[CR] [รีวิวอัลบั้ม] Blonde - Frank Ocean >>> ไม่ผิดหวัง แค่ผิดคาด



Intro
.
.
ถ้าใครติดตามเพจของผมหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมช่วงนี้ผู้เขียนถึงชอบพูดถึง Frank Ocean บ่อยจัง ก็เพราะว่าผู้เขียนรู้สึกหลงไหลได้ปลื้มพี่แกมาตั้งแต่ channel ORANGE อัลบั้มชุดแรกที่รีลีสออกมาตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งมันเป็นอัลบั้มที่ผู้เขียนรู้สึกว่า มันมีอะไรหลายอย่างที่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความแปลกใหม่และวาไรตี้ของดนตรีและเนื้อหาที่เรียบเรียงได้อย่างแนบเนียน จนให้ความรู้สึกหลายๆอย่างปนกันทั้งฟังสนุก เพลิน หวือหวา มีสีสัน ดาร์ค และจรรโลงใจในเวลาเดียวกัน เข้าถึงได้ไม่ยากมาก มีอะไรหลายอย่างที่เดาไม่ได้เหมือนกัน มีจุดหักมุมบ้าง ทำให้เรารู้สึกว่านี่คืออัลบั้มที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว นี่แหละคือเสน่ห์ของงานชุดแรกที่ทำให้ผู้เขียนสนใจที่จะติดตามผลงานชุดต่อไปของเขาคนนี้อย่างใจจดใจจ่อ แล้วในที่สุด เราก็ได้ฟังผลงานชุดล่าสุดของแร็พเปอร์หนุ่มสุดติสต์ขวัญใจชาว LGBT อย่าง Frank Ocean ที่มีชื่อสั้นๆว่า Blonde กว่าเราจะได้ฟังอัลบั้มชุดนี้แบบเต็มรูปแบบนั้น ชุดนี้ผ่านโรคเลื่อนและเรื่องราวมาสารพัดเลยล่ะ เลื่อนการรีลีสมาหลายรอบหลายคราพอสมควร ตามที่เจ้าตัวเคยโพสต์รูปบัตรห้องสมุด Due Date  ที่มีการปั๊มวันที่หลายวัน ตอนแรกก็คิดจริงๆว่า วันที่สุดท้ายในบัตรห้องสมุดน่าจะเป็นวันรีลีสที่แน่นอนแล้ว สุดท้ายแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาแฟนเพลงถึงกลับผิดหวังอยู่ไม่น้อยจนเกือบถอดใจลืมโปรเจคต์นี้ไปเลยล่ะ แล้วสัปดาห์ต่อมาเฮียมหาสมุทรก็ทิ้ง clue เล็กๆน้อยๆด้วยการโพสคลิปวิดีโอที่ตัวเองนั่งนิ่งๆอยู่ใน Warehouse พร้อมมีเพลงบรรเลงขึ้นมาเป็นระยะ ความหวังเริ่มเพิ่มขึ้น เพราะอย่างน้อย ไม่ต้องรอเก้อถึงปีหน้าอย่างแน่นอน สองสัปดาห์ต่อมาในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม เฮียมหาสมุทรก็ปล่อยเซอร์ไพร์สชุดใหญ่ด้วยการปล่อย visual album ความยาว 45 นาทีที่ชื่อว่า Endless ซึ่งในเอ็มวีก็ยังคงใช้โลเคชั่น Warehouse ตามที่เคยโปรโมทไว้ผ่านเว็บไซต์ วิดีโอชุดนี้ก็สามารถทำให้ผมถึงกับตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เพราะซาวน์ดในวิดีโอชุดนี้มีซาวน์ดแปลกใหม่เยอะ พอเติมเต็มความคาดหวังว่ามาในสไตล์ channel ORANGE ได้เต็มสูบแน่ๆ แล้ววันมะรืนก็มาถึงวันที่อัลบั้มใหม่ชุดที่สองวางจำหน่ายในไอจูน มาพร้อมกับชื่อที่ไม่ใช่ Boys Don't Cry แต่มาในชื่อสั้นๆนามว่า Blonde เพลงจำนวน 17 แทร็คตามมาตรฐานของเฮียมหาสมุทร แน่นอนล่ะครับว่า การที่ศิลปินคนโปรดออกอัลบั้มมาสดๆร้อนๆ ผู้เขียนก็ต้องหยิบขึ้นมาฟังทันที ฟังไปฟังมาทั้งอัลบั้มกลับรู้สึกว่า

มันไม่ใช่อย่างที่คิด

เหมือนโดนพี่แกหลอกซ้ำสอง มันแตกต่างจากที่เราได้ยินใน Endless นี่หว่า เรียกได้ว่าหลอกหลายชั้นเลยล่ะครับ การโปรโมทในลักษณะนี้ ทำให้ผมนึกถึงการโปรโมทอัลบั้ม The Life Of Pablo ของ Kanye West ที่รีลีสเมื่อปีที่แล้วอย่างไงอย่างนั้นเลย ผมเชื่อว่าแผนการโปรโมทแบบหลอกไปหลอกมาเป็นแผนที่น่าสนใจที่ศิลปินน่าจะเอาไปใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน นอกจากจะโดนหลอกหลายชั้นแล้ว อัลบั้มชุดนี้เค้ามีแผนการตลาดที่เจ๋งมากๆ อาทิเช่นเปิด Pop up store ขายอัลบั้มชุดนี้โดยเฉพาะ แพ็คเกจจิ้งเก๋ๆทำมาเพื่อให้แฟนเพลงได้สะสมกัน ใครว่าแพ็คเกจจิ้งสวยๆจะอยู่ในลักษณะกล่องกระดาษสี่เหลี่ยม Booklet เล่มเล็กหลายหน้า แต่อัลบั้มชุดนี้เค้ามาในแบบนิตยสารเลยครับท่าน โดยนิตยสารดังกล่าวชื่อว่า Boys Don't Cry ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพี่แกก็ไม่ได้ทิ้งชื่อเก่าไปอย่างไร้ค่า เก๋รึเปล่าล่ะ ในงานเพลง Blonde ชุดนี้มีความแตกต่างจาก channel ORANGE มากพอสมควร ความจี๊ดจ๊าด ความมีสีสัน ความหวือหวาจากอัลบั้มชุดก่อนลดลงอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือความเป็นส่วนตัว เพลงอยู่ในระดับช้าๆเรียบๆ แอบมีลูกเล่นซ่อนอยู่นิดๆหน่อยๆ แต่เป็นลูกเล่นที่ฟังแล้วไม่ได้อยู่ในระดับที่หวือหวา ตื่นตาตื่นใจ อะไรที่เรียบง่ายๆดังกล่าวก็ซ่อนจุดที่หักมุม จุดที่ซับซ้อนในแต่ละเพลงได้อย่างน่าสนใจ ทำให้คาดเดาอะไรไม่ได้ตั้งแต่แรกฟัง งานชุดนี้เป็นจึงเป็นงานที่ไม่ได้เสพง่ายซะทีเดียว ไม่ต้องแปลกใจถ้าหากฟังครั้งแรกแล้วยังไม่เก็ทและเข้าถึงได้อย่างทันท่วงที ผู้เขียนก็เป็นเช่นนั้น

1
.
.
