เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 1 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 2 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 10 ก็ยังไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 100 ไม่มีวันหายหิว
และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป
เพราะเธอดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า มันจะหายหิวได้อย่างไร..
เรื่องราวในวันนี้ก็เช่นกัน เราอยากให้คุณทําใจสบายๆ วางไจเบาๆ ค่อยๆ อ่านความคิดของเธอคนหนึ่ง เพราะความคิดของเธอดี น่าสนใจเพียงพอที่จะทําให้ไม่หลงไปดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าลําดับที่ 101 และแก้วต่อๆ ไปจนชั่วชีวิต อย่างไม่รู้จักคําว่าอิ่มเลยก็ได้
พจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ คุณหมอคนเก่ง เธอเป็นแพทย์หญิง มีฐานะ มีอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง มีอนาคตที่สดใสมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ มีผลการเรียนดี จนกระทั่งสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ พอเรียนจบก็ได้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่เจ้าชู้ มีความเข้าใจกัน เธอช่างมีทุกอย่างเพียบพร้อม แถมมีเพื่อนมากมายที่เธอรักและรักเธอ
“...ความรู้สึกพร้อมที่เรามี ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก มันทําให้หมอเองใช้คุณค่าของชีวิตฟุ่มเฟือยมากไป คือ เที่ยวทุกคืน ดื่มพอมึนๆ แต่อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน ตอนนั้นมันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งดื่มถึงเช้าค่อยแยกย้ายกันกลับ มันแปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่หมอไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่าการทําแบบนี้เก๋มาก รู้สึกภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมของกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน...”
ก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจําเป็นว่าจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทําบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณีก็น่าจะเพียงพอ จนกระทั่งเรียนจบหมอ ได้มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช ยิ่งทําให้เธอเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก
“...คือตัวเองไม่ค่อยเชื่อว่า คนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วย เห็นเด็กคลอดมากี่คนๆ ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินได้ 7 ก้าว แบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ยังนั่งคุยกับเพื่อนๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่งมาก คิดจะจัดระเบียบทางสังคมขึ้นมา จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้น แล้วใส่ปาฏิหาริย์เพื่อเพิ่มความศรัทธา และน่าเชื่อถือลงไป อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือจับต้องไม่ได้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า เราจะไม่เชื่อ”
เป็นความคิดที่หลายคนบนโลกใบนี้เชื่อและคิดอย่างเธอ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร..??
สิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคนเราก็คือ เราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเมื่อไหร่ ในที่สุดวันร้ายคืนร้ายก็มาถึง เธอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเดินไม่ได้ เธอต้องเขารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญมากทั่วทั้งโรงพยาบาล มารุมวินิจฉัน ดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเธอได้
“รักษามาทุกวิธีแล้ว จนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง เหมือนหมดหวังทุกอย่างในชีวิต กินยาก็แพ้กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลฯ เหลือ 42 กิโลฯ ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันกลับมาตั้งสติหยุดคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือนี่..!! ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคน เพื่อน หมอด้วยกันมารักษาดูอาการเราหมด เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง น่าจะรักษาหาย ก็กลับไม่หาย แล้วทําไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา ทําไมต้องเป็นเรา...”
วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ วิชาหมอที่เธอเรียนมาเกือบ 10 ปี แม้แต่สาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเธอก็หาไม่พบ ซ้ำบอกกับเธอได้เพียงว่า ให้เธอทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง
น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคุณคิดว่าคืออะไรกันแน่ !!!
อย่าฉลาด..อย่าง งมงาย !!!
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 1 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 2 แต่ไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 10 ก็ยังไม่หายหิว
เธอดื่มน้ำ แก้วที่ 100 ไม่มีวันหายหิว
และยังคงกระหายอยู่ร่ำไป
เพราะเธอดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า มันจะหายหิวได้อย่างไร..
เรื่องราวในวันนี้ก็เช่นกัน เราอยากให้คุณทําใจสบายๆ วางไจเบาๆ ค่อยๆ อ่านความคิดของเธอคนหนึ่ง เพราะความคิดของเธอดี น่าสนใจเพียงพอที่จะทําให้ไม่หลงไปดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าลําดับที่ 101 และแก้วต่อๆ ไปจนชั่วชีวิต อย่างไม่รู้จักคําว่าอิ่มเลยก็ได้
พจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ คุณหมอคนเก่ง เธอเป็นแพทย์หญิง มีฐานะ มีอาชีพที่มีเกียรติน่ายกย่อง มีอนาคตที่สดใสมาตลอด ตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ มีผลการเรียนดี จนกระทั่งสามารถสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ พอเรียนจบก็ได้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช เธอมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพี่น้องที่ไม่ทะเลาะกัน พ่อแม่ไม่เจ้าชู้ มีความเข้าใจกัน เธอช่างมีทุกอย่างเพียบพร้อม แถมมีเพื่อนมากมายที่เธอรักและรักเธอ
“...ความรู้สึกพร้อมที่เรามี ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก มันทําให้หมอเองใช้คุณค่าของชีวิตฟุ่มเฟือยมากไป คือ เที่ยวทุกคืน ดื่มพอมึนๆ แต่อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน ตอนนั้นมันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งดื่มถึงเช้าค่อยแยกย้ายกันกลับ มันแปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่หมอไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่าการทําแบบนี้เก๋มาก รู้สึกภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมของกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน...”
ก่อนหน้านั้นเธอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจําเป็นว่าจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นได้อย่างไร เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทําบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณีก็น่าจะเพียงพอ จนกระทั่งเรียนจบหมอ ได้มาเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช ยิ่งทําให้เธอเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีก
“...คือตัวเองไม่ค่อยเชื่อว่า คนอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วย เห็นเด็กคลอดมากี่คนๆ ก็ไม่เห็นใครจะสามารถเดินได้ 7 ก้าว แบบนี้ เป็นไปไม่ได้เลย ยังนั่งคุยกับเพื่อนๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่งมาก คิดจะจัดระเบียบทางสังคมขึ้นมา จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้น แล้วใส่ปาฏิหาริย์เพื่อเพิ่มความศรัทธา และน่าเชื่อถือลงไป อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ หรือจับต้องไม่ได้ ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า เราจะไม่เชื่อ”
เป็นความคิดที่หลายคนบนโลกใบนี้เชื่อและคิดอย่างเธอ แล้วคุณล่ะคิดอย่างไร..??
สิ่งที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคนเราก็คือ เราไม่รู้ว่าความเจ็บป่วยจะมาเยือนเมื่อไหร่ ในที่สุดวันร้ายคืนร้ายก็มาถึง เธอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมากถึงขั้นเดินไม่ได้ เธอต้องเขารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่งๆ ที่เชี่ยวชาญมากทั่วทั้งโรงพยาบาล มารุมวินิจฉัน ดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเธอได้
“รักษามาทุกวิธีแล้ว จนรู้สึกท้อแท้หมดหวัง เหมือนหมดหวังทุกอย่างในชีวิต กินยาก็แพ้กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลฯ เหลือ 42 กิโลฯ ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันกลับมาตั้งสติหยุดคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือนี่..!! ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคน เพื่อน หมอด้วยกันมารักษาดูอาการเราหมด เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง น่าจะรักษาหาย ก็กลับไม่หาย แล้วทําไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา ทําไมต้องเป็นเรา...”
วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ วิชาหมอที่เธอเรียนมาเกือบ 10 ปี แม้แต่สาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเธอก็หาไม่พบ ซ้ำบอกกับเธอได้เพียงว่า ให้เธอทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง
น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคุณคิดว่าคืออะไรกันแน่ !!!