พระธรรมาจารย์ ซุยยวิ๋น 虚云老和尚(ค.ศ.1840-1959) พระเถระนักปฏิบัติธรรม ผู้มีอายุถึง 118 ปี
ท่านเคยเดินธุดงค์ข้ามประเทศ และภาวนาเข้าฌานสมาบัติยาวถึง ๙ วันบ้าง ๑๘ วันบ้าง และท่านยังเคยเดินทางมาทำภาวนาที่เมืองไทย ในคราวนี้ขอนำเสนอ เวลาในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน ที่คล้ายๆ พระโมคัลลานะ คือถูกทำร้าย จึงแปลบ่างส่วนของบทความคร่าวๆที่ได้จากห้องเรียนอ.เจินเจิน มาฝาก ว่าพระเถระท่านได้ผ่านชีวิตในยุคคอมมิวนิสต์นั้นอย่างไร
พระธรรมาจารย์ ซุยยวิ๋น ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ เมื่อท่านอายุราว ๔๐ ปี ท่านได้กระทำการสักการะพระพุทธเจ้าด้วยการ เดิน ๓ ก้าว กราบ ๑ ครั้ง เหมือนที่ชาวทิเบตทำ จากภูเขาผู่ถัว ถึง ภูเขาอู่ไถ เพื่อเป็นการทดแทนคุณบุพการี ในช่วงที่ท่านนั่งเข้าฌานสมาบัติบนภูเขาสูงเป็นครั้งแรกนั้น ขณะที่ท่านกำลังต้มมันเพื่อฉันเป็นอาหาร ระหว่าที่รออยู่นั้นท่านได้ทำสมาธิรอ แต่ปรากฏว่า แม้อากาศบนภูเขาในขณะนั้นจะหนาว แต่ท่านกลับทำสมาธิรวดเดียว โดยไม่ลืมตาเลยเป็นเวลาถึง ๑๘ วัน ซึ่งเมื่อพระเพื่อนของท่านมาเยี่ยมในวันตรุษจีนจึงได้พบท่านนั่งทำสมาธิอยู่จึงได้เรียกชื่อท่าน ท่านซุยยวิ๋นจึงออกจากสมาธิและทราบว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วถึง๑๘ วัน อีกครั้งท่านได้เดินทางมาที่ประเทศไทยและได้เข้าฌานสมาบัติ ๙ วัน ปรากฎว่าหลังจากนั้นท่านก็ไม่สามารถขยับตัวได้เป็นเวลาหลายวัน ท่านจึงภาวนาถึงพระมหากัสสปะ ในคืนนั้นท่านฝันถึงพระภิกษุผู้สูงอายุรูปหนึ่ง โดยในฝันได้พระภิกษุรูปนั้นบอกท่านว่าอย่าอยู่ห่างจากจีวรและบาตร จงเอาจีวรและบาตรเป็นหมอน ทุกอย่างจะดีเอง ต่อมาไม่นาน ท่านจึงกลับมาขยับตัวได้ และท่านได้เข้าฌานสมาบัติอีกครั้งเมื่อบั้นปลายชีวิต
เมื่อท่านอายุ ๑๑๒ ปี เป็นช่วงยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ที่คอมมิวนิสต์มีความต้องการทำลายศาสนาและความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น เต๋า ขงจื้อ หรือแม้แต่พุทธศาสนา ในช่วงนั้นพระลูกวัดท่านจำนวน ๒๖ รูปถูกจับกุมและโดนทำร้าย ท่านจึงได้เข้าฌานสมาบัติโดยล็อกห้อง ไม่มีการส่งอาหารและน้ำ ในห้องมืดที่เหมือนถ้ำที่มืดทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อผ่านไปสามวัน พวกเรดการ์ด (อาสาสมัครเพื่อพรรคคอมมิวนิสต์) ๑๐ คนได้พังประตู และเข้าไปทำร้ายร่างกายท่าน ด้วยไม้และเหล็ก และลากท่านมาทำร้ายต่อที่พื้น แม้ว่าท่านจะโดนทำร้ายสักกี่ครั้ง ตัวของท่านจะกลับไปสู่ท่านั่งสมาธิและหลับตาเสมอ วันนั้นพวกเรดการ์ดได้ทุบตีท่านถึง ๔ ครั้ง จนคิดว่าท่านคงเสียชีวิตแล้ว จึงเดินทางกลับไป พอตกค่ำท่านซุยยวิ๋นจึงพยายามพยุงตัวขึ้นมาบนเตียงและกลับมาสู่ท่านั่งสมาธิอีกเหมือนเดิมในวันที่ ๕ พวกเรดการ์ดเข้ามาเห็นท่านยังคงอยู่ในท่านั่งสมาธิ จึงลากท่านลงมาที่พื้น แล้วรุมกระทืบท่าน เมื่อพวกนั้นกลับไป อุปัฏฐากได้พยุงท่านขึ้นบนเตียงอีกครั้ง ในเช้าวันที่ ๑๐ ท่านได้เปลี่ยนท่านั่ง เป็นท่าศรีไสยาส เมื่อใกล้เช้าวันที่ ๑๑ อุปัฏฐากได้ยินเสียงครางของพระเถระ จึงพยุงและบอกว่าท่านได้อยู่ในสมาธิกี่วัน พระเถระได้เล่าว่าในช่วงเข้าสมาบัติในสมาธิ ท่านได้ไปฟังธรรมที่ชั้นดุสิต ซึ่งท่านได้เล่ารายละเอียดอีกมากมายถึงเรื่องที่ท่านไปฟังธรรมกับพระศรีอริยเมตไต ที่สวรรค์ชั้นดุสิตเขตใน (จะนำมาแบ่งปันคราวต่อไปหากสนใจ)
ในช่วงหนึ่งที่พวกเรดการ์ดกลับมา แล้วเห็นท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกนั้นเริ่มประหลาดใจและเกิดความกลัวขึ้นในใจ หนึ่งในทีมเรดการ์ดจึงพูดถามพระลูกวัดว่า ทำไมพระเถระจึงยังไม่ตาย พระรูปนั้นได้ตอบกลับมาว่า
“ พระเถระผู้ชราได้ทนทุกขทรมาน และจะไม่ตาย ไม่เอาความ แม้ว่าพวกเธอจะกระทำท่านหนักสักเพียงใด
เพื่อเป็นการให้พรพวกเธอและเพื่อสักวันพวกเธอจะได้กลับใจ ”
ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเพื่อโปรดสัตว์ผู้ไม่รู้ ให้ได้มีโอกาสกลับใจไม่กล้าที่จะทำบาปอีก นอกจากนั้นหากท่านมรณภาพด้วยฝีมือของคนเหล่านี้ จะทำให้ผู้ที่ทำร้ายท่านมีบาปหนักติดตัวไป เพราะได้ฆ่าพระภิกษุผู้ทรงศีล ทรงธรรม จึงเห็นได้ว่าท่านซุยยวิ๋นเป็นพระเถระผู้มีความเมตตาอย่างไม่มีประมาณ
จะเห็นได้ว่าปัจุบันสังคมไทยเริ่มมีการใช้วาจาจาบจ้วงพระภิกษุ โดยไม่รู้เลยว่าพระเหล่านั้น ท่านเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรมขนาดไหน และด้วยความเมตตา ท่านจึงนิ่ง ไม่ตอบโต้ และกระทำศาสนกิจของพระภิกษุต่อไป แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้ที่ไม่รู้ว่าผลจากการพูดจาจาบจ้วงพระภิกษุผู้เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย นั้นมีผลร้ายแรงเพียงใด แต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีที่ประเทศของพวกเราก้าวยังไปไม่ถึงประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการเต็มใบ หรือถ้าถึงวันนั้นจริงๆ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คงต้องฝากไว้กับพุทธบริษัท 4 ทุกคน
อ้างอิงจากบทความวิชาการ Prof.Huimin Bhikksu, An Inquiry into master Xuyun’s experience of long dwelling in samādhi, Chung-Hua Buddhist Journal, Vol22, 45-68.