เปิดอัลบั้มด้วยซิงเกิ้ลแรก Nikes ที่จิกกัดความเป็นวัตถุนิยมของคนสมัยนี้ที่เริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆจนไม่เหลือไว้ซึ่งความรักที่แท้จริงให้แก่กันอีกต่อไป โดยเฮียมหาสมุทรเลือกที่จะใช้รองเท้าชื่อดังเป็นตัวแทนความอยากได้อยากมีของคนสมัยนี้ dream music แฝงอารมณ์เหงาลอยๆนิดนึง เสียงออโต้จูนกับเสียงจริงกินไปอย่างละครึ่ง ด้วยความที่ผมไม่ชอบออโต้จูนเป็นทุนเดิม ตอนแรกก็รำคาญ แอบบ่นในใจ นี่เอาจริงหรอว่ะเนี่ย แต่พอดูสาส์นที่เฮียมหาสมุทรต้องการสื่อในเพลงนี้ ก็พอรับได้ในระดับนึง อย่างน้อยก็ไม่ใส่ไปตามเทรนด์ แต่ต้องการสื่อถึงการประชดประชันนั่นเอง ถือเป็นเพลงเปิดที่เล่นของยากกันตั้งแต่เนิ่นๆ Ivy โซโล่กีตาร์เปลือยๆมาแบบชิวๆแต่เนื้อหาแอบเฮิร์ทพูดถึงการกล่าวโทษตัวเอง ความผิดพลาดต่างๆนาๆในอดีตที่ผ่านมาที่เป็นเหตุทำให้สัมพันธ์กับคนรักล้มเหลวไม่เป็นท่า ในข่วงท้ายสังเกตได้ว่าแฟรงค์ใช้ออโต้จูนบิดเบี้ยวๆและเสียงทำลายข้าวของ เป็นการสื่อถึงอาการปรี๊ดแตกอย่างเห็นได้ชัด แทร็คนี้เป็นการใส่ความขมกันตั้งแต่เนิ่นๆ เบรคความขมด้วยเมนูหวานนิดๆอย่าง Pink+White ผู้เขียนเชื่อว่าผู้ฟังน่าจะหลงใหลในเพลงนี้ตั้งแต่แรกฟังอย่างแน่นอน เสียงเปียโนเรียบเรียงได้อย่างละมุนมากๆ ดูมีพลังบวกและจรรโลงใจมากที่สุดในชุดนี้แล้วล่ะครับ เมื่อเทียบกับเพลงอื่น เนื้อหาไปในทาง น18+ โจ๋งครึ้มเอามากๆ Pink สื่อถึงจุดซ่อนเร้นของเพศแม่ ส่วน White สื่อถึงผงขาว เพลงนี้จึงเป็นตัวแทนแห่งความสุขที่มีกิเลสมาครอบงำ เพ้อฝันไปเรื่อย ได้ Pharrell Williams และ Tyler The Creator มาโปรดิวซ์ให้ แขกรับเชิญระดับตัวแม่ Beyonce มาร่วมแจม ใครที่คิดว่าน่าจะมาร้องดูเอ็ท คิดผิด เพราะเจ๊แกมาร้องโหยหวนเป็นแบ็คอัพ คือต่อให้ไม่มีเจ๊บี เฮียมหาสมุทรก็สามารถขับเคลื่อนเพลงได้คนเดียวสบายๆ
เบรคด้วย skit สั้นๆ Be Yourself เจ้าของเสียงที่คอยตักเตือนไม่ให้เฮียแฟรงค์ดูดสมุนไพรตามคนอื่นและเชื่อตามสัญชาตญาณตัวเอง เป็นตัวของตัวเอง นั่นก็คือ แม่ของเฮียแฟรงค์ นั่นเอง ซึ่งเป็นอะไรที่เราคุ้นเคยกันอย่างดีจากอัลบั้มชุดที่แล้ว ในแทร็คที่ชื่อว่า Not Just The Money ที่เคยเตือนเรื่องเงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่คราวนี้เป็นการเตือนไม่ให้แฟรงค์ใช้ชีวิตไปวันๆกับการดูดปุ๊นจนไม่เป็นอันทำอะไร ต่อด้วยโหมดอยู่อย่างเหงาๆอย่าง Solo ถึงเพลงจะพูดถึงเรื่องการรักตัวเองอยู่เป็นเนืองๆ สุดท้ายเราก็โหยหาใครสักคนมาคอยอยู่เคียงข้างแก้เหงาอยู่ดี ตอกย้ำความเหงาอยู่ดี

2
.
