คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เรื่องแย่ๆนี้ เกิดตั้งแต่สมัยเด็ก
ครั้งแรกที่ดิฉันจำได้ว่าถูกคุกคามคือ ตอนประมาณประถมปีที่สองหรือสาม ดิฉันโดนครูสอนว่ายน้ำที่เป็นทอมลวนลาม
อาจจะไม่ถึงคำว่าลวนลาม แต่ครูท่านนั้นก็ พยายามลากฉันไปกลางสระที่น้ำค่อนข้างลึกสำหรับเด็กประถม
และเพราะน้ำมันลึกฉันเลยต้องเกาะครูท่านนี้ ครูก็ จะคอยลูบแขน ขาและต้นขาตลอดเวลา และมันไม่ใช่กานสอนว่ายน้ำแน่ๆ
แต่ฉันก็เด็กเกินกว่าจะรู้จักคำว่าลวนลาม
ถัดมาอีกไม่นาน สมัยประถมปีที่ห้า ทางโรงเรียนได้มีการสอนวิชาเปียโนให้กับนักเรียนห้องพิเศษ
จึงทำให้มีนักเรียนไม่ถึง12คนต่อคลาส โดยห้องเรียนเปียโนจะอยู่ที่ชั้นห้า ซึ่งไม่มีห้องข้างเคียงเป็นห้องเรียนเลย
ครูคนนี้เป็นครูผู้ชายค่อนข้างวัยรุ่น เขามาแทนครูผู้หญิงอีกท่าน ซึ่งดิฉัน ณ ขณะนั้น ไม่เก่งเปียโนเลย แต่ต้องสอบให้ผ่าน ครูผู้ชายจึงให้ดิฉันมาซ้อม ตอนพักกลางวัน ซึ่งดิฉันก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่มาซ้อมกับครูสองต่อสอง พอตอนเที่ยงดิฉันเข้าห้องไป
ครูก็จะปิดประตูห้องทำให้ไม่มีใครมองเข้ามาได้ ซึ่งครูก็บอกว่าเพราะมันเป็นเวลาเที่ยง แดดมันส่อง
ครูก็จะสอนฉันกำหนดลมหายใจแต่ด้วยการเอามือมากดหน้าอก หรือบอกให้ฉันนั่งหลังตรง แล้วลูบหลังไปถึงก้น
ซึ่งน่าเศร้าที่เด็กน้อยคนนี้ก็ไม่รู้อีกเช่นกัน ว่ามันเป็นการลวนลาม
จนกระทั่ง ป.6 ก่อนจะจบจากโรงเรียนนี้ ถึงรู้ว่าการกระทำเหล่านี้คือการคุกคามทางเพศ จากครูสอนศิลปะ
เรื่องทั้งหมดถึงคลี่คลาย ครูสอนเปียโนจึงถูกไล่ออก ส่วนครูสอนว่ายน้ำนั้น ไปทำงานที่อื่นหลายปีแล้ว
หลังจากนั้น ไอ้เด็กโง่คนนี้ ถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเลิกนำตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและไม่ไว้ใจเพศตรงข้ามอีกเลย
แม้เขาจะมีหน้าที่ที่น่าไว้ใจเพราะเป็นครูบาอาจารย์ หรือคนที่มีตำแหน่งน่าเชื่อถือ
หลังจากนั้นดิฉันก็ย้ายไปต่างประเทศช่วงมัธยมต้น ทำให้ไม่พบเจอเรื่องแย่ๆพวกนี้อีก
และได้เห็นความแตกต่างในการปฏิบัติตัวของคนที่นี่ว่าแตกต่างจากประเทศไทยอย่างไร
มันทำให้ฉันไม่ค่อยกังวลเรื่องการถูกลวนลามอีก
ช่วงมัธยมปลาย ดิฉันกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง แต่คราวนี้ ดิฉันเข้าเรียนในโรงเรียนหญิงล้วน
และในการใช้ชีวิตนั้น ดิฉันก็ไปแค่บ้าน กับโรงเรียน และวันเสาร์อาทิตย์ ดิฉันก็แทบไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง
มักใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงแทน จึงไม่มีโอกาสให้ใครมาทำแย่ใส่
แต่แล้วพอดิฉันเติบโตขึ้นอีกก้าว และเริ่มศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ฉันก็พบว่า คนส่วนใหญ่ควบคุมการแสดงออกของร่างกายตนเองได้ต่ำมาก
เพราะดิฉันโตขึ้นและป้องกันตัวเองเป็นแล้ว เลยไม่มีสถานการณ์ที่ถูกลวนลามเหมือนตอนประถม
แต่กลับเจอสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แทน สายตาแทะโลมจากผู้ชายหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่และกดดันมาก
ดิฉันเจอตั้งแต่การมองของคนที่ตามถนนมองมาในรถตอนที่รถจอดติดไฟแดง
หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจมองดิฉันตอนที่ดิฉันไปแจ้งความเรื่องถูกแท็กซี่แทะโลมทางวาจา
และการมองรูปแบบนี้ เราไม่สามารถเอาผิดได้ การตอบโต้ก็เป็นไปได้ยาก
