สวัสดีครับ....ขอเกริ่นนำเรื่องสักเล็กน้อย...ปัจจุบันผมประกอบอาชีพเกษตรกร อยู่ที่จังหวัดบ้านเกิด
ตอนนี้กระแสนิยม การกลับคืนถิ่น ทำการเกษตร กำลังเป็นที่สนใจมาก ผมได้รับฟัง ได้อ่านบ่อยๆ
และมีเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ และพี่ป้าน้าอาชาวบ้าน ถามผมอยู่บ่อยๆ ว่า เพราะเหตุใด ผมจึงทิ้งเงินเดือนหลายหมื่น
ทิ้งปากกาและหลอดทดลอง มาจับจอบจับเสียม ผมก็ตอบทุกคน พอตอบมากๆ เข้า จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเขียนเรื่องของตนเองขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย...สิ่งเล็กๆ ในประสบการณ์ของผม อาจช่วยตอบโจทย์ให้กับหลายๆ คนได้บ้าง
บันทึกชีวิตเกษตรกรมือใหม่ ตอนที่ 1 เริ่มต้น....เรื่องราว
ย้อนหลังไป 32 ปีที่แล้ว... ผมเกิดมาในครอบครัวเกษตรกร ในจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน อาชีพหลักของครอบครัว
คือ การทำนา และทำไร่ข้าวโพด โดยผมเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน
ชีวิตในวัยเด็ก เติบโตมากับทุ่งนา ป่าเขา ยิงนกในป่า จับปลาในนา ไปตามประสาเด็ก โดยที่ไม่ได้ช่วยงานทางบ้านเท่าไหร่
ผมใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบเรียนๆ เล่นๆ หลบงานบ้าง ช่วยงานบ้าง หนีงานบ้าง มีพ่อแม่และพี่ชายพี่สาว ช่วยประคับประคองส่งให้เรียนหนังสือ
จนจบในระดับปริญญาตรีมาแบบพอเฉียดฉิว เพราะในวัยเรียนที่ผมขึ้นมาเรียนที่ คลอง 6 นั้น สำหรับเด็กบ้านนอกเข้ากรุงแล้ว แสงสีและอิสระในกรุงเทพ
ช่างสวยงามและสว่างสดใสเหลือเกิน กลางวันอยู่ในมหาวิทยาลัย กลางคืนอยู่ในผับในบาร์ กินเหล้า สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนๆ ในกรุงเทพเมืองสวรรค์ที่สะดวกสบายทุกสิ่งอย่าง
เมื่อเรียนจบได้วุฒิปริญญาแล้ว...จึงสานฝันทำงานอยู่ในกรุงเทพต่อไป โชคดีที่สาขาวิชาที่ผมเรียนจบมา เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในระดับหนึ่ง ผมจึงหางานทำได้ไม่ยากเย็นนัก...มีงาน มีเงินถึงไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยสำหรับอายุ 24 ที่พึ่งเรียนจบ...เหมือนเดิมครับ...กลางวันอยู่ที่ห้องแลป กลางคืนอยู่ในผับในบาร์ ใช้ชีวิตอยู่ในความสนุกและความเสี่ยง เหล้าเบียร์เที่ยวกลางคืน คือสิ่งที่ผมรัก มันเหมือนเพื่อนสนิท เหมือนคนรักที่ได้พบเจอ ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน จนถึงขนาดลงหุ้นเปิดร้านเหล้า...ร่วมกัน ในระหว่างที่ทำงานประจำไปด้วย
หลังจากนั้น ชีวิตผมก็โลดแล่นอยู่ในเมืองหลวง เงินที่ได้มาจากงาน ก็หมดไปกับการใช้ชีวิต กินเที่ยวดูหนังฟังเพลง แวดล้อมไปด้วยอบายมุขเกือบทุกๆ อย่าง ในตอนนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าเราทำงานได้ เราเหนื่อย เราก็อยากเที่ยว อยากพักผ่อน อยากหาความสบายใส่ตัว
ส่วนทางครอบครัวที่ต่างจังหวัด ผมกลับบ้านไม่เกิน 2 ครั้ง ใน 1 ปี ซึ่งในตอนนั้น การเกษตรของครอบครัวผม ทั้งสวนยาง นาข้าว ไร่อ้อย ได้ปล่อยให้คนอื่นเช่าทำไปแล้ว เนื่องจากพ่อกับแม่อายุมากขึ้นแล้ว แรงกายที่เคยมีในสมัยหนุ่มสาว ก็ถดถอยลง แต่ตอนนั้นเราเหมือนคนหูหนวกตาบอด ไม่รับรู้อะไรกับทางบ้านทั้งสิ้น ไม่ได้สนใจลึกลงไปถึงสภาพความเป็นจริง คิดว่าพ่อกับแม่ยังคงแข็งแรงอยู่ เนื่องจากท่านไม่เคยแสดงออก หรือพูดอะไรให้เราไม่สบายใจ ได้แต่สนใจแต่ตัวเอง เพื่อนฝูง และความสนุกสนาน คิดแต่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะคิดว่า มีงานประจำ..... เงินเดือนดี.... สิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย..... คือที่สุด คือเป้าหมายของชีวิตเรา....