สลับมาในโหมดชิว Skyline To เพลงนี้ได้ Kendrick Lamar มาร่วมแจม ฟังไปทั้งเพลง ห๊ะ มันได้พูดห่าไรมั้ยเนี่ย แอบผิดหวังนิดนึง น่าจะให้เคนดริกแร็พนิดๆหน่อยๆเป็นการสร้างสีสันนิดนึง แต่ที่ไหนได้มาแค่เป่าลมซะงั้น คือแทบจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเพลงด้วยซ้ำ Self Control เพลงนี้ได้ศิลปินหน้าใหม่อย่าง Yung Lean แร็พเปอร์ชาว Swedish มาร้องท่อนฮุคทำเสียงเล็กเสียงน้อย และ Austin Feinstein นักร้องนำวง Sollow Hollow มาร้องท่อนฮุคปิดท้ายเพลง เสียงร้องเอื้อนๆเคล้าคลอกับโซโล่กีตาร์โปร่ง ไม่มีอะไรซับซ้อน เข้าถึงง่ายตั้งแต่แรกฟัง เปิดได้เท่ห์มากๆ ส่วนช่วงท้ายเพลงนี่โคตรบิ้วท์อารมณ์สุดๆ ใครที่เพิ่งอกหักมาใหม่ๆนี่อาจบ่อน้ำตาแตกได้ ขนาดผมยังไม่มีมูดนี้ ยังรู้สึกขมขื่นแบบบอกไม่ถูกเลยล่ะ I, I, I / Know you gotta leave, leave, leave / Take down some summer time / Give up, just tonight, night, night / I, I, I / Know you got someone comin' / You're spitting game, oh you got it เป็นท่อนตัดใจที่โคตรเศร้าเลยล่ะครับ ผู้เขียนเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว เลยอินกับเพลงนี้จนต้องฟังซ้ำหลายรอบเลยครับ ถึงโครงสร้างเพลงจะไม่ซับซ้อน ง่ายต่อการ cover แต่การถ่ายทอดอารมณ์ของเฮียแฟรงค์ยิ้มกินขาดจริงๆ คนที่คิดจะ cover อาจมีคิดหนัก Good Guy เป็น skit สั้นๆจุดเริ่มต้นการอารัมภบทแบบเกย์ๆ ซึ่งมาจากประสบการณ์จริงล้วนๆ ที่เคยโดนผู้ชายคู่เดทของตัวเองพาไปบาร์เกย์ แต่พี่แกกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกจริงจังกับเขา อยากคบแบบฉาบฉวย เลยทำให้แฟรงค์ตัดสินใจทำ skit นี้เป็นการตัดพ้อ
ต่อด้วย Nights เพลงยาว 5 นาทีกว่าพาร์ทแรกเป็นจังหวะคึกคักเสียงสังเคราะห์ที่เป็นพื้นหลังโดดเด่นดี แร็พนิดๆ พอถึงพาร์ทสองในช่วงครึ่งหลังเปลี่ยนโทนมาในจังหวะ soul เรียบๆ ให้อารมณ์ Night Vibe เต็มๆ เป็นเพลงยาวที่ฟังได้เพลินๆไม่มีเบื่อ ตบด้วย Solo (Reprise) ที่ได้
Andre 3000 ที่เคยร่วมงานมาแล้วในเพลง Pink Matters คราวนี้พี่แกขอแร็พลุยเดี่ยว แร็พรัวโคตรโหดเลย กระชากอารมณ์สุดๆ สมแล้วที่พี่แกเป็นแร็พเปอร์ในตำนานตัวจริง ยอมใจให้แกลุยเดี่ยวแยกไปเลย ต่อด้วย Pretty Sweet เพลงนี้มีลูกเล่นที่น่าสนใจมากที่สุด มาทั้ง Heavy และบีทอันซับซ้อนรวมไว้ในเพลงเดียว เป็นแทร็คที่เล่นของยาก

3
.
