สวัสดีครับทุกคน (ยาวมากแต่อ่านเถอะครับ เชื่อว่ามีประโยชน์กับทุกท่านแน่นอน กับการเกือบตายในชีวิตของผม) !! เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 59 ผมเป็นสโตรค (Stroke) หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า “เส้นเลือดสมองตีบ” เมื่อรู้ตัวว่าไม่ปกติผมรีบไปโรงพยาบาลเลยเพื่อรับการรักษาทันที และเป็นการแอดมิดโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิตผม !! แต่ตามหลักปกติมันต้อง 3 ชม.อย่างเร็วสุดเพื่อกินยาละลายลิ่มเลือด แต่ผมเกือบวันก่อนที่จะรู้ตัวแล้วค่อยไปโรงพยาบาล มันไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดกับคนที่อายุยังน้อยเพราะปกติโรคนี้จะเกิดกับคนที่อายุมาก อาการที่ผมเป็นนะเหรอครับ เริ่มจากตาเบลอลืมตามาทุกอย่างเป็นภาพซ้อน หลังจากนั้นสิ่งที่เกิดกับผมตามมาระหว่างแอดมิดอยู่โรงพยาบาลคือ
…..
.......แขนขา !! หมดแรงชาทั้งซีกขยับยาก มันไม่สนุกเลยเพราะจากคนที่มีแรงกลายเป็นยกแขนแทบจะไม่ขึ้น เดินได้ 3 ก้าวแล้วจะล้มเอา เดินไม่ตรงอีก
…...การพูด !! พูดไม่ได้ ไม่ชัด คิดภาพคุณอ่าง เถิดเถิงเลยครับ แถมไม่ชัดและออกเสียงไม่ได้บางตัวอักษรอีก เปล่งเสียงได้ไม่ถึงนาทีก็จะเป็นลมแล้ว
…..การมอง !! เมื่อลืมตาขึ้นมาจะมองภาพที่อยู่ข้างหน้าสมองจะเบลอ ทำให้มองทุกอย่างเป็นภาพซ้อน ยิ่งลืมตานานเท่าไรยิ่งปวดตาและสมอง
…...นอกจากนั้นระบบการทำงานทุกอย่างของร่างกายรวนหมด เดิน พูด มอง แทบไม่ได้
……
สภาพจิตใจของผมตอนนั้นท้อ โคตรท้อนะเลยครับ จากคนที่เคยมีแรง เล่นบาสเกตบอล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำงานด้านการใช้เสียงหมด อาชีพที่ผมทำไม่ว่าจะเป็นผู้บรรยายกีฬาบาส NBA ของ true / วิทยากรให้ความรู้กับสถาบันต่างๆ / พิธีกรอีเวนท์งานต่าง รวมถึงบริษัทส่วนตัวของผม ซึ่งมันต้องใช้เสียงและร่างกายหมด แต่กลับกลายเป็นทำอะไรไม่ได้เลย ท้อครับ ร้องไห้เลยเพราะคิดในใจมันคงเป็นสิ่งที่แย่มากถ้าเรากลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เลย ทางรักษาที่ผมทำขณะอยู่ที่โรงพยาบาลหนักเอาการเช่นกันไม่ว่าจะเป็น
…..CT Scan !! การสแกนร่างกายเพื่อหาความผิดปกติเบื้องต้น
…..MRI !! ต้องทำถึง 2 ครั้งใน 4 วัน โดยเข้าเครื่องเล็กๆเท่ากับร่างกายพอดีมองบน ซ้าย ขวา เจอแต่ผนัง เสียงดังหนวกหู หายใจไม่คล่อง แถมต้องอยู่ในเครื่องครั้งละชั่วโมงเลย อึดอัดมาก
…..EKG !! ติดเครื่องวัดความผิดปกติของหัวใจ ต้องติดจุดเล็กๆสิบกว่าจุดบนหน้าอก พร้อมทั้งห้อยเครื่องวัดนาน 1 วัน เพื่อหาคลื่นหัวใจที่ผิดปกติ
…..กลืนกล้อง !! เพื่อตรวจวัดหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยผมต้องกลืนหลอดที่มีกล้องความหนาขนาดนิ้วชี้ ต้องฉีดยาชา โป๊ะยากึ่งสลบเพื่อให้ไม่อ้วกออกมา อันนี้น้ำตาไหล เพราะอึดอัดมาก
…..ยา !! กินวันละประมาณเกือบๆ 20 เม็ดต่อวันเลย ทั้งๆที่เกิดมาก็ไม่เคยทานยาอะไรเลย
…….