จนมาวันหนึ่ง พระเจ้าคงเห็นผมใช้ชีวิตสนุกสนานมามากพอแล้ว จึงให้บทเรียนกับผม ซึ่งบทเรียนนี้ ได้เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนความรู้สึก และเปลี่ยนเส้นทางเดิน....ทำให้ผมได้เห็นตัวเองในอีกแบบหนึ่ง....เรื่องมันเกิดจากตรงนี้ครับ
ปี 2556 ผมใช้วันลาพักร้อนในปีนั้น ที่บ้านป้า ใน จ.ฉะเชิงเทรา โดยพาพ่อไปเยี่ยมป้าและญาติๆ รวมถึงไปเที่ยวเล่น ตามประสามนุษย์เงินเดือนที่มีเวลาพักร้อนอันน้อยนิด ป้ามีอาชีพทำสวนยาง จำนวน 200 ไร่ โดยจ้างคนกรีดยาง ตอนนั้นราคายางยังไม่ตกต่ำเหมือนปัจจุบัน ป้าจึงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ ให้การต้อนรับน้องชายและหลานชายของป้าอย่างดี ....แน่นอนครับ งานเลี้ยง งานกินก็ต้องมีเพื่อนสนิทผมอยู่ด้วย เพื่อนสนิทผมที่ชื่อ เหล้าเบียร์
คืนนั้นงานที่บ้านป้าเลิกไม่เกินเที่ยงคืน แต่ผมซึ่งกำลังได้ที่ ได้ขออนุญาตป้าตามไปสังสรรค์ต่อ ที่กระท่อมในสวนยาง กับพี่ๆคนงานของป้า หลังจากงานเลี้ยงรอบ 2 ผ่านไปสักพัก น้ำมีสีที่เราเตรียมมาก็หมดลง เมื่อเหล้าหมดแล้ว แต่คนยังติดลมอยู่ ผมกับญาติผู้พี่อีกคน จึงอาสาออกมาเอาที่บ้านป้าในหมู่บ้าน ห่างออกไปไม่เกิน 3 กิโลเมตร ถามตัวเองว่าตอนนั้นมีสติไหม ก็มีนะครับ แต่เหลือน้อยมากแล้ว ขับรถออกมาจากสวนยาง ขึ้นถนนได้ไม่ถึง 300 เมตร ก็มาถึงทางโค้ง แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ ระดับที่ตรวจวัดไม่ได้ ผมจึงไม่เลี้ยวโค้ง เมื่อไม่ไปตามถนน ก็ลงข้างทางไปที่สวนยางแทน ความรู้สึกที่จำได้ตอนนั้น คือชนกับอะไรสักอย่างแล้วรถพลิก จะตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังกี่ตลบผมจำไม่ได้ จำได้แต่ ท่าสุดท้าย อยู่ในท่าตะแคงขวา ถึงขั้นมึนเกือบสร่างเมา
โชคดียังเป็นของผมที่พี่ชายที่ไปด้วยกัน ปีนออกจากหน้าต่างรถอีกด้าน มาช่วยดึงผมออกไป ผมบาดเจ็บถลอกปอกเปิก พี่ชายศีรษะแตก เคล็ดขัดยอก ต้นยางหักไป 2 ต้น และรถยนต์สภาพไม่เหมือนเดิมอีก 1 คัน ชาวบ้านได้ยินเสียงจึงพากันออกมาดู เมื่อเห็นว่าผู้ประสบเหตุเป็นใคร ก็ได้แจ้งไปกับป้าและพ่อ ที่นอนอยู่ในหมู่บ้าน
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องราวของการรักษาพยาบาล ทั้งคน ต้นยาง และรถยนต์ ถึงผมจะไม่บาดเจ็บมาก แต่ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับต้นยางที่ถูกชนหักเสียหาย และต้องซ่อมรถยนต์ของตนเอง ซึ่งอาการค่อนข้างหนัก - หนักมาก
งานที่ผมทำในตอนนั้น คืองานเซลล์เอ็นจิเนียร์ ต้องเดินทางติดต่อลูกค้าตลอดเวลา เมื่อวันลาพักร้อนหมดลงแล้ว ผมจึงต้องขึ้นลงทำงานระหว่างฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ ตอนนั้นรถยังซ่อมไม่เสร็จเพราะเงินซ่อมรถไม่พอ งานก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะไม่พร้อมในหลายๆ เรื่อง รายได้ลดลง รายจ่ายเท่าเดิม ลดลงแค่ค่าเหล้าเท่านั้น
