อื้อหือ…โอ้ว…ว้าว…เชร้ด…
นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตลอดช่วงเวลา 2 ชั่วโมงเศษของการชม “The Handmaiden” ผลงานล่าสุดของ “ปาร์คชานวุค” ที่หลายคนอาจรู้จักเขาจากหนังพันธุ์โหดอย่าง “Oldboy” ซึ่งกลับมาทำหนังเกาหลีอีกครั้ง หลังจากผลงาน Go Hollywood อย่าง “Stoker” ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก และอาจเพราะเป็นการกลับมายังสถานที่คุ้นเคย รวมถึงการตกผลึกจากประสบการณ์ในวงการที่ผ่านมา นั่นทำให้ “The Handmaiden” ไม่ได้เพียงกลับมาเพียงแค่อย่างสมศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังกลับมาอย่าง “ยิ่งใหญ่” ด้วย
“The Handmaiden” เล่าเรื่องราวในเกาหลียุค 1930’s ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ญี่ปุ่นเข้ามีอิทธิพลในเกาหลีแล้ว “ซูคี” (คิมแทริ) ถูก “เคานต์ฟูจิรวาระ” (ฮาจองอู) ส่งให้ไปเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์ของ “โคซูกิ” (โชจินอุง) เพื่อหวังให้เธอเป็นนางนกต่อสานสัมพันธ์รักระหว่างเขากับ “ฮิเดโกะ” (คิมมินฮี) หลานสาวของโคซูกิ ซึ่งถ้าสำเร็จนั่นหมายถึงทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เคานต์ฟูจิวาระจะได้รับ รวมถึงส่วนแบ่งของซูคีด้วย
ความยอดเยี่ยมของ The Handmaiden ก็คือหนังมีส่วนผสมที่หลากหลาย ทั้งความเป็น Erotic, Thriller, Drama, Psychological, Romantic สอดแทรกไปด้วยประเด็นทั้งด้านสตรีนิยม เพศ ไปจนถึงชาตินิยม ซึ่งลำพังแค่การสร้างสรรค์หนังแนวใดแนวหนึ่งให้ออกมาดีก็ยากแล้ว แต่ The Handmaiden ทำได้ถึงในทุกส่วนผสมที่ตัวเองใส่ลงไป แล้วพอปรุงออกมาโดยรวมแล้ว มันยังเป็นหนังที่ดูสนุกมาก ทั้งจากมุขตลกร้ายที่แทรกเข้าไป และเรื่องราวที่พลิกไปพลิกมาจนคาดเดาไม่ถูก รวมไปถึงมันยังเป็นหนังที่ท้าทายสติปัญญา และก่อให้เกิดการถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดในประเด็นต่างๆ ของหนัง ไม่ได้แบบดูจบแล้วก็จบเลย
ART
เริ่มที่เรื่องแรก สมมติเราไม่สนใจเนื้อเรื่องแล้ว แล้วคาดหวังแค่อยากดูหนังภาพสวยๆ องค์ประกอบงามๆ เรื่องหนึ่ง “The Handmaiden” ก็ตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างดี หนังเรื่องมีการถ่ายถอดภาพที่สวยงามมาก ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เพราะฉากหลังของเรื่องมีทั้งความเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรปผสมกัน กลายเป็นองค์ประกอบที่ดูแปลกๆ แต่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ โทนสีที่มีความหม่นๆ หน่อยๆ ยิ่งเสริมความรู้สึกอึมครึม ไม่น่าไว้วางใจของตัวละคร ตลอดจนความอ้างว้างที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ของตัวละคร
ส่วนตัวอาจไม่ค่อยมีความรู้ด้านศิลปะมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ว่า The Handmaiden เอาจริงเอาจังในเรื่องขององค์ประกอบภาพพอสมควร ทั้งการจัดวาง ตำแหน่งตัวละคร แสง สี คอสตูม ไปจนถึงการถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดง ทุกอย่างดูพอเหมาะพอเจาะ จนทำให้แต่ละฉากออกมาดูสวยงาน ขนาดว่าามารถ Capture ไปเป็น Wallpaper ได้ทั้งหมด และอย่างที่เกริ่นในย่อหน้าก่อน องค์ประกอบงานศิลป์พวกนี้ไม่ได้เพียงแต่ “สวยงาม” แต่ยัง “สื่อสาร” อารมณ์และเรื่องราวออกมาได้อย่างทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะบอกว่าการได้ชม “The Handmaiden” ก็เหมือนการได้เสพงานศิลป์ชั้นยอดเรื่องหนึ่ง
