ที่มาของการ ปล่อยปลาตัวไหน ห้ามกินปลาตัวนั้น (ต่อมาเพี้ยนและพูดกันผิดๆ ว่าห้ามกินปลาชนิดนั้น)
มีที่มาจากเรื่องเล่าในหนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม ๑ ของวัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม เรื่องราวมีดังนี้
เรื่อง ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ
โดย ปัญญา ฤกษ์อุไร
เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวัน
อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญ
วัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี“ หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน ”ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ
“ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากรรมฐาน” คุณอำนวยชี้แจง“
ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส” ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย
“เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร”
คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า “รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ” คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก
คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น
พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด เขาเรียกว่ามีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง”
เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ซาบซึ้งแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก
คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน
เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน
แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน
วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน
หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด
บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับเป็นที่อยู่ของบรรพชิต
เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง
บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ
หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิม
ท่าน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิดท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี
แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่ง “มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน”
ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยง
คณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร “ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง
ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้”
คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ “ไหนคนไหน” “คนนี้ครับ” ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า
“อ้อคนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ
เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่ามันเรื่องอะไรกัน” พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม “เป็นไงหลวงพ่อ พอไหวไหม”
“เฮ้อ! รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้ ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี
บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปีนี้
เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าว ให้อภัยไม่ได้ เธอจะเอาอย่างนี้ไหม
ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว
และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่
ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก
อย่างนี้นางก็รับปาก ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่นประมาณ ๒ กิโลกว่า ๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน
แป๊ะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั่นเอง
นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขีมีไฝฝีขี้แมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัด ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง
อาตมารู้เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอ ๑๑ ปีผ่านก็รำลึกชาติได้ เตี่ยหนูนี่ไม่ใช่ลูกนะ ฉันนี้เป็นนางสอิ้งภรรยาตาปุ่น ตำบลโน้น
เตี่ยก็ยังไงกันก็ไปปรึกษาตำบลโน้น ตำบลนี้ เอาอย่างนี้ให้มันลืมเรื่องเสียว่าจะจริงเท็จยังไงไม่ทราบ ก็เอาไข่หลงรัง ไข่ที่ตายโคม ไข่ข้าว
เพราะที่นั่นมีพระภูมิเจ้าที่แรง ท่านคอยคุ้มกันทำให้คนที่ไปดักยิงมันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้ ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน
ไม่มีโอกาสเห็นตัวโยมคนนี้ มันเลยเลิกล้มความตั้งใจ มิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอ
คอยคุ้มกันอยู่อีกองค์หนึ่ง ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้วคงไม่เป็นไร หมั่นทำบุญ สุนทานมาก ๆ หน่อย