สิ่งที่ดีอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากการเกิดอุบัติเหตุ ก็คือ การที่ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับแอลกอฮอร์ทุกชนิดได้อย่างเด็ดขาดนี่ล่ะครับ เพราะเหมือนผมได้บรรลุธรรม นาทีที่เฉียดใกล้ความตาย มันน่ากลัว น่ากลัวมาก พอที่จะทำให้ผมยอมแตกหักกับมัน
หลังจากเทียวไปเทียวมาหลายรอบ ผมก็ไม่ไหว เพราะงานเหนื่อยกว่าเดิม แต่ค่าตอบแทนลดลง เพราะผมทำงานได้ไม่เต็มที่ งานประจำที่ทำอยู่ เจ้านายและฝ่ายบุคคลก็เริ่มไม่พอใจ เพราะขาดลาบ่อย เขาจ้างผม ให้เงินผม แต่ผมทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่ รู้สึกแย่....ผมจึงลาออกจากงานเดิม คิดว่าจะซ่อมรถให้เสร็จ แล้วค่อยเริ่มหางานใหม่
ระหว่างนั้น จึงพักอาศัยอยู่บ้านป้าที่ฉะเชิงเทราก่อน เนื่องจากติดภาระเรื่องซ่อมรถยนต์ เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน แต่ก็ยังมีหนี้จากบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด ทั้งหลาย รวมถึงค่างวดรถ ที่ไม่เคยให้หยุดพักชำระ เมื่อไม่มีเงิน ก็ไม่มีจ่าย เมื่อไม่จ่าย ก็โดนทวง ช่วงนั้นผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เหมือนมีแต่ปัญหา และปัญหาทุกอย่างไปจบที่ทางตัน หาทางออกไม่เจอ
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ คนที่อยู่ด้วยเสมอและเป็นที่พึ่งให้ผมได้ ก็คือ ครอบครัว ทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่ชาย และญาติๆ และแล้วแสงสว่างก็ส่องมาถึงผม เมื่อแม่รู้ว่าลาออกจากงาน แม่พูดเพียงว่า "ไม่เป็นไร กลับมาบ้านเรา แล้วค่อยคิดหาทางกันต่อไป"
ผมรู้สึกได้ถึงความตื้นตันที่เอ่อล้นอยู่ในใจ แค่คำพูดของแม่ไม่กี่คำเท่านั้น ทำให้ผมได้คิดย้อนกลับไป ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดถึงใคร คิดถึงแค่ตัวเอง แต่ในวันที่ผมมีแต่ปัญหามารุมเร้า คนที่อยู่ข้างๆ ผม ก็คือคนที่ผมหลงลืมเขาไปในวันที่มีความสุข คำว่า"กลับมาบ้านก่อน" ให้ความรู้สึกว่าผมยังคงมีคนที่คอยให้กำลังใจอยู่ ได้รู้ซึ้งถึงสถาบันครอบครัวเลย ว่ามีความหมายและความสำคัญมากเพียงใด ผมจึงตัดสินใจว่าถ้าซ่อมรถเสร็จแล้ว จะกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยหาสมัครงานต่อไป
ระหว่างรอซ่อมรถ ผมไม่มีอะไรทำ ก็นั่งเล่น เดินเล่น พูดคุยกับพี่ที่มากรีดยางให้ป้า แก้เบื่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้คิดว่า ที่บ้านก็มีสวนยาง แต่ตอนนี้ให้เขาเช่ากรีดอยู่ ลองดูซักหน่อยแล้วกัน จึงขอพี่ให้ช่วยสอนให้ เนื่องจากว่างงานมากๆๆๆ ผมจึงฝึกกรีดยางอยู่ที่สวนของป้า โดยได้เรียนรู้วิธีการทำงาน ช่วงเวลาทำงาน ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในสวนยาง
และที่สำคัญ ได้เห็นวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ที่ผมไม่เคยสนใจดู นั่นคือ
วิถีของการทำเกษตร งานเกษตรที่ผมได้สัมผัส เป็นงานที่เหนื่อย และหนัก ต้องใช้แรงกาย ในการทำงานอย่างมาก ค่าตอบแทนก็ไม่เยอะ แค่พออยู่พอกิน เทียบกับงานประจำที่ผมเคยทำไม่ได้เลย
แต่....ทำไมนะ ทำไมเกษตรกร เมื่อเขาเลิกงานแล้ว เขาไม่เครียดเลย ไม่เห็นเขาถามหาวันหยุดยาว หรือวันลาพักร้อนกันเลย ผมได้แต่ถามตัวเอง....