นอกจากนี้ยังมีการจิกกัดสังคมก้มหน้าใน Skit ชื่อว่า Facebook Story โดยมี SebastiAn โปรดิวซ์เซอร์ชาวฝรั่งเศสเพื่อนร่วมงานของแฟรงค์เป็นคนถ่ายทอดเรื่องราวที่ตัวเองมีปัญหากับแฟนเรื่องไม่ยอมรับแอดเฟรน ที่พี่แกไม่รับแอดเนื่องจาก อยากมีความมีความสัมพันธ์กับเธอบนโลกแห่งความจริงมากกว่าโลกโซเชี่ยล Close To You แทร็คร้องสั้นๆความยาวเพลงเท่ากับแทร็คที่แล้วเป๊ะ แต่มีมีนนิ่งเกี่ยวโยงจากแทร็คที่แล้ว การเล่นซาวน์ดอิเล็กทรอนิกส์บิดๆเบี้ยว เป็นการสื่อถึงโลกโซเชี่ยลได้ดี เป็นการโคฟเวอร์เพลงของ Stevie Wonder อีกทีนึง

4
.
ช่วงท้ายอัลบั้มขอบอกว่าดาร์กและหดหู่เอาการครับ เริ่มตั้งแต่ White Ferrari อคลูสติคเงียบๆให้อารมณ์ชิวๆกับปลงในเวลาเดียว กัน ทิ้งให้เราด่ำดิ่งกับความดาร์คสุดขีดด้วยเพลงจังหวะโหวงเหวง Seigfried ชื่อจำยากนิดนึง แต่แฟรงค์แกถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงมากๆทั้งการร้องและแร็พ ตั้งแต่ต้นยันจบเพลง มันเป็นเพลงที่ขยี้ประเด็น LGBT ได้เรียลสุดๆ ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายที่เสรีในเรื่องพวกนี้แล้ว แต่คนในสังคมยังคงตัดสินเรื่องพวกนี้เป็นรักต้องห้ามอยู่ดี ผู้เขียนคิดว่าเพลงนี้มันครอบคลุมประเด็นเฮิร์ทไว้ครบถ้วนเลย ทั้งรักต้องห้าม ผิดหวังในความรัก Low Self Esteem ถึงคุณจะไม่ใช่คนกลุ่มนั้น ถ้าได้ลองฟังเพลงนี้ก็เข้าถึงเหมือนกัน Godspeed เป็นแทร็คสั้นแต่คอรัสประสานเสียงโดดเด่น ปิดท้ายด้วย Futura Free เป็นการส่งสาสน์ให้แฟนเพลงรับรู้ถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาที่มีทั้งเรื่องสุขและทุกข์ปนเปกันไป การค้นพบตัวเองในเรื่องรสนิยมทางเพศที่ชัดเจนมากขึ้น มีการพูดถึง 2Pac แร็พเปอร์ในตำนานที่ตนเองยังเชื่ออยู่ว่า เขายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งมันทำให้เขาค้นพบว่า ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากใช้ชีวิตสันโดษ ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย  ดนตรีในเพลงนี้ช้าๆแต่งดงามมากครับในพาร์ทสองเป็นบทสัมภาษณ์ของ Ryan Breaux น้องชายของแฟรงค์ถูกสมาชิกกลุ่ม Illegal Civilization รวมอยู่ในเพลงด้วย ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องจับประเด็นไม่ออกเหมือนกันว่าต้องการสื่อถึงอะไร แต่สิ่งที่ผมสามารถสัมผัสได้คือการแชร์ทัศนคติของไรอันที่เป็นธรรมชาติและมีความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกประทับใจนะ จนผมเองต้องยอมฟังให้จบเพลงเลย
ชื่อสินค้า:   ไฟล์เพลงไอจูนอัลบั้ม Blonde - Frank Ocean
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่