หลังจากที่อยู่โรงพยาบาลนานกว่า 6 วันไม่สามารถทำอะไรได้ กึ่งพิการ คุณหมอมาบอกว่า “คุณเป็นเส้นเลือดสมองตีบนะ แต่จุดมันเล็กเลยกระทบไม่มาก” ผมคิดในใจนี่ขนาดกระทบไม่มากนะ หมอบอกต่อว่า “มันเกิดจากหลายอย่างคุณนอนน้อย ไขมันในเส้นเลือดสูง มีลิ่มเลือด เลือดข้น ความดันสูง ความเครียดชีวิตงาน ลิ่มเลือดกับไขมันเลยเยอะและไปตกค้างในส่วนเส้นเลือดสมอง” ฟังเสร็จน้ำตาผมไหล จะร้องก็ร้องไม่ออกเสียงไม่มี จะลืมตาก็ปวดตา หมอบอกสั้นๆว่า “กายภาพนะ และเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตแล้วจะดีขึ้น สุ้นะ !!" หมอสุรัชต์บอกผม
.....มันเป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ร่างกายเปลืองเกินไป และนี่คงเป็นการเตือนในฉบับย่อ และในใจผมคิดอย่างเดียว “ไม่ยอมให้ชีวิตเป็นแบบนี้แน่” ในเมื่อเป็นได้ก็หายได้สิวะ !! และเมื่อหมอให้ออกจากโรงพยาบาลสามวันแรกผมไม่สามารถทำอะไรเองได้ โคตรรู้สึกเป็นภาระกับทุกๆคนรอบๆตัวเลย แต่คำสั้นๆที่ผมท่องเสมอ “กูไม่ยอมแพ้ กูไม่ยอมแพ้”
……..
......5 วันหลังจากออกจากโรงพยาบาล (8 ส.ค. 59) ผมเริ่มหัดเดินที่ลู่วิ่งที่บ้านวันละ 40 นาทีเพราะถ้ามากกว่านั้นตายแน่ เพราะต้องหลับตาไปเดินไป แถมจะเป็นลมอีก รวมถึงเปิดตาเมื่อไรมองได้ไม่เกิน 5 นาทีมึนหัว เริ่มหัดพูดวันละ 4 ชั่วโมง สวดมนต์เช้าเที่ยงก่อนนอนแบบออกเสียงแม้จะไม่ชัด ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ต้องทำเพราะถ้าไม่ทำก็เท่ากับไม่เปลี่ยนแปลง หัดเดิน หัดพูด หัดกิน ฝึกมอง ไปกายภาพการเดินและเสียงที่พระมงกุฏ ถามคุณหมอว่า “ปกติจะกลับมาเดินได้พูดได้เร็วสุดประมาณไหนครับ” หมอบอกว่า “แล้วแต่นะเร็วๆก็ 3 เดือนบ้าง หรือไม่เป็นปีก็มีหรือถ้าอยากเร็วกว่านั้นก็ทำมากได้มากแหละ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมมากายภาพเพิ่มเองที่บ้านมากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้น เขียนโปรแกรมตารางให้ตัวเองเพราะเชื่ออย่างเดียว “เชื่อว่าทำได้ ชีวิตนี้จะต้องกลับมามองเห็น พูดได้ เดินคล่อง"
…….
