เจอหลายคนที่แสดงความเห็นต่อ NCT Dream ว่าการเดบิ้วท์ในตอนเด็กมันดีจริงเหรอ ?!? ช่วงวัยนี้สมควรได้เล่นได้สนุกสนานอย่างสมวัยมากกว่ามั้ย..
แต่สำหรับเราคิดว่าเรื่องแบบนี้มันแล้วแต่บุคคล ความฝันความหวังของคนๆ นึงไม่น่าจะถูกจำกัดด้วยเรื่องของอายุ ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของแทมินที่เข้ากับช่วงจังหวะเวลาพอดี ยิ่งทำให้คิดว่า...
"ความฝันของเด็กคนหนึ่งช่างยิ่งใหญ่อะไรแบบนี้!!!"
บทสัมภาษณ์ของแทมิน
[แปล] Gekkan Audition 16/09 : แทมิน "จุดเริ่มต้น"
หลังจากที่ผมสนใจอยู่กับแต่การเต้น ผมก็มักจะเต้นอยู่ที่บ้านเสมอ
ในช่วงที่เรียนเกรด2 ผมเริ่มเต้นโดยดูไมเคิ้ล แจ็คสันเป็นแบบอย่าง แต่ว่าผมไม่ได้เข้าคลาสเรียนเต้นนะครับ ผมเลียนแบบพวกเขาจากการดูการเต้นของศิลปินที่หลากหลาย ที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า "การก็อปปี้อย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Copy)" ผมมีนิสัยแบบพวกโอตาคุ คือถ้าผมชอบอะไรมากๆผมก็จะเป็นคนประเภทที่สนใจอยู่กับแต่สิ่งนั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีความทรงจำของการออกไปเล่นข้างนอกบ้านกับเพื่อนๆ ผมก็มักจะเต้นอยู่ที่บ้านเสมอหลังจากที่สนใจอยู่กับแต่การเต้น ในบางวันที่ยาวนานบางทีผมเต้น 5-6 ชั่วโมง เมื่อตอนที่ผมได้รู้จักกับวงการบันเทิงตอนอายุ 11 ปี ในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่เกรด 5 ผู้คนรอบๆตัวที่รู้ว่าผมชอบการเต้นก็แนะนำผมว่า "น่าจะดีนะถ้าคุณได้เข้าไปในวงการบันเทิง" ผมก็เลยคิดว่า "มันคงไม่เลวนักถ้าผมลองทำมันดู" ผมตัดสินใจลองออดิชั่น ในตอนนั้นที่ที่ผมได้ไปออดิชั่นเป็นครั้งแรกก็คือบริษัทที่ผมทำงานอยู่ในตอนนี้ SM Entertainment ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจระบบของวงการบันเทิงดีนัก ดังนั้นในตอนที่ไปออดิชั่นผมก็คิดว่าผมได้ออดิชั่นที่บริษัทบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี (หัวเราะ) ถ้าผมตกรอบ ผมคิดว่าจะคิดทบทวนเกี่ยวกับมันอีกครั้งทีหลัง ผมเขียนใบสมัครด้วยตัวเอง ผมคิดว่าลายมือผมชุ่ยมากเลยนะเพราะตอนนั้นผมอยู่แค่เกรด 6 อาจจะเป็นเพราะว่าผมเขียนมันด้วยความจริงใจก็เลยออกมาดี
ตอนที่ผมผ่านการออดิชั่น ผมมีความสุขมาก และไม่อยากจะเชื่อเลย
จุดเริ่มต้นของศิลปินที่ชื่อแทมินคือการออดิชั่นครั้งนี้ จริงแล้วในเช้าวันนั้นผมก็ยังไม่รู้สึกว่ากำลังจะต้องไปทดสอบเพื่อเป็นคนดัง แต่ในวันนั้นตอนที่ผมย่างเท้าเข้าไปในบริษัทที่เป็นที่ออดิชั่นในตอนนั้น ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า "อ่า นี่ฉันกำลังจะเข้าไปออดิชั่นแล้วนี่" (หัวเราะ) ตอนที่ผมยืนอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการผมตื่นเต้นกังวลใจสุดๆเลยครับ แต่พอได้เต้นไปกับเพลงอย่างอิสระผมก็ผ่อนคลายลง ผมสามารถแสดงให้เห็นความเป็นตัวเองได้และผ่านมันไปได้ในครั้งแรก บางทีอาจเป็นเพราะเราเข้ากันได้ดี (บริษัทกับแทมิน) ตอนที่ผมรู้ว่าผมผ่านการออดิชั่น ผมมีความสุขถึงขนาดกระโดดโลดเต้นเลยครับ เพราะว่าผมไม่เคยเจอคนดังมาก่อน ผมไม่เชื่อเลย "ผมหรอ? ที่จะกลายเป็นคนดัง?" ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าชีวิตของเด็กฝึกแบบใดที่จะเริ่มต้นนับจากนี้
ผมร่วมการแข่งขันที่เป็นมิตรกับผู้คนที่มีความฝันเดียวกัน
ในเกาหลีเราเรียกมันว่า "จองคนดัง" คนที่จะได้รับการสอนจากบริษัทเพื่อเดบิวท์ มันได้ถูกตัดสินใจว่าผมจะได้เข้าบริษัทในฐานะเด็กฝึกทันทีที่ผ่านการออดิชั่น ผมกังวลใจในวันที่ผมเริ่มฝึกซ้อม ผมมีนิสัยเก็บตัว และเด็กฝึกทุกคนก็แก่กว่าผมกันหมด ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับพวกเขา ในตอนแรกผมก็เขินๆนะครับ แต่ผมก็ค่อยๆสนิทกับรุ่นพี่มากขึ้น ในเวลาที่เราได้ทำงานหนักร่วมกันกับคนที่ไล่ตามความฝันเดียวกันนั้นช่วยผลักดันและก็สนุกด้วย มันมีเรื่องน่าอายนิดหน่อยครับ คือในตอนนั้นผมได้ตัดสินใจว่า "ผมจะเป็นเหมือนไมเคิล แจ็คสัน" สำหรับผมแล้วเขาเป็นคนที่สูงส่งมาก และความปรารถนาของผมที่อยากจะสร้างทางเดินที่เป็นของตัวผมเองก็มีมากขึ้น ผมจึงไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว ผมก็เลยเลียนแบบท่าเต้นของไมเคิ้ล แจ็คสันอยู่บ่อยๆครับ
ผมไม่เคยคิดว่าจะเลิกแม้ว่าจะเจ็บปวด
ในวันหนึ่งที่ผมได้รับบทเรียน(สำหรับเด็กฝึกหัด)ที่หลากหลายมากว่า 3 ปี การเดบิวท์ของผมก็ได้ถูกตัดสินใจ ในตอนนั้นแทนที่จะดีใจผมกลับคิดอย่างกังวลว่า "ผมสงสัยว่ามันจะโอเคหรือ?" เพราะว่าผมได้ผ่านช่วงที่เสียงเปลี่ยน ทำให้ผมต้องหยุดเรียนร้องเพลงไปกว่า 1 ปี แล้วผมก็เพิ่งกลับมาฝึกร้องเพลงอีกครั้งได้ไม่นานเลย ผมยังขาดความสามารถอยู่และคิดว่ามันเร็วเกินไป ผมร้องเพลงได้ไม่ดีเลย หลังจากเดบิวท์ไปแล้วผมก็ยังได้รับการบอกว่า "แทมิน นายน่ะเต้นเก่งนะ แต่การร้องเพลงของนายไม่ได้ดีขนาดนั้น" ในบรรดาคำพูดทั้งหมดผมรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อถูกบอกว่า "ฉันไม่คิดว่านายเป็นนักร้องหรอกนะ" แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่า "ผมอยากจะเลิกแล้ว!" ยิ่งไปกว่านั้นผมกลับร้อนรุ่มที่จะแก้แค้นและคิดว่า "ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าคุณน่ะคิดผิด" (หัวเราะ) สำหรับผมแล้วตอนที่ได้ยินคำพูดนั่นเป็นจุดเปลี่ยน จิตวิญญานการแข่งขันในตัวผมได้ถูกจุดขึ้น ผมได้เริ่มฝึกร้องเพลงหนักกว่าเดิม ผมคิดว่าเพราะคำพูดเหล่านี้ทำให้ผมได้มีโซโล่อัลบั้มที่เกาหลี และเติบโตจนมีโซโล่เดบิวท์ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้ได้
