำเภอได้เข้ามาตรวจอาการของคนไข้ หมอพูดจาไม่ดีเลย ไม่ดีเอามากๆ เพราะเราสังเกตจากที่หมอตรวจคนไข้คนอื่นอยู่ เราเข้าใจนะว่าคุณอาจจะเหนื่อย ตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้า แต่ช่วยพูดกับคนไข้ดีๆ หน่อยได้ไหม ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากจะมานอนโรงพยาบาลหรอก จริงๆ นะ คือแม่เรานอนแบบห้องรวม ไม่ได้แยกชายหญิง มีคนไข้ค่อนข้างเยอะ และคนไข้ทุกอาการนอนรวมกัน สภาพมันหดหู่มาก เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่อยากให้แม่เราต้องมาเจอสภาพแบบนี้ แต่เนื่องจากห้องพิเศษเต็ม และมาถึงคิวของแม่เรา
หมอ : คนไข้เป็นอะไรมา (เสียงแข็งๆ)
เรา : แผลตรงคอมันบวม และอักเสบค่ะ
หมอ : รู้แล้ว ก็เห็นอยู่ แต่เป็นอะไรมา
เรา : !!!!! ????? (เรายืนนิ่งค่ะ ไม่คิดว่าหมอจะพูดแบบนี้ )
พยาบาล : เป็นมะเร็งมาค่ะคุณหมอ
หมอก็คุยกับพยาบาลต่อ เราเลยเดินออกมาจากห้องเลยค่ะ ให้พ่อคุยแทน คือเราไม่รู้จะพูดอะไร เจอหมอแบบนี้ เราผิดเองที่ตอบไปแบบนั้น ซึ่งปกติคนทั่วไปฟังที่เราพูด คงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรนะ ที่หมอพูดแบบนี้ แต่เรานั่งอยู่ในเหตุการณ์ที่หมอพูดกับคนไข้คนอื่นแบบไม่ดีมาตลอด แล้วพอมาถึงคิวของแม่เรา มาพูดแบบนี้อีก เราก็เลยรู้สึกไม่ดีกับหมอและพยาบาล แต่จะบอกว่าแค่พยาบาลกับหมอที่เราคุยเท่านั้นนะค่ะ ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับหมอและพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลนี้
วันที่ 1 สิงหา แม่เรามาศูนย์มะเร็งตามที่หมอนัด เราได้มีโอกาสคุยกับหมอ หมอบอกเราว่าดูจากผลเอ็กซเรย์แล้ว ตอนนี้เชื้อมันกระจายไปทั่วแล้ว จะรักษาแม่ต่อโดยใช้เคมีบำบัด แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนไข้จะรับได้ หรือไม่ได้ เราฟังแบบนี้ เราคิดว่า อย่างน้อยแม่เราก็มีโอกาสหาย ถ้าแม่รับได้ เราคิดแบบนี้นะ แต่แม่เราอ่อนเพลีย เกล็ดเลือดต่ำ ร่างกายแม่ยังไม่พร้อมที่จะรักษา ต้องให้แม่ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อน ถึงจะรักษาโดยใช้เคมีบำบัดได้ ซึ่งช่วงเวลานี้ เราโทรหาพ่อเราตลอด ว่าอาการแม่เป็นไงบ้าง เพราะแม่เราไม่มีแรงแม้กระทั้งพิมพ์ไลน์ตอบกลับเรา ได้แต่อ่านอย่างเดียว เราโทรไปให้พ่อเปิดลำโพงให้แม่ได้ยินเสียงเรา พ่อจะบอกว่าแม่เราพยักหน้ารับ อย่างน้อยเราก็ใจชื่นว่าแม่เราอาการยังดีอยู่ และวันที่ 4 สิงหา ประมาณ 3 โมง พี่เปิ้ลพยาบาลที่ศูนย์มะเร็งโทรมาหาเรา (ที่เอ่ยชื่อ เพราะอยากจะขอบคุณพี่เปิ้ลมากๆ ที่ดูแลแม่เราเป็นอย่างดี ) พี่เปิ้ลเป็นพยาบาลที่เรียนมาทางด้านการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (ระยะสุดท้าย) พี่เปิ้ลโทรหาเราบอกว่า
พี่เปิ้ล : ตอนนี้แม่ของเราอาการไม่ค่อยดีนะ แม่อยากเจอเรามากๆ เลย เราจะกลับบ้านได้เร็วที่สุดวันไหนจ๊ะ
เรา : วันที่ 12 สิงหา วันแม่ค่ะ