9 วันหลังจากไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต (17 ส.ค.) ผมเริ่มกลับมาแล้วครับ
.....จากเดินเยาะแยะ มาเป็นสามารถวิ่งได้ติดต่อกัน 30 นาทีที่ความเร็ว 7.5 km/hr
......จากไม่มีเสียงพูดไม่ได้ เริ่มกลับมาพูดชัดเหมือนเดิมออกเสียงได้ชัดเจนเหมือนตอนที่ทำงาน ราวๆเกือบ 100% แล้ว
…..จากมองไม่ค่อยได้ กลับมามองเห็นและมองนานๆได้ดั่งเดิมโดยไม่ปวดตา
…..จากที่กินไม่ค่อยได้ก็กลับมากินข้าว ดื่มน้ำได้ และมากขึ้น แต่สิ่งที่ดีขึ้นคือน้ำหนักผมลดไป 5 kg. เลย
ขอบคุณบทเรียนชีวิตบทนี้มาก มันโคตรมีค่ามากมายมหาศาล ของแบบนี้เชื่อผมเถอะครับอย่ามาเป็นแบบผมเลย ผมนึงถึง 2 คำสอนของพระพุทธเจ้าเลยที่ท่านตรัสว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” “จงอย่าประมาทกับชีวิต” ค่ารักษาพยาบาลหลายแสนแต่มันไม่สำคัญเท่ากับที่ทำให้ผมคิดอะไรได้เยอะมากมาย
……..
ผมรักครอบครัวผมมากขึ้นอย่างมาก คนในครอบครัวที่ไม่เคยทิ้งกันไม่ว่าสภาพผมจะอนาถขนาดไหน ญาติทุกคนที่ส่งกำลังใจให้ คนรอบตัวเพื่อนๆที่สนิท กลุ่มเพื่อนทุกคน กลุ่มคนรู้จักและไม่รู้จักที่ส่งกำลังใจมาให้ไม่ว่าจะข้อความส่วนตัว ไลน์ มาบอกทั้งทางแก้ ส.ส.เกรียงที่ให้เพื่อนสนิท ผอ.โรงพยาบาลวิชัยยุทธมาดูแลเคสผมแบบดีที่สุด น้องๆทีม Zeleb team น้องๆที่เป็นคุณหมอหลายท่านก็ส่งรายละเอียดต่างๆมาให้ น้องๆเทรนเนอร์ฟิตเนส นักโภชนาการหลายคนที่เขียนรายละเอียด รายการอาหารที่ควรทาน เพื่อหมอที่เชี่ยวชาญการกายภาพที่ให้คำแนะนำเสมอ รวมถึงกำลังใจของทุกท่านที่ส่งมาถึงผม
…….
......ผมขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาผมจากใจจริงๆ กราบขอบพระคุณถึงน้ำใจที่มีมาเสมอและจิตใจที่ดี จนผมนั้นร้องไห้และซาบซึ้งในความเป็นห่วงที่ทุกคนมีมาจริงๆ ขอให้ทุกคนอย่าประมาทกับชีวิต มีความสุขในชีวิต เดินทางสายกลาง ขอให้คนที่กำลังเป็นโรคนี้ขอให้หายไวไว หายแน่นอนเชื่อผมถ้าคุณสู้ โรคนี้แพ้คุณแน่นอนครับ !!.....ผมเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บอกว่า เป็นได้ก็หายได้ครับ แต่หลังจากนี้ต้องดูแลตัวเองและอย่าเป็นอีก เพราะมันไม่สนุกเลย อย่าเป็นกันเลยนะเส้นเลือดสมองตีบเนี่ย
.......
ปล. - สิ่งหนึ่งที่น้ำตาซึมคุณพ่อบอกว่า “แกไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรแล้วว่าแกเก่ง ทำได้ หรือทำให้ทุกคนภูมิใจ แกทำมันได้แล้ว แกต้องรักษาตัวให้ดีนะ อย่ายอมแพ้ หายได้ เรื่องเงินทองอะไรมันของนอกกาย ถ้าแกไม่พอแกบอกพ่อ พ่อมีให้แกทั้งชีวิต แต่ถ้าแกเป็นอะไรไปแบบนี้ไม่เอานะ ทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง”....ซึ้งสุดๆ ว่าแล้วหายดีก็ไปขอตังค์พ่อใช้เลยดีกว่า
แม้ว่าตอนนี้ผมยังไม่ 100% ดีก็ตาม แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็กลับมาราวๆ 75% แล้ว หมอห้ามขับรถ และเหลือกายภาพตรงใบหน้าซีกซ้ายนิดหน่อย แต่มาได้ขนาดนี้ผมก็ดีใจแล้วครับ.....เหมือนเกิดใหม่จริงๆ
ประสบการณ์เกือบตายกับเส้นเลือดสมองตีบของผม !!