ซึ่งคำถามนี้ ผมได้ถามออกไปคำตอบที่ผมได้รับกลับมา คือ "เหนื่อยสิ แต่พี่นอนพักแล้วตื่นมาก็หายเหนื่อย งานของเราถ้าเราอยากหยุดก็หยุด อยากเริ่มตอนไหนก็ได้ เรื่องเครียดไม่ค่อยมีมากหรอก มีแค่เรื่องฝนฟ้า กับราคาพืชเท่านั้นแหละ น้องเอ๋ย " นี่คือคำตอบจากพี่ชายที่เป็นครูสอนกรีดยางให้
เมื่อซ่อมรถเสร็จแล้ว ผมจึงกลับมาบ้าน กลับมาแบบ....หดหู่ คือไม่มีเงิน มีแต่หนี้ แล้วก็ยังไม่มีงาน ผมกำลังตัดสินใจที่จะกลับไปกรุงเทพ ไปหาสมัครงานใหม่ แต่เมื่อมาถึงบ้านสักพัก โดยปราศจากการดื่มเหล้าและงานเลี้ยงสังสรรค์ ผมจึงได้เห็นสภาพความเป็นจริง
ว่า....ที่สวนยาง ที่นา ที่ไร่ไม่มีใครทำต้องปล่อยให้เช่าและทรุดโทรม พ่อกับแม่ซึ่งชราไปตามวัย ไม่แข็งแรง อยู่บ้านกับยายแก่อายุ 80 กว่า บ้านที่มีแต่ผู้เฒ่า ทั้งหมดทั้งมวล เมื่อประกอบกับประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอมา นอกเหนือจากความรู้สึกที่อยากดูแลพ่อแม่และยายแล้ว จึงได้คำตอบว่า
ผมควรอยู่บ้าน ลองบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จะดีกว่าไหม ทำให้มันแปรเป็นเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองกรุง เพื่อหางาน งานมากมายหลากหลาย รอให้ทำอยู่บนพื้นดิน ใต้แผ่นฟ้า เงินอยู่ในทุกๆ ที่ อยู่ในที่นา อยู่ในสวนยาง อยู่ในไร่ ขึ้นอยู่กับว่าผมจะนำออกมาได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อคิดได้แล้ว ผมจึงนึกถึงวิถีเกษตรกรรม ที่ผมได้พบเห็นที่บ้านของป้า และพบเห็นเสมอในหมู่บ้านของตนเอง...
แต่อาชีพเกษตรกรรม สำหรับคนที่ไม่เคยทำนั้น ก็ไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่คิด กว่าที่ผมจะค้นตัวเองเจอ และปรับชีวิตจากลูกจ้างมาเป็นนายตัวเองได้ ก็หนักหนาพอสมควร ไหนจะหนี้สินจากบัตรเครดิต ค่างวดรถที่ยังต้องผ่อน การดูแลครอบครัวที่ไม่เคยทำ ผมจะเริ่มตรงไหน อย่างไรดี โจทย์ชีวิตในตอนนี้ คือสิ่งที่ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ต่อไป...