เพราะว่านี่คือทางที่ผมเลือก ผมไม่เสียใจเลย
การได้กลายมาเป็นเด็กฝึกตอนอยู่เกรด 6 ในโรงเรียนประถม ได้เดบิวท์ตอนอยู่ปี 3 ในโรงเรียนมัธยม มาคิดๆดูในตอนนี้ ผมได้มุ่งหน้าสู่เป้าหมายด้วยความเร็วเต็มที่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมไม่สามารถเจอพ่อแม่ได้บ่อยๆเพราะต้องอยู่ที่หอพัก ผมไม่สามารถไปเที่ยวกับทางโรงเรียนได้ ผมคิดว่าผมมีช่วงเวลาในวัยเด็กแตกต่างจากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เพราะว่านี่เป็นทางที่ผมเลือกเอง ผมจะยอมรับในทุกๆสิ่ง และไม่รู้สึกเสียใจเลย ผมได้เตรียมพร้อมว่าชีวิตของผมจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ประถม บางทีผมอาจจะเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษกว่าเด็กวัยเดียวกัน (หัวเราะ)
ผมคิดว่าวงการบันเทิงเป็นที่ที่แตกต่างจากที่อื่น มีสายตาของผู้คนจับตาอยู่ มีหลายสิ่งที่ผมต้องระมัดระวัง อย่างเช่น ถ้ามีเพื่อนผู้หญิง แม้ว่าเราจะแค่กินข้าวกันผมก็อาจจะถูกเข้าใจผิดได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าผมเหมาะสมกับวงการบันเทิง เพราะผมชอบเต้นและร้องเพลง ผมไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะครับ (หัวเราะ)
งานของนักร้องไม่ใช่เพียงแค่การยืนอยู่บนเวที
สิ่งที่ผมอยากบอกคนที่อยากจะเข้าสู่วงการบันเทิงคือ มันจะไม่ยั่งยืนด้วยการทำด้วยทัศนคติที่ไม่เต็มใจ ตอนที่ผมยังเด็กผมเคยคิดว่าการร้องเพลงบนเวทีคืองานเดียวของนักร้อง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายสิ่งที่คุณต้องทำนอกเหนือจากนั้น การฝึกซ้อมเพื่อขึ้นแสดงบนเวทีต้องอาศัยความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ผมก็ยังต้องไปออกรายการวาไรตี้ (หัวเราะ) ผมอยากให้คุณรู้ว่ามันคือวงการที่บางครั้งคุณก็ต้องทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นที่จะไปต่อในทางที่คุณได้เลือก ผมก็คิดว่าคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน สำหรับผมนี่คือ "จุดเริ่มต้น ในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมอยากทำงานหนักโดยที่ไม่ลืมความตั้งใจเริ่มแรกของผม
5 คำถาม
Q: คำพูดที่คุณไม่อยากจะลืม
"คุณจะได้ออกโซโล่อัลบั้ม" นี่คือคำพูดที่ผมถูกบอกในห้องอัดจากการที่รับสายจากสต๊าฟของบริษัทในตอนที่กำลังเตรียมอัลบั้มที่ 5 ของชายนี่อยู่ ดูเหมือนว่าเมมเบอร์จะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนผมอีก พวกเขาดีใจกับผมแล้วพูดว่า "ในที่สุดการทำงานหนักของนายก็ได้รับการตอบแทน" "ดีแล้วนะ" การได้ออกโซโล่อัลบั้มเป็นความฝันของผมมานานแล้ว ผมจึงลืมช่วงเวลานั้นไม่ได้เลย
Q: ผลงานที่มีอิทธิพลต่อคุณ