พี่เปิ้ล : ตอนนี้ พี่พูดตรงๆ นะ แม่เราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันแม่นะ
เรา : เงียบ (พูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ได้แต่ร้องไห้)
พี่เปิ้ล : แม่อยากเจอเรามากนะ ตอนนี้แม่เราอาการดีขึ้น แต่ระยะนี้ มันจะมีทรงกับทรุดนะ พี่อยากให้เรากลับมาตอนที่ท่านยังมีสติอยู่
เรา : งั้นเดี๋ยวหนูโทรบอกพี่เปิ้ลอีกทีนะค่ะ หนูขอคุยกับหัวหน้าก่อนค่ะ
เรื่องของแม่กับแผลร้อนในปากเล็กๆ จนกลายเป็นเซลมะเร็ง
เดือนสิงหาปี 58 เราได้เขียนกระทู้การสร้างบ้านให้พ่อกับแม่อยู่ โดยที่พ่อกับแม่ได้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่ในวันที่ 3 สิงหา 58 หลังจากสร้างบ้านเสร็จ เรายังไม่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำแค่พิธีทางเหนือ เรากะว่ารอเก็บเงินสักก้อนแล้วค่อยทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ซึ่งได้กำหนดว่าจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ช่วงสงกรานต์ปี 59 แต่แล้วเราก้อไม่ได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เพราะแม่ของเราป่วยเป็นโรคมะเร็งช่องปากเสียก่อน และเราจะเล่าเรื่องอาการป่วยของแม่ต่อจากนี้
แม่ของเราเริ่มเป็นแผลเล็กๆ ข้างในปากประมาณปลายๆ เดือนมกราคม 59 และคิดว่าเป็นแผลจากร้อนใน หายามาทาก็หาย โดยแม่ของเราไปซื้อยาม่วงมาทาในปาก แต่แผลก็ไม่หายซักที พ่อกับน้องชายก็บอกให้แม่ไปหาหมอ แต่ด้วยความดื้อของแม่ แม่ไม่ยอมไปหาหมอ คิดว่าไม่เป็นอะไร แค่แผลในปากเดี๋ยวก็หายเอง แม่ทายาม่วงประมาณเดือนกว่าๆ ก็ไม่หาย จากที่เป็นแผลเล็กๆ กลายเป็นแผลขนาดใหญ่ และบวมตรงบริเวณคางข้างซ้าย และประมาณต้นเดือนมีนา 59 แม่ก็ยอมไปหาหมอ เนื่องจากแผลในปากเริ่มเยอะขึ้น และบริเวณคางบวมเยอะขึ้น และหมอนัดให้มาฟังผลในวันที่ 15 มีนา 59 ซึ่งเราไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่เป็นแผลที่ปากเป็นเดือนๆ ไม่หายซักที เพราะตอนที่แม่ป่วยเราอยู่กรุงเทพฯ แม่ไม่เคยบอกว่าเป็นแผลที่ปาก ไม่มีใครบอกเราว่าแม่ไม่สบายเลย เพราะทุกคนคิดว่าเป็นแค่แผลร้อนใน และไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งช่องปาก และวันที่ 15 มีนา แม่โทรหาเราบอกว่า แม่ป่วยเป็นมะเร็ง จะผ่าตัดวันที่ 18 มีนา แม่ของเรากำลังใจดีมาก แม่ไม่กลัวเลย แต่ผิดกลับเรา เรากลัวมาก กลัวไปหมด ทำอะไรไม่ถูกเลย ร้องไห้อย่างเดียว แม่บอกว่าไม่ต้องห่วงนะ แม่ไม่เป็นอะไร เดี๋ยวหมอผ่าตัดเสร็จ แม่ก็หายแล้ว ซึ่งเราก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น