ครั้งแรกที่ดิฉันจำได้ว่าถูกคุกคามคือ ตอนประมาณประถมปีที่สองหรือสาม ดิฉันโดนครูสอนว่ายน้ำที่เป็นทอมลวนลาม
อาจจะไม่ถึงคำว่าลวนลาม แต่ครูท่านนั้นก็ พยายามลากฉันไปกลางสระที่น้ำค่อนข้างลึกสำหรับเด็กประถม
และเพราะน้ำมันลึกฉันเลยต้องเกาะครูท่านนี้ ครูก็ จะคอยลูบแขน ขาและต้นขาตลอดเวลา และมันไม่ใช่กานสอนว่ายน้ำแน่ๆ
แต่ฉันก็เด็กเกินกว่าจะรู้จักคำว่าลวนลาม
ถัดมาอีกไม่นาน สมัยประถมปีที่ห้า ทางโรงเรียนได้มีการสอนวิชาเปียโนให้กับนักเรียนห้องพิเศษ
จึงทำให้มีนักเรียนไม่ถึง12คนต่อคลาส โดยห้องเรียนเปียโนจะอยู่ที่ชั้นห้า ซึ่งไม่มีห้องข้างเคียงเป็นห้องเรียนเลย
ครูคนนี้เป็นครูผู้ชายค่อนข้างวัยรุ่น เขามาแทนครูผู้หญิงอีกท่าน ซึ่งดิฉัน ณ ขณะนั้น ไม่เก่งเปียโนเลย แต่ต้องสอบให้ผ่าน ครูผู้ชายจึงให้ดิฉันมาซ้อม ตอนพักกลางวัน ซึ่งดิฉันก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่มาซ้อมกับครูสองต่อสอง พอตอนเที่ยงดิฉันเข้าห้องไป
ครูก็จะปิดประตูห้องทำให้ไม่มีใครมองเข้ามาได้ ซึ่งครูก็บอกว่าเพราะมันเป็นเวลาเที่ยง แดดมันส่อง
ครูก็จะสอนฉันกำหนดลมหายใจแต่ด้วยการเอามือมากดหน้าอก หรือบอกให้ฉันนั่งหลังตรง แล้วลูบหลังไปถึงก้น
ซึ่งน่าเศร้าที่เด็กน้อยคนนี้ก็ไม่รู้อีกเช่นกัน ว่ามันเป็นการลวนลาม
จนกระทั่ง ป.6 ก่อนจะจบจากโรงเรียนนี้ ถึงรู้ว่าการกระทำเหล่านี้คือการคุกคามทางเพศ จากครูสอนศิลปะ
เรื่องทั้งหมดถึงคลี่คลาย ครูสอนเปียโนจึงถูกไล่ออก ส่วนครูสอนว่ายน้ำนั้น ไปทำงานที่อื่นหลายปีแล้ว
หลังจากนั้น ไอ้เด็กโง่คนนี้ ถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร และเลิกนำตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและไม่ไว้ใจเพศตรงข้ามอีกเลย
แม้เขาจะมีหน้าที่ที่น่าไว้ใจเพราะเป็นครูบาอาจารย์ หรือคนที่มีตำแหน่งน่าเชื่อถือ
หลังจากนั้นดิฉันก็ย้ายไปต่างประเทศช่วงมัธยมต้น ทำให้ไม่พบเจอเรื่องแย่ๆพวกนี้อีก
และได้เห็นความแตกต่างในการปฏิบัติตัวของคนที่นี่ว่าแตกต่างจากประเทศไทยอย่างไร
มันทำให้ฉันไม่ค่อยกังวลเรื่องการถูกลวนลามอีก
ช่วงมัธยมปลาย ดิฉันกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง แต่คราวนี้ ดิฉันเข้าเรียนในโรงเรียนหญิงล้วน
และในการใช้ชีวิตนั้น ดิฉันก็ไปแค่บ้าน กับโรงเรียน และวันเสาร์อาทิตย์ ดิฉันก็แทบไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะเป็นคนโลกส่วนตัวสูง
มักใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงแทน จึงไม่มีโอกาสให้ใครมาทำแย่ใส่
แต่แล้วพอดิฉันเติบโตขึ้นอีกก้าว และเริ่มศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ฉันก็พบว่า คนส่วนใหญ่ควบคุมการแสดงออกของร่างกายตนเองได้ต่ำมาก
เพราะดิฉันโตขึ้นและป้องกันตัวเองเป็นแล้ว เลยไม่มีสถานการณ์ที่ถูกลวนลามเหมือนตอนประถม
แต่กลับเจอสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แทน สายตาแทะโลมจากผู้ชายหลายคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่และกดดันมาก
ดิฉันเจอตั้งแต่การมองของคนที่ตามถนนมองมาในรถตอนที่รถจอดติดไฟแดง
หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจมองดิฉันตอนที่ดิฉันไปแจ้งความเรื่องถูกแท็กซี่แทะโลมทางวาจา
และการมองรูปแบบนี้ เราไม่สามารถเอาผิดได้ การตอบโต้ก็เป็นไปได้ยาก
สุดยอดความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
คุณผู้ชายคะ ช่วยกรุณาเลิกลวนลามผู้หญิงทางสายตาได้ไหมคะ ?