มี pv ที่ชื่อว่า "Rhythm City Volume One : Caught Up" โดย Usher มันเป็น pv ที่มีเรื่องราวเหมือนกับการดูหนัง ผมดูมันในตอนที่เป็นเด็กฝึกอยู่ และผมก็ช็อค ผมดูมันเป็นร้อยๆรอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมอยากจะสร้าง pv แบบนั้นได้ในซักวันหนึ่ง
Q: เวทีแรกของคุณ
ในตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน มี Talent show ที่คุณจะสามารถโชว์ความสามารถพิเศษในห้องเรียนได้ ผมเต้นฟรีสไตล์ไปกับเสียงเพลง ทุกคนตื่นเต้นกันสุดๆกว่าที่ผมคิดไว้ เสียงกรี๊ดดังจากเด็กผู้หญิงดังกึกก้อง ผมได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจากการยืนอยู่บนเวทีเป็นครั้งแรกเลยครับ
Q: ความล้มเหลวบนเวที
ตอนที่ผมเต้นท่า Press Your Number ตอนช่วงทอล์คในคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น กางเกงผมขาด!ในท่อนคอรัส ดูเหมือนว่าแฟนๆที่ดูอยู่ก็สังเกตเห็น และผมก็อายมากเลยครับ (หัวเราะ)
Q: สิ่งที่คุณต้องการเพื่ออยู่รอดในวงการบันเทิง
เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นตัวเอง ผมว่ามันคือการตามหาเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องอยู่ในวงการบันเทิง เหตุผลว่าทำไมต้องเป็นผม (ไม่ใช่คนอื่น) อย่างเช่น การที่คุณสามารถบอกได้ว่าเป็นเพลงของใครโดยเพียงแค่ฟังเพลง ถึงผมจะพูดแบบนี้ผมก็ยังคงตามหา (ความเป็นตัวเอง) อยู่นะครับ
Eng trans: Mredwardsanders
TH trans: violita_tiara
Cr. Pic: SuperNoona
เป็นกำลังใจให้เด็กๆ NCT Dream ทุกคน...!!!!
NCT Dream "เดบิ้วท์ตอนเด็กนี่ดีจริงเหรอ" คำพูดนี้เปรียบเทียบกับประสบการณ์ของอีแทมิน SHINee ที่เดบิ้วท์มาในวัยเดียวกัน
แต่สำหรับเราคิดว่าเรื่องแบบนี้มันแล้วแต่บุคคล ความฝันความหวังของคนๆ นึงไม่น่าจะถูกจำกัดด้วยเรื่องของอายุ ยิ่งได้อ่านบทสัมภาษณ์ของแทมินที่เข้ากับช่วงจังหวะเวลาพอดี ยิ่งทำให้คิดว่า...
"ความฝันของเด็กคนหนึ่งช่างยิ่งใหญ่อะไรแบบนี้!!!"
บทสัมภาษณ์ของแทมิน
[แปล] Gekkan Audition 16/09 : แทมิน "จุดเริ่มต้น"
หลังจากที่ผมสนใจอยู่กับแต่การเต้น ผมก็มักจะเต้นอยู่ที่บ้านเสมอ
ในช่วงที่เรียนเกรด2 ผมเริ่มเต้นโดยดูไมเคิ้ล แจ็คสันเป็นแบบอย่าง แต่ว่าผมไม่ได้เข้าคลาสเรียนเต้นนะครับ ผมเลียนแบบพวกเขาจากการดูการเต้นของศิลปินที่หลากหลาย ที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า "การก็อปปี้อย่างสมบูรณ์แบบ (Complete Copy)" ผมมีนิสัยแบบพวกโอตาคุ คือถ้าผมชอบอะไรมากๆผมก็จะเป็นคนประเภทที่สนใจอยู่กับแต่สิ่งนั้น ถึงแม้ว่าผมจะมีความทรงจำของการออกไปเล่นข้างนอกบ้านกับเพื่อนๆ ผมก็มักจะเต้นอยู่ที่บ้านเสมอหลังจากที่สนใจอยู่กับแต่การเต้น ในบางวันที่ยาวนานบางทีผมเต้น 5-6 ชั่วโมง เมื่อตอนที่ผมได้รู้จักกับวงการบันเทิงตอนอายุ 11 ปี ในตอนที่ผมกำลังเรียนอยู่เกรด 