*** ขอบคุณครับ แนะนำติชม ได้เลยครับ ***
มือใหม่เริ่มเขียน มีประสบการณ์อยากแบ่งปันครับ.....บันทึกชีวิตเกษตรกรมือใหม่.....ตอนที่ 1....เริ่มต้นเรื่องราว
ตอนนี้กระแสนิยม การกลับคืนถิ่น ทำการเกษตร กำลังเป็นที่สนใจมาก ผมได้รับฟัง ได้อ่านบ่อยๆ
และมีเพื่อนๆ ที่เคยทำงานด้วยกันที่กรุงเทพฯ และพี่ป้าน้าอาชาวบ้าน ถามผมอยู่บ่อยๆ ว่า เพราะเหตุใด ผมจึงทิ้งเงินเดือนหลายหมื่น
ทิ้งปากกาและหลอดทดลอง มาจับจอบจับเสียม ผมก็ตอบทุกคน พอตอบมากๆ เข้า จึงเกิดแรงบันดาลใจอยากเขียนเรื่องของตนเองขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อย...สิ่งเล็กๆ ในประสบการณ์ของผม อาจช่วยตอบโจทย์ให้กับหลายๆ คนได้บ้าง
ย้อนหลังไป 32 ปีที่แล้ว... ผมเกิดมาในครอบครัวเกษตรกร ในจังหวัดหนึ่งของภาคอีสาน อาชีพหลักของครอบครัว
คือ การทำนา และทำไร่ข้าวโพด โดยผมเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน
ชีวิตในวัยเด็ก เติบโตมากับทุ่งนา ป่าเขา ยิงนกในป่า จับปลาในนา ไปตามประสาเด็ก โดยที่ไม่ได้ช่วยงานทางบ้านเท่าไหร่
ผมใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบเรียนๆ เล่นๆ หลบงานบ้าง ช่วยงานบ้าง หนีงานบ้าง มีพ่อแม่และพี่ชายพี่สาว ช่วยประคับประคองส่งให้เรียนหนังสือ
จนจบในระดับปริญญาตรีมาแบบพอเฉียดฉิว เพราะในวัยเรียนที่ผมขึ้นมาเรียนที่ คลอง 6 นั้น สำหรับเด็กบ้านนอกเข้ากรุงแล้ว แสงสีและอิสระในกรุงเทพ
ช่างสวยงามและสว่างสดใสเหลือเกิน กลางวันอยู่ในมหาวิทยาลัย กลางคืนอยู่ในผับในบาร์ กินเหล้า สังสรรค์เฮฮากับเพื่อนๆ ในกรุงเทพเมืองสวรรค์ที่สะดวกสบายทุกสิ่งอย่าง
เมื่อเรียนจบได้วุฒิปริญญาแล้ว...จึงสานฝันทำงานอยู่ในกรุงเทพต่อไป โชคดีที่สาขาวิชาที่ผมเรียนจบมา เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในระดับหนึ่ง ผมจึงหางานทำได้ไม่ยากเย็นนัก...มีงาน มีเงินถึงไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยสำหรับอายุ 24 ที่พึ่งเรียนจบ...เหมือนเดิมครับ...กลางวันอยู่ที่ห้องแลป กลางคืนอยู่ในผับในบาร์ ใช้ชีวิตอยู่ในความสนุกและความเสี่ยง เหล้าเบียร์เที่ยวกลางคืน คือสิ่งที่ผมรัก มันเหมือนเพื่อนสนิท เหมือนคนรักที่ได้พบเจอ ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน จนถึงขนาดลงหุ้นเปิดร้านเหล้า...ร่วมกัน ในระหว่างที่ทำงานประจำไปด้วย
หลังจากนั้น ชีวิตผมก็โลดแล่นอยู่ในเมืองหลวง เงินที่ได้มาจากงาน ก็หมดไปกับการใช้ชีวิต กินเที่ยวดูหนังฟังเพลง แวดล้อมไปด้วยอบายมุขเกือบทุกๆ อย่าง ในตอนนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ว่าเราทำงานได้ เราเหนื่อย เราก็อยากเที่ยว อยากพักผ่อน อยากหาความสบายใส่ตัว
ส่วนทางครอบครัวที่ต่างจังหวัด ผมกลับบ้านไม่เกิน 2 ครั้ง ใน 1 ปี ซึ่งในตอนนั้น การเกษตรของครอบครัวผม ทั้งสวนยาง นาข้าว ไร่อ้อย ได้ปล่อยให้คนอื่นเช่าทำไปแล้ว เนื่องจากพ่อกับแม่อายุมากขึ้นแล้ว แรงกายที่เคยมีในสมัยหนุ่มสาว ก็ถดถอยลง แต่ตอนนั้นเราเหมือนคนหูหนวกตาบอด ไม่รับรู้อะไรกับทางบ้านทั้งสิ้น ไม่ได้สนใจลึกลงไปถึงสภาพความเป็นจริง คิดว่าพ่อกับแม่ยังคงแข็งแรงอยู่ เนื่องจากท่านไม่เคยแสดงออก หรือพูดอะไรให้เราไม่สบายใจ ได้แต่สนใจแต่ตัวเอง เพื่อนฝูง และความสนุกสนาน คิดแต่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ เพราะคิดว่า มีงานประจำ..... เงินเดือนดี.... สิ่งแวดล้อมที่สะดวกสบาย..... คือที่สุด คือเป้าหมายของชีวิตเรา....
