[CR] Do you believe in destiny? ณ Streert Art @ Penang

Do you believe in destiny? ณ Streert Art @ Penang



ปีนังเป็นรัฐหนึ่งทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศมาเลเซีย เป็นเมืองมรดกโลกที่ใครๆ ต่างโหยหาให้ได้ไปเยือนสักครั้ง ต้นแบบเมืองศิลปะฝาผนังชื่อดังของโลก และปีนี้เราตัดสินใจมาเที่ยวคนเดียวตามคำสั่งของหมอ (เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาสักพัก) จริงๆ คุณหมอเค้าแนะนำให้มาเที่ยวเฉยๆ แต่เราเลือกที่จะมาคนเดียว เปลี่ยวหัวใจ แต่สบายกาย และสบายใจ





เรื่องของเรื่องก็คือ มีหนุ่มชาวต่างชาติคนหนึ่ง มาถามเราว่า “Do you believe in destiny?”

การเดินทางมาปีนังครั้งนี้ นอกจากต้องการจะพักผ่อนแล้ว เรายังมีภารกิจสำคัญที่ตั้งใจไว้ ก็คือ การตามหา Street Art รอบเมือง จอร์จทาวน์  ลองเสิร์ท google คำว่า Penang Street Art ดูนะ เราชอบอะไรสไตล์นี้ ประมาณวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น แม้ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปแล้วก็ตาม  เราเลือกที่จะใช้วิธีการเดินเที่ยวชมเมือง เพราะอยากจะใช้เวลานานๆ ซึมซับวัฒนธรรมของที่นี่ให้มากที่สุด แต่บางคนก็เลือกที่จะปั่นจักรยาน ซึ่งมีให้เช่าตามทั่วไป ราคา 10-50 RM (ประมาณ 80-400 บาท) ต่อรองได้ผู้คนที่นี่ใจดี ระหว่างทาง มีคุณลุงคนหนึ่งชวนฉันดื่มน้ำชาและพูดคุยกันทั่วไป   พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย คุณลุงก็ยิ่งชวนคุยหนักเลย คุณลุงชอบเมืองไทย และพูดไทยได้นิดหน่อย   หลังจากคุยกันเสร็จ เราก็ได้โปสการ์ดมา 1 ใบ แล้วก็ถ่ายรูปคู่กับคุณลุงมาด้วย ยิ้ม

กลับมาเรื่อง Street Art ต่อ สองข้างทางเป็นตึก 2 ชั้น สไตล์ชิโน - โปรตุกีส   สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อธิบายง่ายๆ ประมาณว่า ตึกแถว 2 ชั้น ข้างบนเป็นหน้าต่าง 3 บาน โค้งๆ ข้างล่างเป็นประตูตรงกลาง อยู่ระหว่างหน้าต่าง เราอธิบายซะไม่น่ามาเที่ยวเลยมั้ย 555 ช่วงหน้าบ้านจะแคบ แต่ตัวบ้านจะลึกยาว   แล้วไอ้ภาพวาดฝาผนัง หรือ Street Art ที่เราตามหาเนี่ย ก็จะซ่อนอยู่ตามหลืบ ซอกซอยต่างๆ
และในที่สุดเราก็เจอ...



ภาพแรกที่เราเจอ แบบว่า ภาพฮิตเลย “เด็กหญิง ปั่นจักรยาน มีน้องชายซ้อนท้าย ทั้ง 2 หัวเราะไปด้วยกัน แล้วก็มีจักรยานของจริงวางอยู่ด้วย” กลายเป็นภาพวาดสามมิติเก๋ๆไปเลย นี่ถ้าอยู่เมืองไทย สงสัยจะโดนถอดล้อออกไป แล้วเอาถังขยะมาวางแทน แต่ก็เก๋ไปอีกแบบนะ   ภาพนี้อยู่ตรงหน้าซอย LEBUN AH QUEE   เราเป็นคนหนึ่งที่ต่อคิวรอถ่ายรูป นึกถึงสถานที่ในเมืองไทย ที่ไม่สนใจกับความสวยงามในการถ่ายภาพมากนัก ขอแค่มีภาพว่า ชั้นได้มาถึงที่นี่ ถ่ายรูปกะ Landmark แล้วก็โพสลงโซเชียล เป็นอันจบ เปลี่ยนที่ถ่ายรูปต่อ โดยไม่สนใจรอบข้างเลย