วันที่ 18 มีนา แม่เราผ่าตัดตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนถึงเกือบ ๆ 5 โมงเย็น ผลการผ่าตัดแม่เราปลอดภัยดี แต่แม่พูดไม่ได้ เพราะหมอได้เจาะคอแม่ ทำให้แม่เราพูดไม่ได้ ซึ่งตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ เราไม่เคยได้ยินเสียงแม่อีกเลย เราอยากได้ยินเสียแม่อีกครั้ง แม้จะเป็นการบ่นจากแม่เราก้ออยากจะได้ยิน แม่เราพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2 อาทิตย์ และกลับมาอยู่บ้าน แม่ปกติดีทุกอย่าง ทำงานบ้านได้ กินข้าวได้ แต่กินพวกข้าวต้ม โจ๊ก น้ำผลไม้ เนื่องจากหมอได้เลาะฟันของแม่ออกทั้งหมด เพื่อเตรียมการรักษาโดยการฉายแสง ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ส่งตัวแม่ไปรักษาต่อที่ศูนย์มะเร็งลำปาง หมอนัดวันที่ 18 เมษา และแม่ไปหาหมอที่ศูนย์มะเร็งตามที่หมอนัด และแม่ต้องรักษาต่อด้วยการฉายแสงทั้งหมด 33 แสง คีโมอีก 3 ครั้ง หมอไม่บอกว่าแม่ของเราเป็นมะเร็งระยะไหน เราก็ได้แต่สงสัย ว่าแม่เราเป็นระยะไหนแล้ว แต่ก็ภาวนาว่าเป็นระยะแรกทีเถอะ อย่างน้อยก็มีสิทธิ์ที่จะหายจากมะเร็งได้ เราคิดแบบนั้น
หมอเริ่มนัดฉายแสงวันที่ 25 เมษา แต่เนื่องจากบ้านเราค่อนข้างไกลจากโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งมาก ไม่สามารถเดินทางไปกลับได้ เราจึงต้องหาเช่าหอพักใกล้ๆ กับโรงพยาบาล ซึ่งตลอดเวลาที่แม่ฉายแสง พ่อเรา ดูแลแม่เราดีมากๆ เราต้องขอบคุณพ่อที่ดูแลแม่เป็นอย่างดี แม่เราเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากๆ ที่มีพ่อเป็นคู่ชีวิต จนเราอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเราป่วยบ้างจะมีใครดูแลเราได้ดีเท่าพ่อเราดูแลแม่ไหม ตลอดเวลาที่แม่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็ง เราคุยไลน์กับแม่ตลอด เพราะเราอยู่กรุงเทพฯ เราบอกแม่เราทุกครั้งว่า แม่ต้องอดทนนะ กินข้าวเยอะๆ กินน้ำเยอะๆ เดี๋ยวก็หายแล้ว กับไปอยู่บ้านเรานะ หนูอยากกลับไปหาแม่ที่บ้าน แม่รีบๆ หายนะ ซึ่งปกติเราจะกลับบ้านที่ลำปางแค่ช่วงเทศกาลปีใหม่ กับสงกรานต์ แต่ช่วงที่แม่ป่วย เรากลับลำปางทุกเดือน จนวันนี้เราโทษตัวเองตลอด ว่าทำไมเราไม่กลับบ้านให้บ่อยกว่านี้ เราจะได้รู้ว่าแม่ไม่สบาย เราจะได้พาแม่ไปหาหมอตั้งแต่เริ่มเป็น เรามากลับบ้านทุกเดือนตอนที่แม่เป็นมะเร็งแล้ว เราไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย เราเป็นลูกที่ไม่ดีจริงๆ
ต้นเดือนกรกฎาคม แม่เราฉายแสงและคีโมเสร็จเรียบร้อย แม่กลับมาอยู่บ้าน แต่ด้วยจากผลการรักษาโดยการฉายแสง แม่เราเป็นแผลบริเวณลำคอ ไม่สามารถกินอาหารเองได้ ต้องกินอาหารทางสายยาง เราสงสารแม่มาก แต่แม่เรากำลังใจดีจริงๆ บอกกลับเราว่าไม่ต้องห่วงแม่นะ เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว อีกไม่กี่วัน แม่ก็สามารถกินข้าวเองได้ โดยไม่ต้องมีสายยางเจาะที่จมูก เราก็ได้แต่ภาวนาให้แม่หาย เพราะขั้นตอนของการรักษาจบแล้ว หมอนัดดูอาการแม่ทุกเดือน แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แม่เราอาการทรุดหนักต้องกลับไปนอนที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งอีกครั้ง