ปล่อยสัตว์มีชีวิตเช่น นก ปลา มาก ๆ ก็จะดี” หลวงพ่ออธิบาย “
แล้วเหตุที่มีเคราะห์ถึงขนาดนี้ มันเนื่องมาจากอะไรกันล่ะครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามท่านบ้าง เพราะปล่อยให้คุณอำนวยถามมานานแล้ว “
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่อาตมานั่งหลับตาดู ทบทวนอยู่ถึงสองสามครั้งผลออกมาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน”
“งงเรื่องอะไรล่ะครับหลวงพ่อ”“งงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะซิโยม” “เรื่องอะไรล่ะครับที่เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มีเรื่องที่จะเป็นไปได้เสมอ”
ข้าพเจ้าว่า“คือตามเรื่องมีว่า โยมรู้ตัวว่ากำลังมีเคราะห์กรรมก็พยายามซื้อลูกปลาตัวเล็ก ๆ ไปปล่อยลงน้ำ เพื่อช่วยชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น
เรื่องนี้โยมทำมากตั้งแต่ปีที่แล้วใช่หรือไม่ บอกอาตมาตรง ๆ” หลวงพ่อถามข้าพเจ้าแล้วมองหน้า “ใช่ครับผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์
ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ”
“ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้บุญอีกด้วย แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติเท่านั้น มันยังมีเรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกนะซี”
พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่ “ยืดเยื้อยังไงครับ”
“คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกนะซี ตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม
เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว
เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก
เท่ากับกลับคำสัตย์ อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก เขาจึงอาฆาตพยาบาท
โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ นี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
อาตมาดูคนมาแยะ ๆ หลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย”
หลวงพ่อพูดจบคว้าบุหรี่มาดูดวาบ ๆ (หลวงพ่อไม่สูบบุหรี่ แต่หลวงพ่อนัดยานัตถุ์) ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อเรื่องนี้ไม่จริง
ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลาเมื่อปีกลายจริง แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก
เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนคือตัวที่ข้าพเจ้าปล่อยไปจะได้จับมากินได้ถูก เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้
และเวลาปล่อยก็ปล่อยครั้งละมาก ๆ ลูกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ ครั้งละจำนวนร้อย ๆ ตัว จะไปจำปลาแต่ละตัวได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เรื่องที่หลวงพ่อว่า จึงไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน สงสัยหลวงพ่อดูผิดเสียแล้ว
หลวงพ่อหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน แต่อาตมาหมายความว่า
โยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน แต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ
โดยปราศจากข้อสงสัย ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันใหม่”
“แล้วเรื่องที่ผมมีเคราะห์กรรมอยู่เวลานี้ล่ะครับจะเป็นอย่างไรบ้าง” ข้าพเจ้าอยากรู้เหตุการณ์ในอนาคต
“ตอนนี้พ้นระยะเคราะห์หนักแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อย และค่อย ๆ หมดไปราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีหน้าก็คงพ้นเคราะห์เด็ดขาด
ไม่เป็นไร ขอชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดให้อาตมาไว้ แล้วอาตมาจะนั่งบริกรรมภาวนาให้เจ้าเวรนายกรรมเขาเห็นใจเลิกจองเวรจองกรรมเสีย”
ท่านหันไปคุยกับคุณอำนวยและคนอื่น ๆ ที่มาคณะเดียวกัน วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นที่วัดอัมพวัน
เพราะเกรงจะกลับกรุงเทพฯ ค่ำ เพราะกำลังมีเคราะห์อยู่ด้วย ต้องระวังตัวเกรงเกิดอุบัติเหตุ
ในระหว่างทางขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าข้าพเจ้าไปจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์ไปแล้วเอามากินได้อย่างไร
ข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้ การปล่อยปลาแต่ละครั้งก็ปล่อยจำนวนมาก ๆ และปล่อยในลำคลองหนองบึงเป็นส่วนใหญ่
และเมื่อปล่อยไปแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยติดตามเอามากินอีกเลย หลวงพ่อคงจะเลอะเลือนดูทางในผิดไปแน่ ๆ
แต่ก็ใจไม่ดี คิดว่าบางทีปลาตัวที่เราปล่อยต่อมา พวกจับปลามันจับได้เอาไปขายที่ตลาด เด็กบ้านเราไปจ่ายกับข้าว ซื้อมาแกงเข้าพอดี
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน แต่โอกาสมีหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน
ปล่อยปลาตัวไหน ห้ามกินปลาตัวนั้น (ไม่ใช่ชนิดนั้น) ต้นเรื่องจากหนังสือกฎแห่งกรรม หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