เสาไฟฟ้าที่อยู่ต่อแถวก่อนหน้าเรา เป็นผู้ชายสูง ผิวไม่ดำ ไม่ขาวมาก เราเลยเรียกเค้าว่าเสาไฟฟ้านะ ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาสั้น รองเท้าแตะ เราจะเรียกเค้าว่า “เสาไฟฟ้า” ละกัน เผื่อวันนึงเค้ามาอ่านเจอจะซวย คือเราตัวไม่เตี้ยนะ 555 โกหกผู้อ่าน บาปมั้ย? เออ เราตัวเตี้ย เตี้ยมากด้วย แต่เค้าสูงจริงๆ

“ถ่ายรูปให้ผมหน่อยได้ไหม เดี๋ยวผมถ่ายให้คุณด้วย” เค้าพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ เราก็พอจะฟังจับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ตอบตกลงไปเค้าก็เปิดตัวอย่างรูปให้ดูว่าจะให้ถ่ายแบบนั้น แบบนี้ ชิ.. มีการเอา reference มาให้ดูด้วย มาดูกล้องเรามั้ย เยอะกว่าอีก 555
ถ่ายเสร็จ ก็แยกย้าย...



เดินต่อไปอีกนิดก็เจอ “ประตูแดงพร้อมกับคุณลุงขี่มอเตอร์ไซด์” ปกติเวลาไปเที่ยว เราจะตั้งกล้องถ่ายรูปนะ คือแบบว่าไปคนเดียว จะเรียกคนอื่นให้ถ่ายรูปตลอดได้ไง  แล้วเราก็จะใช้เวลายืนมองอยู่สักพักเลยเราชอบศิลปะที่นี่ เพราะมันไม่ได้ทำแค่ภาพวาด แต่ยังมีอุปกรณ์ต่างๆ มาเพิ่ม ไม่รู้ทำไมแค่ภาพวาด บนพื้นผิวของตึก แค่นี้ มันถึงทำให้ภาพมีชีวิตชีวามากได้ขนาดนี้ เราสัมผัสมันได้.. ไม่ได้เอามือไปจับนะ เขาไม่ป้ายติดว่า Don’t touch! แต่แบบสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากจากงานศิลปะนี้ เรารู้สึกคล้ายกับเป็นอารมณ์ของการเสพงานศิลป์เลย เว่อร์ซะ 555



ระหว่างที่กำลังเดินออกมาจากซอย ก็ได้ยินเสียง  อีตาเสาไฟฟ้า ที่ถ่ายรูปให้กันเมื่อกี้ มันดักรออยู่ที่หน้าปากซอย เราก็แบบว่าสตั๊นไปแป๊บนึง แล้วก็เดินข้ามถนนหนีมัน คือแบบว่า มันเป็นซอยไม่ใหญ่ เราก็แบบว่า เดินเลี่ยงมัน มันคงจะพยายามชวนคุยอะไรสักอย่าง แต่เราก็แบบว่า เดินหนี มันก็ดูจ๋อยๆ ไปมั้ง (ออกแนวหลงตัวเอง) เราเริ่มออกเดินตั้งแต่เช้า พลังแดดมันก็เพิ่มความรุนแรง แรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แรงได้อีกระดับ  แต่จะบอกว่าพลังความร้อนของแดดบริเวณเส้นศูนย์สูตร ทำอะไรเราไม่ได้หรอก อาชีพของเราเป็นอาชีพที่ต้องตากแดดตากฝน จนผิวเราดำมาก จนกลับไปขาวไม่ได้แล้วหล่ะ ... ขอเวลาสัก 1 นาที ทำใจแปร๊บ *-*