คราวนี้หมอได้คุยกับทางพ่อและน้องชาย บอกให้ทำใจนะ เพราะตอนนี้มะเร็งได้กระจายไปทั่วร่างแล้ว อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน และปรึกษาเรื่องการใช้เครื่องมือหนัก ถ้าแม่ของเราจะต้องไปจริงๆ จะยินยอมไม่ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องมือหนักไหม พ่อโทรมาบอกเรา เราทำอะไรไม่ถูกเลย พ่อกับน้องชายยินยอมที่จะไม่ใช้เครื่องมือหนัก เพราะพ่อดูแลแม่ตลอด เห็นอาการของแม่เราแล้ว พ่อไม่อยากให้แม่ของเราต้องทรมาน ส่วนน้องชายทำงานที่ลำปาง น้องเห็นมาตลอด และการเป็นมะเร็งมันกระจายเร็วมาก และมันก็เจ็บปวดมาก แต่เราไม่ยอม อย่างน้อยมันมีโอการหาย เราคิดแบบนี้
แม่ของเรานอนที่โรงพยาบาลศูนย์มะเร็งประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ และเนื่องจากอาการแม่ดีขึ้น ทางศูนย์มะเร็งได้ให้แม่กลับบ้านได้ แม่เรากลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 3 วัน อาการของแม่ก็ทรุดอีก พ่อของเราพาไปหาหมอที่ศูนย์มะเร็ง แต่เนื่องจากได้จบการรักษาของศูนย์มะเร็งแล้ว หมอได้ส่งตัวแม่กลับมานอนที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ เรารู้สึกไม่ประทับใจกับการให้บริการของโรงพยาบาลนี้เลย วันที่ 30กรกฎา ประมาณ 10 โมง พยาบาลโทรมาหาเรา และถามว่าจะยินยอมไม่ให้ใช้เครื่องมือหนักไหม เราก็ยังยืนยันว่าจะให้ใช้ เพราะเราทำงานอยู่กรุงเทพฯ อย่างน้อยเราก็อยากกลับไปทันก่อนที่แม่จะจากไป แต่พยาบาลพูดกลับมาว่า จะให้แม่ทรมานเพื่อรอเรากลับมาดูใจนะเหรอ เราได้แต่ร้องไห้ และคิดว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม ที่ให้แม่เราทรมาน เพื่อรอให้เรากลับไปดูใจ และพยาบาลยังพูดอีกว่า เราจะกลับลำปางได้เร็วสุดวันไหน เพราะดูจากอาการอยู่ได้ไม่กี่วัน อยากจะบอกพยาบาลว่า ก่อนที่คุณจะพูดอะไร ช่วยนึกถึงใจคนฟังหน่อย ว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน เรารู้ว่าแม่เราอยู่ได้อีกไม่นาน เราพยายามทำใจยอมรับเรื่องนี้มาตลอด ว่าแม่ของเราอาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน เราก็เลยตอบกลับพยาบาลไปว่า จะกลับเย็นนี้ค่ะ เราก็เลยไปลางานกับหัวหน้า เพราะเราเข้ามาทำงาน และขอลางานวันจันทร์ที่ 1 สิงหา 1 วัน และบอกหัวหน้าไปว่า แม่เราเป็นมะเร็ง ตอนนี้อาการหนัก ทางหัวหน้าก็ให้ลางาน และบอกให้ขอใบรับรองแพทย์มายืนยันการลางาน ซึงเราเองก็เพิ่งจะย้ายที่ทำงาน และทำงานยังไม่ถึงเดือน
เรากลับบ้านเย็นวันเสาร์ที่ 30 กรกฎา และเช้าวันอาทิตย์ที่ 31 หมอเวรโรงพยาบาลประจำอำเภอได้เข้ามาตรวจอาการของคนไข้ หมอพูดจาไม่ดีเลย ไม่ดีเอามากๆ เพราะเราสังเกตจากที่หมอตรวจคนไข้คนอื่นอยู่ เราเข้าใจนะว่าคุณอาจจะเหนื่อย ตรวจคนไข้ตั้งแต่เช้า แต่ช่วยพูดกับคนไข้ดีๆ หน่อยได้ไหม ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากจะมานอนโรงพยาบาลหรอก จริงๆ นะ คือแม่เรานอนแบบห้องรวม ไม่ได้แยกชายหญิง มีคนไข้ค่อนข้างเยอะ และคนไข้ทุกอาการนอนรวมกัน สภาพมันหดหู่มาก เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่อยากให้แม่เราต้องมาเจอสภาพแบบนี้ แต่เนื่องจากห้องพิเศษเต็ม และมาถึงคิวของแม่เรา