…..
.......แขนขา !! หมดแรงชาทั้งซีกขยับยาก มันไม่สนุกเลยเพราะจากคนที่มีแรงกลายเป็นยกแขนแทบจะไม่ขึ้น เดินได้ 3 ก้าวแล้วจะล้มเอา เดินไม่ตรงอีก
…...การพูด !! พูดไม่ได้ ไม่ชัด คิดภาพคุณอ่าง เถิดเถิงเลยครับ แถมไม่ชัดและออกเสียงไม่ได้บางตัวอักษรอีก เปล่งเสียงได้ไม่ถึงนาทีก็จะเป็นลมแล้ว
…..การมอง !! เมื่อลืมตาขึ้นมาจะมองภาพที่อยู่ข้างหน้าสมองจะเบลอ ทำให้มองทุกอย่างเป็นภาพซ้อน ยิ่งลืมตานานเท่าไรยิ่งปวดตาและสมอง
…...นอกจากนั้นระบบการทำงานทุกอย่างของร่างกายรวนหมด เดิน พูด มอง แทบไม่ได้
……
สภาพจิตใจของผมตอนนั้นท้อ โคตรท้อนะเลยครับ จากคนที่เคยมีแรง เล่นบาสเกตบอล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำงานด้านการใช้เสียงหมด อาชีพที่ผมทำไม่ว่าจะเป็นผู้บรรยายกีฬาบาส NBA ของ true / วิทยากรให้ความรู้กับสถาบันต่างๆ / พิธีกรอีเวนท์งานต่าง รวมถึงบริษัทส่วนตัวของผม ซึ่งมันต้องใช้เสียงและร่างกายหมด แต่กลับกลายเป็นทำอะไรไม่ได้เลย ท้อครับ ร้องไห้เลยเพราะคิดในใจมันคงเป็นสิ่งที่แย่มากถ้าเรากลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่ได้เลย ทางรักษาที่ผมทำขณะอยู่ที่โรงพยาบาลหนักเอาการเช่นกันไม่ว่าจะเป็น
…..CT Scan !! การสแกนร่างกายเพื่อหาความผิดปกติเบื้องต้น
…..MRI !! ต้องทำถึง 2 ครั้งใน 4 วัน โดยเข้าเครื่องเล็กๆเท่ากับร่างกายพอดีมองบน ซ้าย ขวา เจอแต่ผนัง เสียงดังหนวกหู หายใจไม่คล่อง แถมต้องอยู่ในเครื่องครั้งละชั่วโมงเลย อึดอัดมาก
…..EKG !! ติดเครื่องวัดความผิดปกติของหัวใจ ต้องติดจุดเล็กๆสิบกว่าจุดบนหน้าอก พร้อมทั้งห้อยเครื่องวัดนาน 1 วัน เพื่อหาคลื่นหัวใจที่ผิดปกติ
…..กลืนกล้อง !! เพื่อตรวจวัดหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยผมต้องกลืนหลอดที่มีกล้องความหนาขนาดนิ้วชี้ ต้องฉีดยาชา โป๊ะยากึ่งสลบเพื่อให้ไม่อ้วกออกมา อันนี้น้ำตาไหล เพราะอึดอัดมาก
…..ยา !! กินวันละประมาณเกือบๆ 20 เม็ดต่อวันเลย ทั้งๆที่เกิดมาก็ไม่เคยทานยาอะไรเลย
…….