ถึงแล้ว! ภาพ “บรู๊ซลี กระโดดถีบแมว” ภาพนี้ ซ่อนอยู่ในซอย Lorong Pitt กาลเวลาทำให้ภาพเริ่มเลือนลางเราไม่รู้เลยว่ามันมีอายุเท่าไหร่ ถูกวาดมานานแค่ไหนแล้ว  แล้วอยู่ๆเราก็รู้สึกเสียว....สันหลังวาบ เหมือนมีใครมองมา เรารู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง  เราเลยลองมองรอบๆ เพื่อค้นหาพลังงานนั้น   ไม่ใช่แค่สายตาที่มอง แต่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจของอีตาเสาไฟฟ้าแถมมาด้วย
“เจอกันอีกแล้ว ผมขอถ่ายรูปกับคุณได้ไหม?” คำทักทายของเค้ามาเยือนอีกครั้ง
“อืม โอเค” ฉันตอบสั้นๆ แต่ก็ส่งยิ้มแห่งสยามแบบแหยงๆ ไปให้เค้าด้วย

ปล.เสียใจที่อีตาเสาไฟฟ้ามัวแต่ชวนคุย จนไม่ได้ถ่ายรูป บรู๊ซลี เพราะมัวแต่จะหนีนางนั่นแหล่ะ.. *-*

เค้าก็พยายามเป็นมิตรนะ แต่เราก็กลัวๆอยู่ คุยกันก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ได้พี่ google translate นี่แหละที่ช่วยให้สื่อสารกันพอได้ แต่ก็นะ เราพิมพ์ภาษาไทย กดแปลเป็นภาษาอังกฤษ ส่งให้เค้า เค้าก็พิมพ์ภาษาอังกฤษ แล้วกดแปลเป็นภาษาเค้า ก็นะ สลับไปสลับมา ใช้เวลาแต่ก็สื่อสารได้

“จะไปไหนต่อ?” เราถามเค้า
“ไปกับคุณ” เค้าตอบมาพร้อมรอยยิ้ม
“พ่อง” เราคิดในใจ 555

เค้าก็เดินตามเรามาเรื่อยๆนะเพื่อถ่ายภาพฝาผนัง เราก็พยายามเดินแยก แต่เค้าก็เดินตาม เดินตามจนเราเริ่มจะรำคาญ   สุดท้าย เราก็ถ่ายรูปไปจนครบตามต้องการ ไม่ค่อยจะได้สนใจเค้าเท่าไหร่  พอบ่ายแก่ๆ เราก็ไปเที่ยวปีนัง ฮิลล์ต่อ  สตั๊นอีกครั้ง เมื่อเค้าตามขึ้นรถเมล์สาย 204 มาด้วย แล้วก็มานั่งข้างๆ

“พ่อง” เราคิดในใจอีกแล้ว แต่ถ้าพูดไปเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่องเนอะ ถึงจะเอาไปใส่ใน google translate ก็คงไม่รู้หรอกว่า “พ่อง” แปลว่าอะไร 555
“ไปกับคุณด้วยนะ” แล้วเค้าก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่คู่เรา
“พ่อง” เราคิดในใจซ้ำอีกครั้ง
“ขอกูยังจะถ่ายรูปกะกูเนี่ย” คิดในใจอีกแล้ว

ระหว่างอยู่บนรถ มันก็พูดอะไรไม่รู้ แล้วก็ชี้มาทางโทรศัพท์เรา เราก็งงๆ สุดท้าย มันก็คว้าโทรศัพท์เราไป Add Friend ใน Facebook เดาต่อได้มั้ยว่า เราคิดอะไรในใจ 555 แต่ท่าทีที่เป็นมิตร และรอยยิ้มที่อบอุ่นของเค้า (เหรอ?) ก็เริ่มทำให้เรากล้าที่จะคุยด้วยมากขึ้น เฮ้ย ! เราโสดนะ ไม่มีแฟน ไม่มีผัว ไม่มีกิ๊ก ไม่มีกั๊ก บอกไปแล้วว่า เราเตี้ย ดำ แต่ท่าทางดูรวมๆแล้วคงมีเสน่ห์ เหลือเดินนนนนน 555 (หลงตัวเองอะเกน)