อ้างในการกระทำหลายๆอย่างของผู้คนก็ตาม) แต่ก็ยังมีการสอนเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา
สมัยประถม มัธยม ก็มักมีการจัดประกวดมารยาท ผู้หญิงก็ถูกสอนให้ทำตัวเป็นกุลสตรี
ผู้ชายก็ได้รับการพร่ำสอนในการทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ การให้เกียรติผู้อื่น
แม้กระทั่งวิชาสังคมพื้นฐานก็สอนเรื่องสิทธิและหน้าที่
ดิฉันซึ่งเป็นหนึ่งในผู้คุกคามจากผู้ชายหลายคนทางสายตาเสมอ และอาจจะทางอื่นด้วยเช่นกันแต่ดิฉันก็เชื่อว่าในสังคม
ก็ยังมีผู้ชายที่ให้เกียรติผู้หญิงและมีจิตใจดี คอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เช่นกัน ซึ่งดิฉันก็พบเจอทั้งสองประเภท
แต่ส่วนใหญ่ดิฉันก็มักจะพบแต่กลุ่มผู้ที่ไม่ได้รับการขัดเกลาทางมารยาททางสังคมและจิตใจบ่อยครั้งกว่า
หลายคนอาจจะถูกจ้องมอง หรือโดนแอบมองด้วยสายตาหื่นกามจากเพศตรงข้าม ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
ต่อให้คุณจะแต่งตัวเรียบร้อย หรือประพฤติตัวเหมาะสมแค่ไหน ก็มีโอกาสถูกมองได้กันทั้งนั้น หรือ คุณอาจจะพบเห็นผู้อื่นถูกมองด้วยสายตาแบบนี้
แต่หลายครั้ง หลายคนก็ปล่อยผ่านเรื่องพวกนี้ไป อาจจะด้วยเหตุผลว่า คุณไม่อยากมีปัญหา มันไม่ใช่เรื่องของคุณ
คุณผ่านเรื่องแย่ๆมาทั้งวันจนเหนื่อยเกินกว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อีกเพราะหากถ้าเทียบกับเรื่องอื่นมันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
หรือคุณอาจจะแค่ไม่ใส่ใจเพราะคุณก็ไม่ได้รู้จักคนที่ถูกมอง
คุณอาจจะบอกว่ามันอยู่ร่วมกัน ก็เลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะถูกมอง ใช่ค่ะ มันเลี่ยงการถูกมองไม่ได้
แต่มันเลี่ยงการจ้องผู้อื่นด้วยสายตาน่าขยะแขยงเหล่านั้นได้ หากดูดีๆแล้วคุณก็รู้ได้แหละ ว่าสายตาที่มองคนทั่วไปเดินผ่าน
สายตาชมนกชมไม้ สายตามองคนที่ชอบ คนรัก คนรู้จัก สายตาชื่นชม กับ สายตาหื่นกามอย่างออกนอกหน้าและไร้มารยาทคืออะไร
จะโทษว่าเขาแต่งตัวไม่เหมาะสม หรือทำตัวไม่ดีเอง ซึ่งต่อให้เขาจะเป็นยังไง รูปร่างหน้าตาแบบไหน ก็ไม่ควรจะไปจ้องมองเขาแบบนั้น
คุณผู้ชายอาจจะบอกว่า คุณก็โดนผู้หญิง หรือเคยเห็นผู้หญิงแทะโลมผู้ชายทั้งทางสายตาและวาจา
ดิฉันรับประกันได้เลยว่ามีผู้หญิงที่ทำแบบนี้น้อยกว่าผู้ชายทั้งหลายแน่ๆ แค่สรีระทางร่างกาย
ถ้าผู้หญิงทำแบบนั้นจนฝ่ายชายรู้สึกถูกคุกคาม
หากมีเรื่องกัน ผู้หญิงก็ไม่มีทางชนะผู้ชายหรอกค่ะ
ตรงกันข้าม ดิฉัน ผู้ซึ่งถูกคุกคามตั้งแต่ยังเด็ก ดิฉันพบเจอการลวนลามมาหลายรูปแบบ ทั้งร่างกายและสายตา หรือวาจา
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ฉันพยายามคิดว่าที่เกิดกับฉันบ่อย เพราะดวงดิฉันไม่ดี เลยเจอคนประเภทนี้บ่อยเท่านั้น
ฉันมั่นใจว่าดิฉันเป็นคนที่แต่งตัวไม่หวือหวาหรือโชว์สัดส่วนของตนเอง การแต่งกายของฉันก็ปกติเหมือนคนอื่นๆเขา ส่วนด้านพฤติกรรม ดิฉันก็มั่นใจว่าดิฉันก็ค่อนข้างเรียบร้อยและไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อีกเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้ว่าทำไมเรื่องพวกนี้เกิดกับฉันบ่อยเพราะดิฉันมีหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าใครเขา