หลังจากที่อยู่โรงพยาบาลนานกว่า 6 วันไม่สามารถทำอะไรได้ กึ่งพิการ คุณหมอมาบอกว่า “คุณเป็นเส้นเลือดสมองตีบนะ แต่จุดมันเล็กเลยกระทบไม่มาก” ผมคิดในใจนี่ขนาดกระทบไม่มากนะ หมอบอกต่อว่า “มันเกิดจากหลายอย่างคุณนอนน้อย ไขมันในเส้นเลือดสูง มีลิ่มเลือด เลือดข้น ความดันสูง ความเครียดชีวิตงาน ลิ่มเลือดกับไขมันเลยเยอะและไปตกค้างในส่วนเส้นเลือดสมอง” ฟังเสร็จน้ำตาผมไหล จะร้องก็ร้องไม่ออกเสียงไม่มี จะลืมตาก็ปวดตา หมอบอกสั้นๆว่า “กายภาพนะ และเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตแล้วจะดีขึ้น สุ้นะ !!" หมอสุรัชต์บอกผม
.....มันเป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา ผมใช้ร่างกายเปลืองเกินไป และนี่คงเป็นการเตือนในฉบับย่อ และในใจผมคิดอย่างเดียว “ไม่ยอมให้ชีวิตเป็นแบบนี้แน่” ในเมื่อเป็นได้ก็หายได้สิวะ !! และเมื่อหมอให้ออกจากโรงพยาบาลสามวันแรกผมไม่สามารถทำอะไรเองได้ โคตรรู้สึกเป็นภาระกับทุกๆคนรอบๆตัวเลย แต่คำสั้นๆที่ผมท่องเสมอ “กูไม่ยอมแพ้ กูไม่ยอมแพ้”
……..
......5 วันหลังจากออกจากโรงพยาบาล (8 ส.ค. 59) ผมเริ่มหัดเดินที่ลู่วิ่งที่บ้านวันละ 40 นาทีเพราะถ้ามากกว่านั้นตายแน่ เพราะต้องหลับตาไปเดินไป แถมจะเป็นลมอีก รวมถึงเปิดตาเมื่อไรมองได้ไม่เกิน 5 นาทีมึนหัว เริ่มหัดพูดวันละ 4 ชั่วโมง สวดมนต์เช้าเที่ยงก่อนนอนแบบออกเสียงแม้จะไม่ชัด ไม่รู้เรื่อง แต่ก็ต้องทำเพราะถ้าไม่ทำก็เท่ากับไม่เปลี่ยนแปลง หัดเดิน หัดพูด หัดกิน ฝึกมอง ไปกายภาพการเดินและเสียงที่พระมงกุฏ ถามคุณหมอว่า “ปกติจะกลับมาเดินได้พูดได้เร็วสุดประมาณไหนครับ” หมอบอกว่า “แล้วแต่นะเร็วๆก็ 3 เดือนบ้าง หรือไม่เป็นปีก็มีหรือถ้าอยากเร็วกว่านั้นก็ทำมากได้มากแหละ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมมากายภาพเพิ่มเองที่บ้านมากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้น เขียนโปรแกรมตารางให้ตัวเองเพราะเชื่ออย่างเดียว “เชื่อว่าทำได้ ชีวิตนี้จะต้องกลับมามองเห็น พูดได้ เดินคล่อง"
…….
9 วันหลังจากไม่ยอมแพ้ต่อชีวิต (17 ส.ค.) ผมเริ่มกลับมาแล้วครับ
.....จากเดินเยาะแยะ มาเป็นสามารถวิ่งได้ติดต่อกัน 30 นาทีที่ความเร็ว 7.5 km/hr
......จากไม่มีเสียงพูดไม่ได้ เริ่มกลับมาพูดชัดเหมือนเดิมออกเสียงได้ชัดเจนเหมือนตอนที่ทำงาน ราวๆเกือบ 100% แล้ว
…..จากมองไม่ค่อยได้ กลับมามองเห็นและมองนานๆได้ดั่งเดิมโดยไม่ปวดตา
…..จากที่กินไม่ค่อยได้ก็กลับมากินข้าว ดื่มน้ำได้ และมากขึ้น แต่สิ่งที่ดีขึ้นคือน้ำหนักผมลดไป 5 kg. เลย
ขอบคุณบทเรียนชีวิตบทนี้มาก มันโคตรมีค่ามากมายมหาศาล ของแบบนี้เชื่อผมเถอะครับอย่ามาเป็นแบบผมเลย ผมนึงถึง 2 คำสอนของพระพุทธเจ้าเลยที่ท่านตรัสว่า “การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” “จงอย่าประมาทกับชีวิต” ค่ารักษาพยาบาลหลายแสนแต่มันไม่สำคัญเท่ากับที่ทำให้ผมคิดอะไรได้เยอะมากมาย
……..