ถึงแล้ว ปีนัง ฮิลล์ หรือ บูกิต บันดารา ค่าเข้า คนละ 30 RM (ประมาณ 300 บาท) นางก็เดินไปซื้อให้จ้า คือเข้าใจมั้ย เราเป็นหญิงเที่ยวคนเดียว แบบว่า ต้องการต่อต้านอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ เราจ่ายเองได้ เราอยากจ่ายเอง ไม่งั้นเราจะมาปีนังคนเดียวทำไม  นางก็ยื่นตั๋วให้ เราก็ทำหน้าบูดๆ เบี้ยวๆ แล้วยื่นเงินให้ แต่แบบ... นางเดินนำลิ่วไปเลย เราก็เลย..

“Hey!!! Thank you” พร้อมรอยยิ้มสยาม มารยาหญิงเล่มที่ 75

ปีนัง ฮิลล์ ยังคงเหมือนเดิม รถรางคนแน่นเหมือนเดิม   เดี๋ยวๆ ลืมบอกว่า ปีนัง ฮิลล์ คือ จุดชมวิวสูงสุดของเมืองปีนัง ออกแนว ดอยสุเทพ ที่สามารถเลือกได้ว่า จะเดินขึ้นเอง หรือจะขึ้นรถราง  คือ มันบ่ายมากแล้ว เราก็ไม่อยากจะซึมซับบรรยากาศมากแล้ว 555  เดินเอง 2 ชั่วโมงจ้า กลับอีก 2 ชั่วโมง แต่พอเดินได้จริงนะ แต่เราขอเอาเวลาไปกินละกันนะจ้ะ  

วันนี้ฝนตกนิดหน่อย ทำให้มีหมอกนิดๆ ละอองฝนกระจายไปทั่ว แต่นักท่องเที่ยว ยังคงถ่ายรูปกันทุกพื้นที่ ภาพที่ได้ สวยดี แตกต่างจากที่เราเคยมา

“Do you believe in destiny?” อีเสาไฟฟ้า บ่นอะไร?

เค้าถามเราตอนระหว่างที่เราเดินดูรอบๆ เราไม่ตอบ และขอกลับทันที  พอถึงท่ารถ เราก็แยกกัน   เค้าก็ชวนเราไปกินข้าวต่อนะ แต่แบบว่า เราคิดว่าคงพอแล้ว สนุกดีที่มีเพื่อนเที่ยวด้วย ได้ฝึกภาษา แต่แบบนี้ เราไม่ไหว เรากลัว  หลังจากแยกกันแล้ว เค้าก็ยังคงส่งข้อความมาชวนไปกินข้าว  เราก็แบบ เฮ้ย เราหญิงไทยนะ เรารักนวลสงวนตัว จะไปไหนกับคนที่เพิ่งรู้จักได้ยังไง ถ้าเป็นพรุ่งนี้ ก็ว่าไปอย่าง 555   แต่เราก็เข้าใจวัฒนธรรมเค้านะ  อ้าวลืมบอกไปว่า เค้าเป็นคนตุรกี ก็ไม่ถึงขนาดหน้าฝรั่งขนาดนั้น ออกแนว แขกขาว หน้าตาดี เหมาะกับ เตี้ยดำ อย่างเรา หนวดเครามีพอน่ารัก แค่คิดก็จั๊กกะจี๋แล้ว >///<”
“ขอบคุณ และขอโทษ” เราตอบเค้าไปแบบนั้น เราว่า ประมาณนี้พอแล้ว มันเป็นความทรงจำที่ดี ถ้ามากไปกว่านี้ อาจจะดีกว่านี้ เอ้ย! ไม่ใช่ มันคงจะจบไม่สวยแน่ ประมาณนี้มันดีมากแล้ว พอดีกว่า..

เรา unfriend เค้า จาก Facebook แล้วและถ้ามีโอกาสเจอกันอีก เราอยากจะตอบเค้าว่า

“I don’t believe in destiny”...
ชื่อสินค้า:   ท่องเที่ยวปีนัง,Street Art,เมืองมรดกโลก,ศิลปะ
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่