จนมาวันหนึ่ง พระเจ้าคงเห็นผมใช้ชีวิตสนุกสนานมามากพอแล้ว จึงให้บทเรียนกับผม ซึ่งบทเรียนนี้ ได้เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนความรู้สึก และเปลี่ยนเส้นทางเดิน....ทำให้ผมได้เห็นตัวเองในอีกแบบหนึ่ง....เรื่องมันเกิดจากตรงนี้ครับ
ปี 2556 ผมใช้วันลาพักร้อนในปีนั้น ที่บ้านป้า ใน จ.ฉะเชิงเทรา โดยพาพ่อไปเยี่ยมป้าและญาติๆ รวมถึงไปเที่ยวเล่น ตามประสามนุษย์เงินเดือนที่มีเวลาพักร้อนอันน้อยนิด ป้ามีอาชีพทำสวนยาง จำนวน 200 ไร่ โดยจ้างคนกรีดยาง ตอนนั้นราคายางยังไม่ตกต่ำเหมือนปัจจุบัน ป้าจึงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ ให้การต้อนรับน้องชายและหลานชายของป้าอย่างดี ....แน่นอนครับ งานเลี้ยง งานกินก็ต้องมีเพื่อนสนิทผมอยู่ด้วย เพื่อนสนิทผมที่ชื่อ เหล้าเบียร์
คืนนั้นงานที่บ้านป้าเลิกไม่เกินเที่ยงคืน แต่ผมซึ่งกำลังได้ที่ ได้ขออนุญาตป้าตามไปสังสรรค์ต่อ ที่กระท่อมในสวนยาง กับพี่ๆคนงานของป้า หลังจากงานเลี้ยงรอบ 2 ผ่านไปสักพัก น้ำมีสีที่เราเตรียมมาก็หมดลง เมื่อเหล้าหมดแล้ว แต่คนยังติดลมอยู่ ผมกับญาติผู้พี่อีกคน จึงอาสาออกมาเอาที่บ้านป้าในหมู่บ้าน ห่างออกไปไม่เกิน 3 กิโลเมตร ถามตัวเองว่าตอนนั้นมีสติไหม ก็มีนะครับ แต่เหลือน้อยมากแล้ว ขับรถออกมาจากสวนยาง ขึ้นถนนได้ไม่ถึง 300 เมตร ก็มาถึงทางโค้ง แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ ระดับที่ตรวจวัดไม่ได้ ผมจึงไม่เลี้ยวโค้ง เมื่อไม่ไปตามถนน ก็ลงข้างทางไปที่สวนยางแทน ความรู้สึกที่จำได้ตอนนั้น คือชนกับอะไรสักอย่างแล้วรถพลิก จะตีลังกาม้วนหน้าม้วนหลังกี่ตลบผมจำไม่ได้ จำได้แต่ ท่าสุดท้าย อยู่ในท่าตะแคงขวา ถึงขั้นมึนเกือบสร่างเมา
โชคดียังเป็นของผมที่พี่ชายที่ไปด้วยกัน ปีนออกจากหน้าต่างรถอีกด้าน มาช่วยดึงผมออกไป ผมบาดเจ็บถลอกปอกเปิก พี่ชายศีรษะแตก เคล็ดขัดยอก ต้นยางหักไป 2 ต้น และรถยนต์สภาพไม่เหมือนเดิมอีก 1 คัน ชาวบ้านได้ยินเสียงจึงพากันออกมาดู เมื่อเห็นว่าผู้ประสบเหตุเป็นใคร ก็ได้แจ้งไปกับป้าและพ่อ ที่นอนอยู่ในหมู่บ้าน
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องราวของการรักษาพยาบาล ทั้งคน ต้นยาง และรถยนต์ ถึงผมจะไม่บาดเจ็บมาก แต่ก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับต้นยางที่ถูกชนหักเสียหาย และต้องซ่อมรถยนต์ของตนเอง ซึ่งอาการค่อนข้างหนัก - หนักมาก
งานที่ผมทำในตอนนั้น คืองานเซลล์เอ็นจิเนียร์ ต้องเดินทางติดต่อลูกค้าตลอดเวลา เมื่อวันลาพักร้อนหมดลงแล้ว ผมจึงต้องขึ้นลงทำงานระหว่างฉะเชิงเทรา - กรุงเทพ ตอนนั้นรถยังซ่อมไม่เสร็จเพราะเงินซ่อมรถไม่พอ งานก็ทำได้ไม่เต็มที่เพราะไม่พร้อมในหลายๆ เรื่อง รายได้ลดลง รายจ่ายเท่าเดิม ลดลงแค่ค่าเหล้าเท่านั้น
สิ่งที่ดีอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากการเกิดอุบัติเหตุ ก็คือ การที่ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับแอลกอฮอร์ทุกชนิดได้อย่างเด็ดขาดนี่ล่ะครับ เพราะเหมือนผมได้บรรลุธรรม นาทีที่เฉียดใกล้ความตาย มันน่ากลัว น่ากลัวมาก พอที่จะทำให้ผมยอมแตกหักกับมัน