ผมรักครอบครัวผมมากขึ้นอย่างมาก คนในครอบครัวที่ไม่เคยทิ้งกันไม่ว่าสภาพผมจะอนาถขนาดไหน ญาติทุกคนที่ส่งกำลังใจให้ คนรอบตัวเพื่อนๆที่สนิท กลุ่มเพื่อนทุกคน กลุ่มคนรู้จักและไม่รู้จักที่ส่งกำลังใจมาให้ไม่ว่าจะข้อความส่วนตัว ไลน์ มาบอกทั้งทางแก้ ส.ส.เกรียงที่ให้เพื่อนสนิท ผอ.โรงพยาบาลวิชัยยุทธมาดูแลเคสผมแบบดีที่สุด น้องๆทีม Zeleb team น้องๆที่เป็นคุณหมอหลายท่านก็ส่งรายละเอียดต่างๆมาให้ น้องๆเทรนเนอร์ฟิตเนส นักโภชนาการหลายคนที่เขียนรายละเอียด รายการอาหารที่ควรทาน เพื่อหมอที่เชี่ยวชาญการกายภาพที่ให้คำแนะนำเสมอ รวมถึงกำลังใจของทุกท่านที่ส่งมาถึงผม
…….
......ผมขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตาผมจากใจจริงๆ กราบขอบพระคุณถึงน้ำใจที่มีมาเสมอและจิตใจที่ดี จนผมนั้นร้องไห้และซาบซึ้งในความเป็นห่วงที่ทุกคนมีมาจริงๆ ขอให้ทุกคนอย่าประมาทกับชีวิต มีความสุขในชีวิต เดินทางสายกลาง ขอให้คนที่กำลังเป็นโรคนี้ขอให้หายไวไว หายแน่นอนเชื่อผมถ้าคุณสู้ โรคนี้แพ้คุณแน่นอนครับ !!.....ผมเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่บอกว่า เป็นได้ก็หายได้ครับ แต่หลังจากนี้ต้องดูแลตัวเองและอย่าเป็นอีก เพราะมันไม่สนุกเลย อย่าเป็นกันเลยนะเส้นเลือดสมองตีบเนี่ย
.......
ปล. - สิ่งหนึ่งที่น้ำตาซึมคุณพ่อบอกว่า “แกไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรแล้วว่าแกเก่ง ทำได้ หรือทำให้ทุกคนภูมิใจ แกทำมันได้แล้ว แกต้องรักษาตัวให้ดีนะ อย่ายอมแพ้ หายได้ เรื่องเงินทองอะไรมันของนอกกาย ถ้าแกไม่พอแกบอกพ่อ พ่อมีให้แกทั้งชีวิต แต่ถ้าแกเป็นอะไรไปแบบนี้ไม่เอานะ ทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง”....ซึ้งสุดๆ ว่าแล้วหายดีก็ไปขอตังค์พ่อใช้เลยดีกว่า
แม้ว่าตอนนี้ผมยังไม่ 100% ดีก็ตาม แต่ตอนนี้อย่างน้อยก็กลับมาราวๆ 75% แล้ว หมอห้ามขับรถ และเหลือกายภาพตรงใบหน้าซีกซ้ายนิดหน่อย แต่มาได้ขนาดนี้ผมก็ดีใจแล้วครับ.....เหมือนเกิดใหม่จริงๆ