"Success is not a destination, it's a J O U R N E Y."
สำหรับปลายทางของการเดินทางครั้งใหม่นี้อยู่ที่บ้านลีซู อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
ภาคเหนือของประเทศไทยเรานั่นเอง ซึ่งรอบนี้ก็ยังคงเป็นการเที่ยวระยะทางไกลเช่นเดิม
แต่เพิ่มเติมตรงที่ว่า..ครั้งนี้เราออกเดินทางคนเดียวค่ะ ส่วนจะพาตัวเองไปยังจุดหมายยังไงนั้น
ตามมาดูพร้อมๆกันเลย
1.การเดินทางขาไป
กรุงเทพฯ (หมอชิต2) - เชียงดาว
จริงๆการเดินทางไปเชียงดาวมีหลายวิธีมากๆ แต่เราเลือกไปรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ - บ้านท่าตอน (ตามภาพ) เพราะรถทัวร์สายนี้วิ่งผ่านตัวอำเภอเชียงดาวเลยค่ะ นั่นก็หมายความว่าเรานั่งรถแค่ต่อเดียวก็ถึงเชียงดาวแล้ว หากใครจะไปแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อน โดยจองผ่าน
http://www.thaiticketmajor.com/ แล้วพอวันที่ออกเดินทางก็ปริ๊นตั๋วออนไลน์ไปขึ้นตั๋วฉบับจริงที่หน้าเค้าเตอร์ของบริษัทรถทัวร์ที่เราจองไว้
ครั้งนี้เราเลือกทัวร์ประเภท ป.1 ของบริษัท ขนส่ง จำกัด ราคาตั๋ว 533 บาท ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ รอบ 18.30 น. กำหนดถึงเชียงดาวคือเวลา 06.30 น. ของวันถัดไป แต่พอเอาจริงๆรถทัวร์จะออกช้ากว่ากำหนดเวลาประมาน 11 นาที วันนั้นเราออกจากหมอชิต2 ตอน 18.41 น. และถึงจุดหมายช้ากว่ากำหนดไป 40 นาที เท่าที่จำได้วันนั้นเราถึงตัวเชียงดาวประมาน 07.12 น. บนรถทัวร์มีขนม-น้ำ-ผ้าห่มแจกให้ มี TV เปิดให้ดูตลอดทาง บริการดีใช้ได้เลยค่ะ นั่งไปสักพักเขาก็จะมาถามเราว่าลงตรงไหน ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ย้ำพนักงานดูแลได้ว่าถ้าถึงที่แล้วอย่าลืมมาเรียกด้วย อะไรแบบนี้ก็ว่าไปกันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ ฮ่าๆ ครั้งนี้ให้บอกพนักงานว่า "ลงตรงโลตัสเชียงดาว"
....เขาไม่จอดให้หรอกค่ะเพราะไม่ใช่ที่จอดของเขา แต่จะจอดให้ตรงโรงแรมเชียงดาว ซึ่งเลยโลตัสไปนิดหน่อย พอลงตรงโรงแรมแล้ว แนะนำให้เพื่อนๆเดินย้อนกลับมาที่โลตัส คือทำยังไงก็ได้ให้พาตัวเองมาอยู่ที่โลตัสเชียงดาว
...เอาล่ะค่ะพอถึงเชียงดาวแล้ว ใครที่คิดว่าจะได้พักผ่อน คิดผิดมหันต์เพราะเรายังต้องเดินทางกันต่อไปอีกค่ะ
และมันก็วัดดวงมากๆด้วย เพราะมันไม่มีรถประจำทางขึ้นไปยังบ้านลีซูที่เราจะไปพักไงล่ะคะ
อ้าว..แล้วทีนี้ต้องทำยังไงล่ะ...???