5 ผู้คนรอบๆตัวที่รู้ว่าผมชอบการเต้นก็แนะนำผมว่า "น่าจะดีนะถ้าคุณได้เข้าไปในวงการบันเทิง" ผมก็เลยคิดว่า "มันคงไม่เลวนักถ้าผมลองทำมันดู" ผมตัดสินใจลองออดิชั่น ในตอนนั้นที่ที่ผมได้ไปออดิชั่นเป็นครั้งแรกก็คือบริษัทที่ผมทำงานอยู่ในตอนนี้ SM Entertainment ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจระบบของวงการบันเทิงดีนัก ดังนั้นในตอนที่ไปออดิชั่นผมก็คิดว่าผมได้ออดิชั่นที่บริษัทบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี (หัวเราะ) ถ้าผมตกรอบ ผมคิดว่าจะคิดทบทวนเกี่ยวกับมันอีกครั้งทีหลัง ผมเขียนใบสมัครด้วยตัวเอง ผมคิดว่าลายมือผมชุ่ยมากเลยนะเพราะตอนนั้นผมอยู่แค่เกรด 6 อาจจะเป็นเพราะว่าผมเขียนมันด้วยความจริงใจก็เลยออกมาดี
ตอนที่ผมผ่านการออดิชั่น ผมมีความสุขมาก และไม่อยากจะเชื่อเลย
จุดเริ่มต้นของศิลปินที่ชื่อแทมินคือการออดิชั่นครั้งนี้ จริงแล้วในเช้าวันนั้นผมก็ยังไม่รู้สึกว่ากำลังจะต้องไปทดสอบเพื่อเป็นคนดัง แต่ในวันนั้นตอนที่ผมย่างเท้าเข้าไปในบริษัทที่เป็นที่ออดิชั่นในตอนนั้น ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่า "อ่า นี่ฉันกำลังจะเข้าไปออดิชั่นแล้วนี่" (หัวเราะ) ตอนที่ผมยืนอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการผมตื่นเต้นกังวลใจสุดๆเลยครับ แต่พอได้เต้นไปกับเพลงอย่างอิสระผมก็ผ่อนคลายลง ผมสามารถแสดงให้เห็นความเป็นตัวเองได้และผ่านมันไปได้ในครั้งแรก บางทีอาจเป็นเพราะเราเข้ากันได้ดี (บริษัทกับแทมิน) ตอนที่ผมรู้ว่าผมผ่านการออดิชั่น ผมมีความสุขถึงขนาดกระโดดโลดเต้นเลยครับ เพราะว่าผมไม่เคยเจอคนดังมาก่อน ผมไม่เชื่อเลย "ผมหรอ? ที่จะกลายเป็นคนดัง?" ผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าชีวิตของเด็กฝึกแบบใดที่จะเริ่มต้นนับจากนี้
ผมร่วมการแข่งขันที่เป็นมิตรกับผู้คนที่มีความฝันเดียวกัน
ในเกาหลีเราเรียกมันว่า "จองคนดัง" คนที่จะได้รับการสอนจากบริษัทเพื่อเดบิวท์ มันได้ถูกตัดสินใจว่าผมจะได้เข้าบริษัทในฐานะเด็กฝึกทันทีที่ผ่านการออดิชั่น ผมกังวลใจในวันที่ผมเริ่มฝึกซ้อม ผมมีนิสัยเก็บตัว และเด็กฝึกทุกคนก็แก่กว่าผมกันหมด ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับพวกเขา ในตอนแรกผมก็เขินๆนะครับ แต่ผมก็ค่อยๆสนิทกับรุ่นพี่มากขึ้น ในเวลาที่เราได้ทำงานหนักร่วมกันกับคนที่ไล่ตามความฝันเดียวกันนั้นช่วยผลักดันและก็สนุกด้วย มันมีเรื่องน่าอายนิดหน่อยครับ คือในตอนนั้นผมได้ตัดสินใจว่า "ผมจะเป็นเหมือนไมเคิล แจ็คสัน" สำหรับผมแล้วเขาเป็นคนที่สูงส่งมาก และความปรารถนาของผมที่อยากจะสร้างทางเดินที่เป็นของตัวผมเองก็มีมากขึ้น ผมจึงไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว ผมก็เลยเลียนแบบท่าเต้นของไมเคิ้ล แจ็คสันอยู่บ่อยๆครับ