มีที่มาจากเรื่องเล่าในหนังสือกฎแห่งกรรม เล่ม ๑ ของวัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม เรื่องราวมีดังนี้
เรื่อง ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ
โดย ปัญญา ฤกษ์อุไร
เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวัน
อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญ
วัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี“ หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน ”ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ
“ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากรรมฐาน” คุณอำนวยชี้แจง“
ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส” ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย
“เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร”
คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า “รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ” คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก
คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น
พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด เขาเรียกว่ามีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง”
เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ซาบซึ้งแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก
คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน
เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน
แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน
วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน
หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด
บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับเป็นที่อยู่ของบรรพชิต
เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง
บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ
หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิม
ท่าน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น
ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิดท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี
แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่ง “มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน”
ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยง
คณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร “ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง
ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้”
คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ “ไหนคนไหน” “คนนี้ครับ” ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า
“อ้อคนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ
เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่ามันเรื่องอะไรกัน” พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม “เป็นไงหลวงพ่อ พอไหวไหม”
“เฮ้อ! รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้ ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี
บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปีนี้
เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าว ให้อภัยไม่ได้ เธอจะเอาอย่างนี้ไหม
ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว
และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่
ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก
อย่างนี้นางก็รับปาก ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่นประมาณ ๒ กิโลกว่า ๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน
แป๊ะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั่นเอง
นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขีมีไฝฝีขี้แมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัด ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง
อาตมารู้เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น
เมื่อเป็นเช่นนี้ พอ ๑๑ ปีผ่านก็รำลึกชาติได้ เตี่ยหนูนี่ไม่ใช่ลูกนะ ฉันนี้เป็นนางสอิ้งภรรยาตาปุ่น ตำบลโน้น
เตี่ยก็ยังไงกันก็ไปปรึกษาตำบลโน้น ตำบลนี้ เอาอย่างนี้ให้มันลืมเรื่องเสียว่าจะจริงเท็จยังไงไม่ทราบ ก็เอาไข่หลงรัง ไข่ที่ตายโคม ไข่ข้าว
เพราะที่นั่นมีพระภูมิเจ้าที่แรง ท่านคอยคุ้มกันทำให้คนที่ไปดักยิงมันมองไม่เห็นตัว มันเลยยิงไม่ได้ ความจริงมันไปเฝ้าอยู่นอกรั้วบ้านหลายวัน
ไม่มีโอกาสเห็นตัวโยมคนนี้ มันเลยเลิกล้มความตั้งใจ มิฉะนั้นดวงชะตาขาดไปแล้ว ยังมีหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเก่าแก่ซึ่งแขวนอยู่ที่คอ
คอยคุ้มกันอยู่อีกองค์หนึ่ง ทำให้คนคิดร้ายทำอันตรายได้ยาก แต่ระยะนี้พ้นเคราะห์เหล่านั้นมาแล้วคงไม่เป็นไร หมั่นทำบุญ สุนทานมาก ๆ หน่อย
ปล่อยสัตว์มีชีวิตเช่น นก ปลา มาก ๆ ก็จะดี” หลวงพ่ออธิบาย “