หมอ : คนไข้เป็นอะไรมา (เสียงแข็งๆ)
เรา : แผลตรงคอมันบวม และอักเสบค่ะ
หมอ : รู้แล้ว ก็เห็นอยู่ แต่เป็นอะไรมา
เรา : !!!!! ????? (เรายืนนิ่งค่ะ ไม่คิดว่าหมอจะพูดแบบนี้ )
พยาบาล : เป็นมะเร็งมาค่ะคุณหมอ
หมอก็คุยกับพยาบาลต่อ เราเลยเดินออกมาจากห้องเลยค่ะ ให้พ่อคุยแทน คือเราไม่รู้จะพูดอะไร เจอหมอแบบนี้ เราผิดเองที่ตอบไปแบบนั้น ซึ่งปกติคนทั่วไปฟังที่เราพูด คงคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรนะ ที่หมอพูดแบบนี้ แต่เรานั่งอยู่ในเหตุการณ์ที่หมอพูดกับคนไข้คนอื่นแบบไม่ดีมาตลอด แล้วพอมาถึงคิวของแม่เรา มาพูดแบบนี้อีก เราก็เลยรู้สึกไม่ดีกับหมอและพยาบาล แต่จะบอกว่าแค่พยาบาลกับหมอที่เราคุยเท่านั้นนะค่ะ ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับหมอและพยาบาลที่ทำงานที่โรงพยาบาลนี้
วันที่ 1 สิงหา แม่เรามาศูนย์มะเร็งตามที่หมอนัด เราได้มีโอกาสคุยกับหมอ หมอบอกเราว่าดูจากผลเอ็กซเรย์แล้ว ตอนนี้เชื้อมันกระจายไปทั่วแล้ว จะรักษาแม่ต่อโดยใช้เคมีบำบัด แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคนไข้จะรับได้ หรือไม่ได้ เราฟังแบบนี้ เราคิดว่า อย่างน้อยแม่เราก็มีโอกาสหาย ถ้าแม่รับได้ เราคิดแบบนี้นะ แต่แม่เราอ่อนเพลีย เกล็ดเลือดต่ำ ร่างกายแม่ยังไม่พร้อมที่จะรักษา ต้องให้แม่ร่างกายแข็งแรงกว่านี้ก่อน ถึงจะรักษาโดยใช้เคมีบำบัดได้ ซึ่งช่วงเวลานี้ เราโทรหาพ่อเราตลอด ว่าอาการแม่เป็นไงบ้าง เพราะแม่เราไม่มีแรงแม้กระทั้งพิมพ์ไลน์ตอบกลับเรา ได้แต่อ่านอย่างเดียว เราโทรไปให้พ่อเปิดลำโพงให้แม่ได้ยินเสียงเรา พ่อจะบอกว่าแม่เราพยักหน้ารับ อย่างน้อยเราก็ใจชื่นว่าแม่เราอาการยังดีอยู่ และวันที่ 4 สิงหา ประมาณ 3 โมง พี่เปิ้ลพยาบาลที่ศูนย์มะเร็งโทรมาหาเรา (ที่เอ่ยชื่อ เพราะอยากจะขอบคุณพี่เปิ้ลมากๆ ที่ดูแลแม่เราเป็นอย่างดี ) พี่เปิ้ลเป็นพยาบาลที่เรียนมาทางด้านการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง (ระยะสุดท้าย) พี่เปิ้ลโทรหาเราบอกว่า
พี่เปิ้ล : ตอนนี้แม่ของเราอาการไม่ค่อยดีนะ แม่อยากเจอเรามากๆ เลย เราจะกลับบ้านได้เร็วที่สุดวันไหนจ๊ะ
เรา : วันที่ 12 สิงหา วันแม่ค่ะ
พี่เปิ้ล : ตอนนี้ พี่พูดตรงๆ นะ แม่เราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันแม่นะ
เรา : เงียบ (พูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ได้แต่ร้องไห้)
พี่เปิ้ล : แม่อยากเจอเรามากนะ ตอนนี้แม่เราอาการดีขึ้น แต่ระยะนี้ มันจะมีทรงกับทรุดนะ พี่อยากให้เรากลับมาตอนที่ท่านยังมีสติอยู่
เรา : งั้นเดี๋ยวหนูโทรบอกพี่เปิ้ลอีกทีนะค่ะ หนูขอคุยกับหัวหน้าก่อนค่ะ