ผมไม่เคยคิดว่าจะเลิกแม้ว่าจะเจ็บปวด
ในวันหนึ่งที่ผมได้รับบทเรียน(สำหรับเด็กฝึกหัด)ที่หลากหลายมากว่า 3 ปี การเดบิวท์ของผมก็ได้ถูกตัดสินใจ ในตอนนั้นแทนที่จะดีใจผมกลับคิดอย่างกังวลว่า "ผมสงสัยว่ามันจะโอเคหรือ?" เพราะว่าผมได้ผ่านช่วงที่เสียงเปลี่ยน ทำให้ผมต้องหยุดเรียนร้องเพลงไปกว่า 1 ปี แล้วผมก็เพิ่งกลับมาฝึกร้องเพลงอีกครั้งได้ไม่นานเลย ผมยังขาดความสามารถอยู่และคิดว่ามันเร็วเกินไป ผมร้องเพลงได้ไม่ดีเลย หลังจากเดบิวท์ไปแล้วผมก็ยังได้รับการบอกว่า "แทมิน นายน่ะเต้นเก่งนะ แต่การร้องเพลงของนายไม่ได้ดีขนาดนั้น" ในบรรดาคำพูดทั้งหมดผมรู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อถูกบอกว่า "ฉันไม่คิดว่านายเป็นนักร้องหรอกนะ" แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่า "ผมอยากจะเลิกแล้ว!" ยิ่งไปกว่านั้นผมกลับร้อนรุ่มที่จะแก้แค้นและคิดว่า "ผมจะพิสูจน์ให้ดูว่าคุณน่ะคิดผิด" (หัวเราะ) สำหรับผมแล้วตอนที่ได้ยินคำพูดนั่นเป็นจุดเปลี่ยน จิตวิญญานการแข่งขันในตัวผมได้ถูกจุดขึ้น ผมได้เริ่มฝึกร้องเพลงหนักกว่าเดิม ผมคิดว่าเพราะคำพูดเหล่านี้ทำให้ผมได้มีโซโล่อัลบั้มที่เกาหลี และเติบโตจนมีโซโล่เดบิวท์ที่ญี่ปุ่นในตอนนี้ได้
เพราะว่านี่คือทางที่ผมเลือก ผมไม่เสียใจเลย
การได้กลายมาเป็นเด็กฝึกตอนอยู่เกรด 6 ในโรงเรียนประถม ได้เดบิวท์ตอนอยู่ปี 3 ในโรงเรียนมัธยม มาคิดๆดูในตอนนี้ ผมได้มุ่งหน้าสู่เป้าหมายด้วยความเร็วเต็มที่จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผมไม่สามารถเจอพ่อแม่ได้บ่อยๆเพราะต้องอยู่ที่หอพัก ผมไม่สามารถไปเที่ยวกับทางโรงเรียนได้ ผมคิดว่าผมมีช่วงเวลาในวัยเด็กแตกต่างจากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เพราะว่านี่เป็นทางที่ผมเลือกเอง ผมจะยอมรับในทุกๆสิ่ง และไม่รู้สึกเสียใจเลย ผมได้เตรียมพร้อมว่าชีวิตของผมจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่อยู่ประถม บางทีผมอาจจะเป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษกว่าเด็กวัยเดียวกัน (หัวเราะ)
ผมคิดว่าวงการบันเทิงเป็นที่ที่แตกต่างจากที่อื่น มีสายตาของผู้คนจับตาอยู่ มีหลายสิ่งที่ผมต้องระมัดระวัง อย่างเช่น ถ้ามีเพื่อนผู้หญิง แม้ว่าเราจะแค่กินข้าวกันผมก็อาจจะถูกเข้าใจผิดได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่าผมเหมาะสมกับวงการบันเทิง เพราะผมชอบเต้นและร้องเพลง ผมไม่ชอบทำงานนั่งโต๊ะครับ (หัวเราะ)
งานของนักร้องไม่ใช่เพียงแค่การยืนอยู่บนเวที