พระธรรมาจารย์ซุยยวิ๋น พระผู้ทรงธรรมมีมหาเมตตา แม้จะโดนทำร้ายแทบปางตาย
ท่านเคยเดินธุดงค์ข้ามประเทศ และภาวนาเข้าฌานสมาบัติยาวถึง ๙ วันบ้าง ๑๘ วันบ้าง และท่านยังเคยเดินทางมาทำภาวนาที่เมืองไทย ในคราวนี้ขอนำเสนอ เวลาในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่าน ที่คล้ายๆ พระโมคัลลานะ คือถูกทำร้าย จึงแปลบ่างส่วนของบทความคร่าวๆที่ได้จากห้องเรียนอ.เจินเจิน มาฝาก ว่าพระเถระท่านได้ผ่านชีวิตในยุคคอมมิวนิสต์นั้นอย่างไร
พระธรรมาจารย์ ซุยยวิ๋น ท่านเป็นพระนักปฏิบัติ เมื่อท่านอายุราว ๔๐ ปี ท่านได้กระทำการสักการะพระพุทธเจ้าด้วยการ เดิน ๓ ก้าว กราบ ๑ ครั้ง เหมือนที่ชาวทิเบตทำ จากภูเขาผู่ถัว ถึง ภูเขาอู่ไถ เพื่อเป็นการทดแทนคุณบุพการี ในช่วงที่ท่านนั่งเข้าฌานสมาบัติบนภูเขาสูงเป็นครั้งแรกนั้น ขณะที่ท่านกำลังต้มมันเพื่อฉันเป็นอาหาร ระหว่าที่รออยู่นั้นท่านได้ทำสมาธิรอ แต่ปรากฏว่า แม้อากาศบนภูเขาในขณะนั้นจะหนาว แต่ท่านกลับทำสมาธิรวดเดียว โดยไม่ลืมตาเลยเป็นเวลาถึง ๑๘ วัน ซึ่งเมื่อพระเพื่อนของท่านมาเยี่ยมในวันตรุษจีนจึงได้พบท่านนั่งทำสมาธิอยู่จึงได้เรียกชื่อท่าน ท่านซุยยวิ๋นจึงออกจากสมาธิและทราบว่าเวลาได้ผ่านไปแล้วถึง๑๘ วัน อีกครั้งท่านได้เดินทางมาที่ประเทศไทยและได้เข้าฌานสมาบัติ ๙ วัน ปรากฎว่าหลังจากนั้นท่านก็ไม่สามารถขยับตัวได้เป็นเวลาหลายวัน ท่านจึงภาวนาถึงพระมหากัสสปะ ในคืนนั้นท่านฝันถึงพระภิกษุผู้สูงอายุรูปหนึ่ง โดยในฝันได้พระภิกษุรูปนั้นบอกท่านว่าอย่าอยู่ห่างจากจีวรและบาตร จงเอาจีวรและบาตรเป็นหมอน ทุกอย่างจะดีเอง ต่อมาไม่นาน ท่านจึงกลับมาขยับตัวได้ และท่านได้เข้าฌานสมาบัติอีกครั้งเมื่อบั้นปลายชีวิต
เมื่อท่านอายุ ๑๑๒ ปี เป็นช่วงยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ที่คอมมิวนิสต์มีความต้องการทำลายศาสนาและความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น เต๋า ขงจื้อ หรือแม้แต่พุทธศาสนา ในช่วงนั้นพระลูกวัดท่านจำนวน ๒๖ รูปถูกจับกุมและโดนทำร้าย ท่านจึงได้เข้าฌานสมาบัติโดยล็อกห้อง ไม่มีการส่งอาหารและน้ำ ในห้องมืดที่เหมือนถ้ำที่มืดทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อผ่านไปสามวัน พวกเรดการ์ด (อาสาสมัครเพื่อพรรคคอมมิวนิสต์) ๑๐ คนได้พังประตู และเข้าไปทำร้ายร่างกายท่าน ด้วยไม้และเหล็ก และลากท่านมาทำร้ายต่อที่พื้น แม้ว่าท่านจะโดนทำร้ายสักกี่ครั้ง ตัวของท่านจะกลับไปสู่ท่านั่งสมาธิและหลับตาเสมอ วันนั้นพวกเรดการ์ดได้ทุบตีท่านถึง ๔ ครั้ง จนคิดว่าท่านคงเสียชีวิตแล้ว จึงเดินทางกลับไป พอตกค่ำท่านซุยยวิ๋นจึงพยายามพยุงตัวขึ้นมาบนเตียงและกลับมาสู่ท่านั่งสมาธิอีกเหมือนเดิมในวันที่ ๕ พวกเรดการ์ดเข้ามาเห็นท่านยังคงอยู่ในท่านั่งสมาธิ จึงลากท่านลงมาที่พื้น แล้วรุมกระทืบท่าน เมื่อพวกนั้นกลับไป อุปัฏฐากได้พยุงท่านขึ้นบนเตียงอีกครั้ง ในเช้าวันที่ ๑๐ ท่านได้เปลี่ยนท่านั่ง เป็นท่าศรีไสยาส เมื่อใกล้เช้าวันที่ ๑๑ อุปัฏฐากได้ยินเสียงครางของพระเถระ จึงพยุงและบอกว่าท่านได้อยู่ในสมาธิกี่วัน พระเถระได้เล่าว่าในช่วงเข้าสมาบัติในสมาธิ ท่านได้ไปฟังธรรมที่ชั้นดุสิต ซึ่งท่านได้เล่ารายละเอียดอีกมากมายถึงเรื่องที่ท่านไปฟังธรรมกับพระศรีอริยเมตไต ที่สวรรค์ชั้นดุสิตเขตใน (จะนำมาแบ่งปันคราวต่อไปหากสนใจ)
ในช่วงหนึ่งที่พวกเรดการ์ดกลับมา แล้วเห็นท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกนั้นเริ่มประหลาดใจและเกิดความกลัวขึ้นในใจ หนึ่งในทีมเรดการ์ดจึงพูดถามพระลูกวัดว่า ทำไมพระเถระจึงยังไม่ตาย พระรูปนั้นได้ตอบกลับมาว่า
เพื่อเป็นการให้พรพวกเธอและเพื่อสักวันพวกเธอจะได้กลับใจ ”
ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเพื่อโปรดสัตว์ผู้ไม่รู้ ให้ได้มีโอกาสกลับใจไม่กล้าที่จะทำบาปอีก นอกจากนั้นหากท่านมรณภาพด้วยฝีมือของคนเหล่านี้ จะทำให้ผู้ที่ทำร้ายท่านมีบาปหนักติดตัวไป เพราะได้ฆ่าพระภิกษุผู้ทรงศีล ทรงธรรม จึงเห็นได้ว่าท่านซุยยวิ๋นเป็นพระเถระผู้มีความเมตตาอย่างไม่มีประมาณ
จะเห็นได้ว่าปัจุบันสังคมไทยเริ่มมีการใช้วาจาจาบจ้วงพระภิกษุ โดยไม่รู้เลยว่าพระเหล่านั้น ท่านเป็นผู้ทรงศีล ทรงธรรมขนาดไหน และด้วยความเมตตา ท่านจึงนิ่ง ไม่ตอบโต้ และกระทำศาสนกิจของพระภิกษุต่อไป แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ผู้ที่ไม่รู้ว่าผลจากการพูดจาจาบจ้วงพระภิกษุผู้เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย นั้นมีผลร้ายแรงเพียงใด แต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีที่ประเทศของพวกเราก้าวยังไปไม่ถึงประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการเต็มใบ หรือถ้าถึงวันนั้นจริงๆ พระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร คงต้องฝากไว้กับพุทธบริษัท 4 ทุกคน
อ้างอิงจากบทความวิชาการ Prof.Huimin Bhikksu, An Inquiry into master Xuyun’s experience of long dwelling in samādhi, Chung-Hua Buddhist Journal, Vol22, 45-68.
https://www.youtube.com/watch?v=8trXO37lo6A