แน่นอนความสวยงามในเรื่องนี้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ 2 นักแสดงนำหญิง คิมแทริ และคิมมินฮี ด้วยเช่นกัน
THRILLER
“Oldboy” อาจเป็นงานที่สร้างชื่อให้กับปาร์คชานวุค แต่ก็ไม่ใช่งานที่ดูสนุกนัก อย่างน้อยก็ในกรณีของตัวเอง แต่ในกรณีของ The Handmaiden นั้น ปาร์คชานวุคนั้นน่าจะตกผลึกแล้ว งานเรื่องนี้จึงมีความบันเทิงกว่า แบบที่ต่อให้เราไม่สนใจสัญลักษณ์หรือแนวคิดที่หนังพยายามสื่อกับเรา เราก็ยังสนุกไปเนื้อเรื่องได้ หนังดึงเราไว้ด้วยเนื้อเรื่อที่ซับซ้อน พลิกไปพลิกมา หักมุม 3-4 ชั้น ทำให้เราเกิดความสังสัยว่าเรื่องจริงๆ เป็นอย่างไร กว่าจะรู้ตัวเราก็ติดเรื่องนี้ไปแล้ว และต้องร้อง…เชร้ด…หลายรอบเมื่อหนังค่อยๆ เฉลยเรื่องราวแต่ละส่วนออกมา
แม้ว่าการหักมุมบางอย่างในเรื่อง ดูเหมือนจะถูกจัดวางอย่างจงใจไปบ้าง แต่เมื่อดูจนจบแล้ว มันเป็นหนังหักมุมที่ค่อนข้าง “เนียน” และ “เคลียร์” คือพอเฉลยแล้วทุกอย่างดูสมเหตุสมผล เพราะมีหนังแนวหักมุมหลายเรื่องเหมือนกัน ที่พยายามหลอกคนดูมากเกินไป จนสุดท้ายกลายเป็นตัวเองหลังหักเองแทน ที่ชอบอีกอย่างคือ ในขณะที่หนังหักมุมส่วนใหญ่มักหมดความน่าสนใจไป เมื่อเรารู้ตอนจบแล้ว แต่กับ The Handmaiden นั้นไม่ใช่ หนังเรื่องนี้ยังสามารถสร้างความรู้สึกอยากดูซ้ำอีก เพราะจุดสำคัญของเรื่องไม่ใช่ “ปลายทาง” หากแต่เป็น “ระหว่างทาง” ที่ถ่ายทอดให้เห็นว่า ตัวละครแต่ละตัวเดินไปถึงจุดของตัวเองในท้ายเรื่องได้อย่างไร
[CR] [CRITICISM] THE HANDMAIDEN – ความพ่ายแพ้ของบุรุษ และชัยชนะของอิสตรี (SPOIL)
อื้อหือ…โอ้ว…ว้าว…เชร้ด…
นั่นคือความรู้สึกที่เกิดขึ้น ตลอดช่วงเวลา 2 ชั่วโมงเศษของการชม “The Handmaiden” ผลงานล่าสุดของ “ปาร์คชานวุค” ที่หลายคนอาจรู้จักเขาจากหนังพันธุ์โหดอย่าง “Oldboy” ซึ่งกลับมาทำหนังเกาหลีอีกครั้ง หลังจากผลงาน Go Hollywood อย่าง “Stoker” ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก และอาจเพราะเป็นการกลับมายังสถานที่คุ้นเคย รวมถึงการตกผลึกจากประสบการณ์ในวงการที่ผ่านมา นั่นทำให้ “The Handmaiden” ไม่ได้เพียงกลับมาเพียงแค่อย่างสมศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังกลับมาอย่าง “ยิ่งใหญ่” ด้วย
“The Handmaiden” เล่าเรื่องราวในเกาหลียุค 1930’s ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ญี่ปุ่นเข้ามีอิทธิพลในเกาหลีแล้ว “ซูคี” (คิมแทริ) ถูก “เคานต์ฟูจิรวาระ” (ฮาจองอู) ส่งให้ไปเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์ของ “โคซูกิ” (โชจินอุง) เพื่อหวังให้เธอเป็นนางนกต่อสานสัมพันธ์รักระหว่างเขากับ “ฮิเดโกะ” (คิมมินฮี) หลานสาวของโคซูกิ ซึ่งถ้าสำเร็จนั่นหมายถึงทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เคานต์ฟูจิวาระจะได้รับ รวมถึงส่วนแบ่งของซูคีด้วย