แล้วเหตุที่มีเคราะห์ถึงขนาดนี้ มันเนื่องมาจากอะไรกันล่ะครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามท่านบ้าง เพราะปล่อยให้คุณอำนวยถามมานานแล้ว “
มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่อาตมานั่งหลับตาดู ทบทวนอยู่ถึงสองสามครั้งผลออกมาเหมือนกัน ซึ่งอาตมาก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน”
“งงเรื่องอะไรล่ะครับหลวงพ่อ”“งงเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้น่ะซิโยม” “เรื่องอะไรล่ะครับที่เป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้มีเรื่องที่จะเป็นไปได้เสมอ”
ข้าพเจ้าว่า“คือตามเรื่องมีว่า โยมรู้ตัวว่ากำลังมีเคราะห์กรรมก็พยายามซื้อลูกปลาตัวเล็ก ๆ ไปปล่อยลงน้ำ เพื่อช่วยชีวิตของลูกปลาเหล่านั้น
เรื่องนี้โยมทำมากตั้งแต่ปีที่แล้วใช่หรือไม่ บอกอาตมาตรง ๆ” หลวงพ่อถามข้าพเจ้าแล้วมองหน้า “ใช่ครับผมรู้ว่าตัวเองกำลังมีเคราะห์
ดวงไม่ดีก็พยายามปล่อยนกปล่อยปลามาตั้งแต่ปีที่แล้ว การปล่อยนกปล่อยปลาเป็นการช่วยชีวิตสัตว์ ไม่เห็นจะผิดบาปอะไรนี่ครับหลวงพ่อ”
“ถ้าเพียงเอาไปปล่อยนอกจากไม่บาปแล้ว ยังได้บุญอีกด้วย แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติเท่านั้น มันยังมีเรื่องยืดเยื้อต่อมาอีกนะซี”
พูดจบหลวงพ่อถอนหายใจใหญ่ “ยืดเยื้อยังไงครับ”
“คือหลังจากเอาเขาไปปล่อยแล้วโยมก็ไปจับเขามากินอีกนะซี ตอนนี้แหละที่บาปหนัก จวนจะแก้ไม่ตกอยู่แล้วรู้ไหม
เท่ากับเราอธิษฐานเมื่อเวลาจะปล่อยเขาลงน้ำว่าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราปล่อยชีวิตเจ้าแล้ว เราช่วยชีวิตเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปแล้ว
เจ้าจงไปอยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด เจ้าเวรนายกรรมขอให้มารับส่วนกุศลในการปล่อยชีวิตในครั้งนี้ด้วย เสร็จแล้วหลังจากนั้นไม่นานโยมก็ไปจับเขามากินอีก
เท่ากับกลับคำสัตย์ อธิษฐานที่ให้ไว้แก่เจ้าเวรนายกรรม ทำให้เจ้าเวรนายกรรมเขาโกรธมาก เขาจึงอาฆาตพยาบาท
โยมจึงต้องรับเคราะห์กรรมอยู่ขณะนี้ยังไงล่ะ นี่แหละที่อาตมาว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
อาตมาดูคนมาแยะ ๆ หลายต่อหลายคนไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย”
หลวงพ่อพูดจบคว้าบุหรี่มาดูดวาบ ๆ (หลวงพ่อไม่สูบบุหรี่ แต่หลวงพ่อนัดยานัตถุ์) ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อเรื่องนี้ไม่จริง
ข้าพเจ้าปล่อยนกปล่อยปลาเมื่อปีกลายจริง แต่เมื่อปล่อยลงน้ำลงคลองแล้วก็แล้วกันไม่เคยไปตามจับมากินอีก
เพราะจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนคือตัวที่ข้าพเจ้าปล่อยไปจะได้จับมากินได้ถูก เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้
และเวลาปล่อยก็ปล่อยครั้งละมาก ๆ ลูกปลาดุก ปลาช่อน ปลาหมอ ครั้งละจำนวนร้อย ๆ ตัว จะไปจำปลาแต่ละตัวได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เรื่องที่หลวงพ่อว่า จึงไม่มีทางจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน สงสัยหลวงพ่อดูผิดเสียแล้ว
หลวงพ่อหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดี “อาตมาไม่ได้ว่าโยมตั้งใจจะจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์มากิน แต่อาตมาหมายความว่า
โยมกินปลาที่โยมสะเดาะเคราะห์เข้าไป จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน แต่สรุปว่าโยมกินเขาเข้าไปแน่ ๆ
โดยปราศจากข้อสงสัย ลองไปนึกทบทวนดูให้ดีเถิด แล้ววันหลังค่อยมาคุยกันใหม่”
“แล้วเรื่องที่ผมมีเคราะห์กรรมอยู่เวลานี้ล่ะครับจะเป็นอย่างไรบ้าง” ข้าพเจ้าอยากรู้เหตุการณ์ในอนาคต
“ตอนนี้พ้นระยะเคราะห์หนักแล้ว ที่เหลืออยู่เป็นส่วนน้อย และค่อย ๆ หมดไปราว ๆ เดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีหน้าก็คงพ้นเคราะห์เด็ดขาด
ไม่เป็นไร ขอชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดให้อาตมาไว้ แล้วอาตมาจะนั่งบริกรรมภาวนาให้เจ้าเวรนายกรรมเขาเห็นใจเลิกจองเวรจองกรรมเสีย”
ท่านหันไปคุยกับคุณอำนวยและคนอื่น ๆ ที่มาคณะเดียวกัน วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กินข้าวเย็นที่วัดอัมพวัน
เพราะเกรงจะกลับกรุงเทพฯ ค่ำ เพราะกำลังมีเคราะห์อยู่ด้วย ต้องระวังตัวเกรงเกิดอุบัติเหตุ
ในระหว่างทางขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ครุ่นคิดไปตลอดทางว่าข้าพเจ้าไปจับปลาที่ปล่อยสะเดาะเคราะห์ไปแล้วเอามากินได้อย่างไร
ข้าพเจ้าไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้ การปล่อยปลาแต่ละครั้งก็ปล่อยจำนวนมาก ๆ และปล่อยในลำคลองหนองบึงเป็นส่วนใหญ่
และเมื่อปล่อยไปแล้วก็แล้วกัน ไม่เคยติดตามเอามากินอีกเลย หลวงพ่อคงจะเลอะเลือนดูทางในผิดไปแน่ ๆ
แต่ก็ใจไม่ดี คิดว่าบางทีปลาตัวที่เราปล่อยต่อมา พวกจับปลามันจับได้เอาไปขายที่ตลาด เด็กบ้านเราไปจ่ายกับข้าว ซื้อมาแกงเข้าพอดี
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน แต่โอกาสมีหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน