สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง... หมายความว่า วัดพระธรรมกายกล่าวข้อความอันเป็นเท็จ เข้าข่ายหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในสาระสำคัญ!
ที่สำคัญผู้ให้ข้อมูลก็ไม่ได้ปกปิดชื่อและตำแหน่งหน้าที่... บอกทั้งชื่อจริงนามสกุลจริง นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ นายช่างประจำ(กรม)ศิลปากร
แถมยังระบุอีกด้วยว่าเป็นศิษย์เก่าวิทยาลัยช่างศิลป์... อย่างนี้เช็คได้ไม่ยาก ว่าสิ่งที่เค้าพูดเป็นจริงหรือเท็จ
วัดพระธรรมกายมีความจริงอะไรที่จะแก้ตัวแก้ต่าง ก็สมควรจะพูดออกมา... ไม่ใช่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนี้...
ที่สำคัญผู้ให้ข้อมูลก็ไม่ได้ปกปิดชื่อและตำแหน่งหน้าที่... บอกทั้งชื่อจริงนามสกุลจริง นายบุญส่ง นุชน้อมบุญ นายช่างประจำ(กรม)ศิลปากร
แถมยังระบุอีกด้วยว่าเป็นศิษย์เก่าวิทยาลัยช่างศิลป์... อย่างนี้เช็คได้ไม่ยาก ว่าสิ่งที่เค้าพูดเป็นจริงหรือเท็จ
วัดพระธรรมกายมีความจริงอะไรที่จะแก้ตัวแก้ต่าง ก็สมควรจะพูดออกมา... ไม่ใช่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่อย่างนี้...
ความคิดเห็นที่ 12
1 "เราสอนให้ละ" "กูสอนให้รวย"
- คุณอย่าตัดเอาแค่คำสั้นๆมานำเสนอ ถ้าคุณฟังยาวๆบ่อยๆแล้วคุณจะได้ยินและเข้าใจ ความหมายของวัดธรรมกายให้รวยเพื่อนำความรวยนั้นมาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ มักจะได้ยินหลวงธัมชโยเทศน์บ่อยๆว่า "ขอให้เป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุ้นพระพุทธศาสนา" มันก็เป็นผลดีกับอายุพระพุทธศาสนาจะได้สืบทอดต่อไป เกิดมารวยแล้วทำให้ง่ายต่อการสร้างบุญสร้างบารมี ถ้าเกิดมาจนแล้วจะเอาอารมณ์ที่ใหนสร้างบุญสร้างมารมี แต่ละวันในครอบครัวจะมีกินหรือไม่ก็ไม่รู้จ มีใครบ้างที่อยากเกิดมาจน ถ้าคนไม่ศรัทธาพระ ไม่ศรัทธาวัด ไม่ทำบุญกับพระ ไม่ทำบุญกับวัด ก็จะทำให้พระก็อยู่ไม่ได้ วัดก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายแล้วพระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เคยตรัสเอาไว้ว่า
"เหตุใดไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ์ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า แม้หากว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริงดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ อย่างเลวพวกเราก็เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่ามีจริงดั่งที่ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับ แล้วเราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญและความดีไว้ สร้างสมแต่ความชั่วและบาปกรรมตามติดตัวไป เราท่านทั้งหลายไม่ขาดทุนหรอกหรือ เวลาในชีวิตของเราที่ควรจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ กลับต้องโมฆะเสียเปล่าก็สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็น " โมฆะบุรุษ " โดยแท้"
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara68.htm
พุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องทำทาน
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษครั้นให้ทานด้วยศรัทธา
ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรรณดียิ่งนักในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล(บังเกิดขึ้น)"
2 "เราสอนให้ตัดกิเลสไปนิพพาน" "กูสอนให้อยากไปสวรรค์"
ในโลกของความเป็นจริงในยุคปัจจุบันนี้ จะมีคนหมดกิเลสแล้วไปนิพพานสักกี่คน หรือจะมีสักคนไหมที่ตายแล้วไปนิพพานไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม จะมีสักคนไหมที่ตายแล้วเผาเสร็จแล้วกระดูกกลายเป็นพระธาตุ ในเมือการไปนิพพานไม่ใช่ของง่ายๆ เมื่อยังไปนิพพานยังไม่ได้ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป แล้วถ้าคุณไม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้วคุณจะไปอยู่ที่ใหน ถ้าไม่ไปอยู่บนสวรรค์ก็มีที่อยู่อีก 4 ที่ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้คืออบายภมิ 4 คือ มหานรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัญฉาน เป็นสถานที่ที่ผู้สร้างบาปอกุศลไปอยู่กัน
วัดพระธรรมกายพูดเรื่องนิพพานมากมาย แม้แต่คำอธิฐานของคนวัดพระธรรมกายหลวงพ่อธัมชโยท่านจะนำกล่าวคำอธิฐานลงท้ายด้วย "นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ" เสมอ
3 "เราสอนให้ยึดธรรม" "กูสอนให้ยึดวัตถุ"
วัดพระธรรมกายเวลามีงานบุญคนจะเข้าวัดทำบุญจำนวนแสน ถ้าไม่สร้างอาคารใหญ่ๆแล้วเวลาฝนตกแดดจ้าคนเหล่านี้เค้าจะอยู่ได้อย่างไร มันก็ต้องสร้างอาคารหลังใหญ่ๆให้เค้าปฏิบัติธรรมกัน วัดพระธรรมกายมีนโยบายที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก งานใหญ่อย่างนี้ต้องใช้ทุนมากต้องใช้บุคลากรในการการทำงานในแผนกในส่วนต่างๆมาก อาคารจึงจำเป็นต้องสร้างใหญ่ๆและให้มากๆให้เพียงพอกับงานและบุคลากรที่จะต้องใช้
4 "เราสอนอภัยทานคือทานสูงสุด" "กูสอนให้นึกถึงแต่ใช้เงินทำบุญ"
อภัยทานคือทานสูงสุด ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยมี มีแต่ของพระพุธทาสที่บัญญัติขึ้นมาเอง ซึ่งพระพุธทาสเป็นผู้ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับพระไตรปิฏกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ของพระสัมมาสัมพุธเจ้าคือ "ให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง" ถ้ามีใครแย้งช่วยเอาพุธพจน์มา และให้บอกที่อยู่ในพระไตรปิฏกมาด้วยว่าอยู่หน้าใหนของพระไตรปิฏก
5 "เราบัญญัติห้ามอวดฤทธิ์" "กูคือหัวหน้าพระพุธเจ้า"
ท่านเคยพูดไว้ที่ใหน เมื่อไร
6 "เราบัญญัติห้ามขโมย" "กูยักยอกที่ดินวัด"
ศาลฏีกาตัดสินเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วยัง แล้วเจตนาจริงๆเป็นอย่างไร
7 "เราบัญญัติห้ามโกหก" "กูเล่าเรื่องแม่ชีปัดระเบิด"
ไปฟังจากปากของอุบาสิกาแม่ชีจันทร์เองว่าจริงไหม ท่านก็เล่าตามที่ครูบาอาจารย์ของท่านเล่าให้ฟัง
https://www.youtube.com/watch?v=6vK9noh45Qw
6.20 น.
1 "เราสอนให้ละ" "กูสอนให้รวย"
- คุณอย่าตัดเอาแค่คำสั้นๆมานำเสนอ ถ้าคุณฟังยาวๆบ่อยๆแล้วคุณจะได้ยินและเข้าใจ ความหมายของวัดธรรมกายให้รวยเพื่อนำความรวยนั้นมาสร้างบุญสร้างบารมีต่อ มักจะได้ยินหลวงธัมชโยเทศน์บ่อยๆว่า "ขอให้เป็นเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุ้นพระพุทธศาสนา" มันก็เป็นผลดีกับอายุพระพุทธศาสนาจะได้สืบทอดต่อไป เกิดมารวยแล้วทำให้ง่ายต่อการสร้างบุญสร้างบารมี ถ้าเกิดมาจนแล้วจะเอาอารมณ์ที่ใหนสร้างบุญสร้างมารมี แต่ละวันในครอบครัวจะมีกินหรือไม่ก็ไม่รู้จ มีใครบ้างที่อยากเกิดมาจน ถ้าคนไม่ศรัทธาพระ ไม่ศรัทธาวัด ไม่ทำบุญกับพระ ไม่ทำบุญกับวัด ก็จะทำให้พระก็อยู่ไม่ได้ วัดก็อยู่ไม่ได้ สุดท้ายแล้วพระพุทธศาสนาก็จะอยู่ไม่ได้
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เคยตรัสเอาไว้ว่า
"เหตุใดไม่เร่งขวนขวายสร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ์ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า แม้หากว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริงดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ อย่างเลวพวกเราก็เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนเอาไว้ว่ามีจริงดั่งที่ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับ แล้วเราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญและความดีไว้ สร้างสมแต่ความชั่วและบาปกรรมตามติดตัวไป เราท่านทั้งหลายไม่ขาดทุนหรอกหรือ เวลาในชีวิตของเราที่ควรจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ กลับต้องโมฆะเสียเปล่าก็สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็น " โมฆะบุรุษ " โดยแท้"
http://www.kanlayanatam.com/sara/sara68.htm
พุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องทำทาน
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตบุรุษครั้นให้ทานด้วยศรัทธา
ย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรรณดียิ่งนักในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล(บังเกิดขึ้น)"
2 "เราสอนให้ตัดกิเลสไปนิพพาน" "กูสอนให้อยากไปสวรรค์"
ในโลกของความเป็นจริงในยุคปัจจุบันนี้ จะมีคนหมดกิเลสแล้วไปนิพพานสักกี่คน หรือจะมีสักคนไหมที่ตายแล้วไปนิพพานไม่ว่าจะเป็นพระหรือโยม จะมีสักคนไหมที่ตายแล้วเผาเสร็จแล้วกระดูกกลายเป็นพระธาตุ ในเมือการไปนิพพานไม่ใช่ของง่ายๆ เมื่อยังไปนิพพานยังไม่ได้ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป แล้วถ้าคุณไม่ไปอยู่บนสวรรค์แล้วคุณจะไปอยู่ที่ใหน ถ้าไม่ไปอยู่บนสวรรค์ก็มีที่อยู่อีก 4 ที่ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้คืออบายภมิ 4 คือ มหานรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัญฉาน เป็นสถานที่ที่ผู้สร้างบาปอกุศลไปอยู่กัน
วัดพระธรรมกายพูดเรื่องนิพพานมากมาย แม้แต่คำอธิฐานของคนวัดพระธรรมกายหลวงพ่อธัมชโยท่านจะนำกล่าวคำอธิฐานลงท้ายด้วย "นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ" เสมอ
3 "เราสอนให้ยึดธรรม" "กูสอนให้ยึดวัตถุ"
วัดพระธรรมกายเวลามีงานบุญคนจะเข้าวัดทำบุญจำนวนแสน ถ้าไม่สร้างอาคารใหญ่ๆแล้วเวลาฝนตกแดดจ้าคนเหล่านี้เค้าจะอยู่ได้อย่างไร มันก็ต้องสร้างอาคารหลังใหญ่ๆให้เค้าปฏิบัติธรรมกัน วัดพระธรรมกายมีนโยบายที่จะเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก งานใหญ่อย่างนี้ต้องใช้ทุนมากต้องใช้บุคลากรในการการทำงานในแผนกในส่วนต่างๆมาก อาคารจึงจำเป็นต้องสร้างใหญ่ๆและให้มากๆให้เพียงพอกับงานและบุคลากรที่จะต้องใช้
4 "เราสอนอภัยทานคือทานสูงสุด" "กูสอนให้นึกถึงแต่ใช้เงินทำบุญ"
อภัยทานคือทานสูงสุด ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยมี มีแต่ของพระพุธทาสที่บัญญัติขึ้นมาเอง ซึ่งพระพุธทาสเป็นผู้ที่ปฏิเสธและไม่ยอมรับพระไตรปิฏกที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ของพระสัมมาสัมพุธเจ้าคือ "ให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง" ถ้ามีใครแย้งช่วยเอาพุธพจน์มา และให้บอกที่อยู่ในพระไตรปิฏกมาด้วยว่าอยู่หน้าใหนของพระไตรปิฏก
5 "เราบัญญัติห้ามอวดฤทธิ์" "กูคือหัวหน้าพระพุธเจ้า"
ท่านเคยพูดไว้ที่ใหน เมื่อไร
6 "เราบัญญัติห้ามขโมย" "กูยักยอกที่ดินวัด"
ศาลฏีกาตัดสินเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วยัง แล้วเจตนาจริงๆเป็นอย่างไร
7 "เราบัญญัติห้ามโกหก" "กูเล่าเรื่องแม่ชีปัดระเบิด"
ไปฟังจากปากของอุบาสิกาแม่ชีจันทร์เองว่าจริงไหม ท่านก็เล่าตามที่ครูบาอาจารย์ของท่านเล่าให้ฟัง
https://www.youtube.com/watch?v=6vK9noh45Qw
6.20 น.
แสดงความคิดเห็น
ช่างหล่อแฉ ‘หลวงพ่อสดทองคำ 1 ตัน’ ของจริงหนักแค่ 420 ก.ก. หวั่นกลัวผิดศีล 5 จึงยอมเปิดความจริง ไม่ต้องร่วมขบวนโกหก
“หลังจากตกลงกันแล้ว 2 สัปดาห์ต่อมาทางวัดเชิญผมและทีมงาน ซึ่งมีลูกน้องผมไปด้วยกัน 2 คน ไปตัวเปล่า เพราะเห็นว่าทองคำจำนวนมากจึงไม่เอาของส่วนตัวติดไปเลย เมื่อไปถึงวัดมีช่างของวัดหลายคนมาช่วยกันโดยช่างบางรายเป็นพระ และผู้ปฏิบัติธรรมที่มีความรู้ทั้งทางจิตรกรรม ช่างศิลป์ และวิศวกรรมมาควบคุมการทำงานอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ครั้งแรกผมหล่อด้วยตะกั่วหนัก 400 กิโลกรัม (ก.ก.) เมื่อหล่อรูปเหมือนตะกั่วเสร็จแล้วก็กลับมาอีกครั้งเพื่อหล่อพระทองคำ โดยผมกำหนดใช้ทองคำประมาณ 400 ก.ก. และทางวัดบอกว่ามีทองคำ 99.95% จำนวน 600 ก.ก. เตรียมไว้ ทุกขั้นตอนจะมีเจ้าหน้าที่ของวัดดูแลอย่างรัดกุม และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคุมเข้มตลอดเวลา” นายบุญส่งกล่าว
นายบุญส่งกล่าวต่อว่า หลังจากตนเบิกทองคำมาแล้วใช้วิธีหลอมทองจำนวน 10 เบ้าหลอม แต่ละเบ้าหลอมมีทองจำนวน 60 ก.ก. ซึ่งใช้ทองไปเพียง 7 เบ้า หรือประมาณ 420 ก.ก. ก็เต็มองค์ ส่วนทองที่เหลืออีก 3 เบ้า ทางวัดตอบว่าจะนำไปหล่อพระพุทธรูปในโอกาสต่อไป หลังจากเสร็จพิธีแททองหล่อพระในวันดังกล่าวตนไม่เคยไปที่วัดนี้อีกเลย และไม่ทราบมาก่อนว่าทางวัดประชาสัมพันธ์ว่าพระองค์ดังกล่าวมีน้ำหนักถึง 1 ตัน ครั้งแรกรู้สึกแปลกใจเพราะเท่าที่สอบถามญาติโยมที่ไปทำบุญ หลายรายดูจะไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากมาย แต่สามารถบริจาคได้ถึงคนละ 1-2 ก.ก.
“ผมไม่อยากโกหก เพราะผมไม่มีลับลมคมในและผลประโยชน์ใดๆกับวัด เมื่อสื่อมวลชต้องการข้อเท็จจริงผมก็ต้องเปิดเผย เนื่องจากการหล่อพระหลวงพ่อทองคำขนาดใหญ่นี้ ผมต้องบันทึกลงจดหมายเหตุของช่างว่าสร้างเมื่อใด ขั้นตอนอย่างไร จะโกหกว่ามีน้ำนหักทองคำ 1 ตันจริงไม่ได้ เพราะรูปหล่อนี้มีลักษณะที่กลวง หนาประมาณ 3.0 – 4.0 มิลลิเมตรเท่านั้น ไม่ใช่องค์เต็ม หากเทให้เต็มองค์ต้องใช้ทองคำหนักถึง 3 ตัน ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่จำเป็น” นายบุญส่งกล่าว
https://thaidhammakaya.wordpress.com/2015/03/06/gold/