ความยอดเยี่ยมของ The Handmaiden ก็คือหนังมีส่วนผสมที่หลากหลาย ทั้งความเป็น Erotic, Thriller, Drama, Psychological, Romantic สอดแทรกไปด้วยประเด็นทั้งด้านสตรีนิยม เพศ ไปจนถึงชาตินิยม ซึ่งลำพังแค่การสร้างสรรค์หนังแนวใดแนวหนึ่งให้ออกมาดีก็ยากแล้ว แต่ The Handmaiden ทำได้ถึงในทุกส่วนผสมที่ตัวเองใส่ลงไป แล้วพอปรุงออกมาโดยรวมแล้ว มันยังเป็นหนังที่ดูสนุกมาก ทั้งจากมุขตลกร้ายที่แทรกเข้าไป และเรื่องราวที่พลิกไปพลิกมาจนคาดเดาไม่ถูก รวมไปถึงมันยังเป็นหนังที่ท้าทายสติปัญญา และก่อให้เกิดการถกเถียง แลกเปลี่ยนความคิดในประเด็นต่างๆ ของหนัง ไม่ได้แบบดูจบแล้วก็จบเลย
เริ่มที่เรื่องแรก สมมติเราไม่สนใจเนื้อเรื่องแล้ว แล้วคาดหวังแค่อยากดูหนังภาพสวยๆ องค์ประกอบงามๆ เรื่องหนึ่ง “The Handmaiden” ก็ตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างดี หนังเรื่องมีการถ่ายถอดภาพที่สวยงามมาก ขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ เพราะฉากหลังของเรื่องมีทั้งความเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรปผสมกัน กลายเป็นองค์ประกอบที่ดูแปลกๆ แต่เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ โทนสีที่มีความหม่นๆ หน่อยๆ ยิ่งเสริมความรู้สึกอึมครึม ไม่น่าไว้วางใจของตัวละคร ตลอดจนความอ้างว้างที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ของตัวละคร
ส่วนตัวอาจไม่ค่อยมีความรู้ด้านศิลปะมากนัก แต่ก็สัมผัสได้ว่า The Handmaiden เอาจริงเอาจังในเรื่องขององค์ประกอบภาพพอสมควร ทั้งการจัดวาง ตำแหน่งตัวละคร แสง สี คอสตูม ไปจนถึงการถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดง ทุกอย่างดูพอเหมาะพอเจาะ จนทำให้แต่ละฉากออกมาดูสวยงาน ขนาดว่าามารถ Capture ไปเป็น Wallpaper ได้ทั้งหมด และอย่างที่เกริ่นในย่อหน้าก่อน องค์ประกอบงานศิลป์พวกนี้ไม่ได้เพียงแต่ “สวยงาม” แต่ยัง “สื่อสาร” อารมณ์และเรื่องราวออกมาได้อย่างทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่เกินเลยไปนัก ถ้าจะบอกว่าการได้ชม “The Handmaiden” ก็เหมือนการได้เสพงานศิลป์ชั้นยอดเรื่องหนึ่ง
แน่นอนความสวยงามในเรื่องนี้ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้ 2 นักแสดงนำหญิง คิมแทริ และคิมมินฮี ด้วยเช่นกัน
“Oldboy” อาจเป็นงานที่สร้างชื่อให้กับปาร์คชานวุค แต่ก็ไม่ใช่งานที่ดูสนุกนัก อย่างน้อยก็ในกรณีของตัวเอง แต่ในกรณีของ The Handmaiden นั้น ปาร์คชานวุคนั้นน่าจะตกผลึกแล้ว งานเรื่องนี้จึงมีความบันเทิงกว่า แบบที่ต่อให้เราไม่สนใจสัญลักษณ์หรือแนวคิดที่หนังพยายามสื่อกับเรา เราก็ยังสนุกไปเนื้อเรื่องได้ หนังดึงเราไว้ด้วยเนื้อเรื่อที่ซับซ้อน พลิกไปพลิกมา หักมุม 3-4 ชั้น ทำให้เราเกิดความสังสัยว่าเรื่องจริงๆ เป็นอย่างไร กว่าจะรู้ตัวเราก็ติดเรื่องนี้ไปแล้ว และต้องร้อง…เชร้ด…หลายรอบเมื่อหนังค่อยๆ เฉลยเรื่องราวแต่ละส่วนออกมา
แม้ว่าการหักมุมบางอย่างในเรื่อง ดูเหมือนจะถูกจัดวางอย่างจงใจไปบ้าง แต่เมื่อดูจนจบแล้ว มันเป็นหนังหักมุมที่ค่อนข้าง “เนียน” และ “เคลียร์” คือพอเฉลยแล้วทุกอย่างดูสมเหตุสมผล เพราะมีหนังแนวหักมุมหลายเรื่องเหมือนกัน ที่พยายามหลอกคนดูมากเกินไป จนสุดท้ายกลายเป็นตัวเองหลังหักเองแทน ที่ชอบอีกอย่างคือ ในขณะที่หนังหักมุมส่วนใหญ่มักหมดความน่าสนใจไป เมื่อเรารู้ตอนจบแล้ว แต่กับ The Handmaiden นั้นไม่ใช่ หนังเรื่องนี้ยังสามารถสร้างความรู้สึกอยากดูซ้ำอีก เพราะจุดสำคัญของเรื่องไม่ใช่ “ปลายทาง” หากแต่เป็น “ระหว่างทาง” ที่ถ่ายทอดให้เห็นว่า ตัวละครแต่ละตัวเดินไปถึงจุดของตัวเองในท้ายเรื่องได้อย่างไร