หลังจากเทียวไปเทียวมาหลายรอบ ผมก็ไม่ไหว เพราะงานเหนื่อยกว่าเดิม แต่ค่าตอบแทนลดลง เพราะผมทำงานได้ไม่เต็มที่ งานประจำที่ทำอยู่ เจ้านายและฝ่ายบุคคลก็เริ่มไม่พอใจ เพราะขาดลาบ่อย เขาจ้างผม ให้เงินผม แต่ผมทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่ รู้สึกแย่....ผมจึงลาออกจากงานเดิม คิดว่าจะซ่อมรถให้เสร็จ แล้วค่อยเริ่มหางานใหม่
ระหว่างนั้น จึงพักอาศัยอยู่บ้านป้าที่ฉะเชิงเทราก่อน เนื่องจากติดภาระเรื่องซ่อมรถยนต์ เมื่อไม่มีงาน ก็ไม่มีเงิน แต่ก็ยังมีหนี้จากบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด ทั้งหลาย รวมถึงค่างวดรถ ที่ไม่เคยให้หยุดพักชำระ เมื่อไม่มีเงิน ก็ไม่มีจ่าย เมื่อไม่จ่าย ก็โดนทวง ช่วงนั้นผมคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เหมือนมีแต่ปัญหา และปัญหาทุกอย่างไปจบที่ทางตัน หาทางออกไม่เจอ
ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ คนที่อยู่ด้วยเสมอและเป็นที่พึ่งให้ผมได้ ก็คือ ครอบครัว ทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่ชาย และญาติๆ และแล้วแสงสว่างก็ส่องมาถึงผม เมื่อแม่รู้ว่าลาออกจากงาน แม่พูดเพียงว่า "ไม่เป็นไร กลับมาบ้านเรา แล้วค่อยคิดหาทางกันต่อไป"
ผมรู้สึกได้ถึงความตื้นตันที่เอ่อล้นอยู่ในใจ แค่คำพูดของแม่ไม่กี่คำเท่านั้น ทำให้ผมได้คิดย้อนกลับไป ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดถึงใคร คิดถึงแค่ตัวเอง แต่ในวันที่ผมมีแต่ปัญหามารุมเร้า คนที่อยู่ข้างๆ ผม ก็คือคนที่ผมหลงลืมเขาไปในวันที่มีความสุข คำว่า"กลับมาบ้านก่อน" ให้ความรู้สึกว่าผมยังคงมีคนที่คอยให้กำลังใจอยู่ ได้รู้ซึ้งถึงสถาบันครอบครัวเลย ว่ามีความหมายและความสำคัญมากเพียงใด ผมจึงตัดสินใจว่าถ้าซ่อมรถเสร็จแล้ว จะกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยหาสมัครงานต่อไป
ระหว่างรอซ่อมรถ ผมไม่มีอะไรทำ ก็นั่งเล่น เดินเล่น พูดคุยกับพี่ที่มากรีดยางให้ป้า แก้เบื่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้คิดว่า ที่บ้านก็มีสวนยาง แต่ตอนนี้ให้เขาเช่ากรีดอยู่ ลองดูซักหน่อยแล้วกัน จึงขอพี่ให้ช่วยสอนให้ เนื่องจากว่างงานมากๆๆๆ ผมจึงฝึกกรีดยางอยู่ที่สวนของป้า โดยได้เรียนรู้วิธีการทำงาน ช่วงเวลาทำงาน ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในสวนยาง
และที่สำคัญ ได้เห็นวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ที่ผมไม่เคยสนใจดู นั่นคือ
วิถีของการทำเกษตร งานเกษตรที่ผมได้สัมผัส เป็นงานที่เหนื่อย และหนัก ต้องใช้แรงกาย ในการทำงานอย่างมาก ค่าตอบแทนก็ไม่เยอะ แค่พออยู่พอกิน เทียบกับงานประจำที่ผมเคยทำไม่ได้เลย
แต่....ทำไมนะ ทำไมเกษตรกร เมื่อเขาเลิกงานแล้ว เขาไม่เครียดเลย ไม่เห็นเขาถามหาวันหยุดยาว หรือวันลาพักร้อนกันเลย ผมได้แต่ถามตัวเอง....