สิ่งที่ผมอยากบอกคนที่อยากจะเข้าสู่วงการบันเทิงคือ มันจะไม่ยั่งยืนด้วยการทำด้วยทัศนคติที่ไม่เต็มใจ ตอนที่ผมยังเด็กผมเคยคิดว่าการร้องเพลงบนเวทีคืองานเดียวของนักร้อง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายสิ่งที่คุณต้องทำนอกเหนือจากนั้น การฝึกซ้อมเพื่อขึ้นแสดงบนเวทีต้องอาศัยความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าผมจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ผมก็ยังต้องไปออกรายการวาไรตี้ (หัวเราะ) ผมอยากให้คุณรู้ว่ามันคือวงการที่บางครั้งคุณก็ต้องทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ถ้าคุณมีความมุ่งมั่นที่จะไปต่อในทางที่คุณได้เลือก ผมก็คิดว่าคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน สำหรับผมนี่คือ "จุดเริ่มต้น ในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมอยากทำงานหนักโดยที่ไม่ลืมความตั้งใจเริ่มแรกของผม
5 คำถาม
Q: คำพูดที่คุณไม่อยากจะลืม
"คุณจะได้ออกโซโล่อัลบั้ม" นี่คือคำพูดที่ผมถูกบอกในห้องอัดจากการที่รับสายจากสต๊าฟของบริษัทในตอนที่กำลังเตรียมอัลบั้มที่ 5 ของชายนี่อยู่ ดูเหมือนว่าเมมเบอร์จะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนผมอีก พวกเขาดีใจกับผมแล้วพูดว่า "ในที่สุดการทำงานหนักของนายก็ได้รับการตอบแทน" "ดีแล้วนะ" การได้ออกโซโล่อัลบั้มเป็นความฝันของผมมานานแล้ว ผมจึงลืมช่วงเวลานั้นไม่ได้เลย
Q: ผลงานที่มีอิทธิพลต่อคุณ
มี pv ที่ชื่อว่า "Rhythm City Volume One : Caught Up" โดย Usher มันเป็น pv ที่มีเรื่องราวเหมือนกับการดูหนัง ผมดูมันในตอนที่เป็นเด็กฝึกอยู่ และผมก็ช็อค ผมดูมันเป็นร้อยๆรอบซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมอยากจะสร้าง pv แบบนั้นได้ในซักวันหนึ่ง
Q: เวทีแรกของคุณ
ในตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน มี Talent show ที่คุณจะสามารถโชว์ความสามารถพิเศษในห้องเรียนได้ ผมเต้นฟรีสไตล์ไปกับเสียงเพลง ทุกคนตื่นเต้นกันสุดๆกว่าที่ผมคิดไว้ เสียงกรี๊ดดังจากเด็กผู้หญิงดังกึกก้อง ผมได้สัมผัสถึงความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจากการยืนอยู่บนเวทีเป็นครั้งแรกเลยครับ
Q: ความล้มเหลวบนเวที
ตอนที่ผมเต้นท่า Press Your Number ตอนช่วงทอล์คในคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่น กางเกงผมขาด!ในท่อนคอรัส ดูเหมือนว่าแฟนๆที่ดูอยู่ก็สังเกตเห็น และผมก็อายมากเลยครับ (หัวเราะ)
Q: สิ่งที่คุณต้องการเพื่ออยู่รอดในวงการบันเทิง
เพื่อแสดงให้เห็นความเป็นตัวเอง ผมว่ามันคือการตามหาเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องอยู่ในวงการบันเทิง เหตุผลว่าทำไมต้องเป็นผม (ไม่ใช่คนอื่น) อย่างเช่น การที่คุณสามารถบอกได้ว่าเป็นเพลงของใครโดยเพียงแค่ฟังเพลง ถึงผมจะพูดแบบนี้ผมก็ยังคงตามหา (ความเป็นตัวเอง) อยู่นะครับ
Eng trans: Mredwardsanders
TH trans: violita_tiara
Cr. Pic: SuperNoona
เป็นกำลังใจให้เด็กๆ NCT Dream ทุกคน...!!!!