ซึ่งคำถามนี้ ผมได้ถามออกไปคำตอบที่ผมได้รับกลับมา คือ "เหนื่อยสิ แต่พี่นอนพักแล้วตื่นมาก็หายเหนื่อย งานของเราถ้าเราอยากหยุดก็หยุด อยากเริ่มตอนไหนก็ได้ เรื่องเครียดไม่ค่อยมีมากหรอก มีแค่เรื่องฝนฟ้า กับราคาพืชเท่านั้นแหละ น้องเอ๋ย " นี่คือคำตอบจากพี่ชายที่เป็นครูสอนกรีดยางให้
เมื่อซ่อมรถเสร็จแล้ว ผมจึงกลับมาบ้าน กลับมาแบบ....หดหู่ คือไม่มีเงิน มีแต่หนี้ แล้วก็ยังไม่มีงาน ผมกำลังตัดสินใจที่จะกลับไปกรุงเทพ ไปหาสมัครงานใหม่ แต่เมื่อมาถึงบ้านสักพัก โดยปราศจากการดื่มเหล้าและงานเลี้ยงสังสรรค์ ผมจึงได้เห็นสภาพความเป็นจริง
ว่า....ที่สวนยาง ที่นา ที่ไร่ไม่มีใครทำต้องปล่อยให้เช่าและทรุดโทรม พ่อกับแม่ซึ่งชราไปตามวัย ไม่แข็งแรง อยู่บ้านกับยายแก่อายุ 80 กว่า บ้านที่มีแต่ผู้เฒ่า ทั้งหมดทั้งมวล เมื่อประกอบกับประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอมา นอกเหนือจากความรู้สึกที่อยากดูแลพ่อแม่และยายแล้ว จึงได้คำตอบว่า
ผมควรอยู่บ้าน ลองบริหารทรัพย์สินที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จะดีกว่าไหม ทำให้มันแปรเป็นเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองกรุง เพื่อหางาน งานมากมายหลากหลาย รอให้ทำอยู่บนพื้นดิน ใต้แผ่นฟ้า เงินอยู่ในทุกๆ ที่ อยู่ในที่นา อยู่ในสวนยาง อยู่ในไร่ ขึ้นอยู่กับว่าผมจะนำออกมาได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อคิดได้แล้ว ผมจึงนึกถึงวิถีเกษตรกรรม ที่ผมได้พบเห็นที่บ้านของป้า และพบเห็นเสมอในหมู่บ้านของตนเอง...
แต่อาชีพเกษตรกรรม สำหรับคนที่ไม่เคยทำนั้น ก็ไม่ได้ง่ายและสบายอย่างที่คิด กว่าที่ผมจะค้นตัวเองเจอ และปรับชีวิตจากลูกจ้างมาเป็นนายตัวเองได้ ก็หนักหนาพอสมควร ไหนจะหนี้สินจากบัตรเครดิต ค่างวดรถที่ยังต้องผ่อน การดูแลครอบครัวที่ไม่เคยทำ ผมจะเริ่มตรงไหน อย่างไรดี โจทย์ชีวิตในตอนนี้ คือสิ่งที่ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ต่อไป...
*** ขอบคุณครับ แนะนำติชม ได้เลยครับ ***