ตัวอำเภอเชียงดาว - บ้านลีซู
ไม่มีรถประจำทางไปแล้วจะไปยังไงดี....คำตอบคือ..โบกรถชาวบ้านไป สถานที่โบกรถก็คือ ร้านค้าที่ชื่อว่า "แสงจันทร์" ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามแบบเยื้องๆกับโลตัสเชียงดาวนั่นล่ะ (ตามภาพ) ซึ่งวันนั้นเราโชคดีตรงที่มีรถชาวบ้านจอดรออยู่แล้วเพราะเขาจะเอาข้าวสารไปส่งที่บ้านระเบียงดาวพอดี แต่ถ้าใครมาแล้วไม่เจอรถและไม่กล้าโบกรถชาวบ้าน ทางที่พักบ้านลีซูเขามีบริการให้เราโทรเรียกรถชาวบ้านมารับ 093-298-1201 ค่าบริการคนละ 50 บาท ส่งถึงหน้าบ้านพักเลยค่ะ
ระยะทางจากตัวอำเภอขึ้นไปยังบ้านพักลีซูก็ราวๆ 20 กว่ากิโล ใช้เวลาเดินทางประมาน 30 นาที เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวและชัน หากใครที่เมารถง่ายควรพกยาแก้เมารถติดไปด้วย โดยบอกคนขับรถว่าลงบ้านลีซู อ่อช่วงทางขึ้นเราผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาจะเก็บเก็บค่าผ่านทางเราค่ะ คนละ 20 บาท จากนั้นก็นั่งต่อยาวๆไป วิวข้างทางสวยมาก อากาศวันที่เราไป (6 สิงหาคม 2559) ค่อนข้างดี ไม่ร้อน ไม่มีแดดมากเท่าไร เหมาะสมกับการเก็บภาพมากๆ (ถ้าถ่ายตอนนั่งรถทันนะ ฮ่าๆ)
อ่อลืมบอกไปว่า รถชาวบ้านที่เราจะติดรถขึ้นไปออกช้ามาก เพราะว่ารอคนนั้นคนนี้ แนะนำให้หาข้าวเช้ากินไปก่อน เพราะทางที่พักมีบริการอาหารแค่ 2 มื้อ คือ เย็นกับเช้าของวันถัดไป ร้านข้าวที่เราไปกินก็ได้คำแนะนำมาจากลุงบุญ (คนขับรถ) นี่แหละ เขาบอกว่าร้านนี้อร่อย เมนูเด็ดก็คือ "ข้าวขาหมู" เราก็ลองไปกินดู ชื่อร้าน "ห้องอาหารขาหมูเชียงดาว" รสชาติใช้ได้เลยค่ะ อร่อยดี เยอะด้วย ราคาปกติ 40 บาท
ข้าวขาหมูไม่เอาหนังเพิ่มไข่ 50 บาท
กินอิ่มแล้วก็เดินกลับไปหาลุงบุญเพื่อเป็นสัญญานบอกว่า อิ่มแล้วนะลุงเมื่อไรจะออกรถล่ะ หนูอยากถึงข้างบนจะแย่แล้วนะ...เอาจริงๆก็ได้แค่คิดในใจแหละค่ะไม่กล้าพูดหรอก เราติดรถเขาไป ฮ่าๆ...08.35 น. บริ้น เสียงลุงบุญสตาร์ทรถแล้ว ได้ออกสักที แต่ลุงเขาจะแวะซื้อของเยอะหน่อย คนนั่งไปต้องใจเย็นๆค่ะ ฮ่าๆ .....ราวๆ 09.10 น. ลุงบุญก็พาเรามาถึงข้างบนบ้านพักแต่ลุงกลับไม่จอดให้เราลงตรงบ้านลีซู (ตามภาพ) ลุงไปจอดให้เราลงตรงบ้านหมอกตะวัน (ตามภาพ) แต่ไม่เป็นไรเราสามารถเดินย้อนกลับมายังบ้านลีซูได้สบายๆ เพราะมันใกล้กันมาก
จริงๆเราต้องลงตรงนี้ เพราะเป็นปากทางเข้าบ้านลีซู สังเกตนะคะมันจะมีร้านค้าเล็กๆตั้งอยู่ มีของขายพวกขนม นม บลาๆ
แต่ลุงมาจอดส่งเราตรงนี้ (ตามภาพ) ถ้าจะเดินไปบ้านลีซูที่เราพัก ให้หันหน้าเข้าหาป้ายแล้วหันซ้าย
จากนั้นเดินตรงขึ้นเนินไปประมาน 200 เมตร ก็ถึงบ้านลีซูแล้ว
2. บ้านพักสไตล์ชาวบ้าน @บ้านลีซู
เอาล่ะทุกคน ทีนี้ก็ถึงจุดหมายของเราจริงๆ สักทีหลังจากที่นั่งรถแบบมาราธอนกันมา(เกิน)ทั้งวัน ใครที่กำลังคิดในใจว่าโห้ยไกลขนาดนี้กว่าจะเดินทางถึงไม่เหนื่อยก่อนเที่ยวแย่หรอ...คำตอบคือ “เหนื่อยค่ะ..เหนื่อยมากด้วย” แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากทุกคนเห็นวิวที่เชียงดาวนี้ความเหนื่อยจะหายเป็นปลิดทิ้งแถมยังรู้สึกได้พลังงานมาเก็บไว้ในตัวอีกด้วย...พูดไปก็อาจจะจินตนาการไม่ออก เรามาดูรูปภาพกันดีกว่า
ถ่าดามมมม...ที่นอนบ้านเราเอง มาคนเดียวฟูกนอนสำหรับ 4 คนนี้ทำให้รู้สึกว่ามันกว้างมากเป็นพิเศษ จริงๆแล้วบ้านพัก 1 หลังสามารถพักได้ 4 คน ผ้านวมมีให้ 2 ผืน และหมอนอีก 4 ใบ แต่เราไปคนเดียวเจ้าของบ้านพักจึงขอผ้านวมกับหมอนไปให้อีกบ้าน เราก็ยินดี
...เห็นสภาพภายในบ้านไปแล้วเรามาดูรอบๆบ้างกันบ้างดีกว่า...
นี่แหละสภาพบ้านพักถ้ามองจากภายนอก บ้านที่เราพักคือหลังซ้ายมือในรูป เป็นบ้านที่ตั้งอยู่แถวบนทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบด้าน
วิวด้านนี้เป็นวิวด้านซ้ายมือของบ้านพัก ถ่ายตอนหลังฝนตก
วิวด้านซ้ายแล้ว....มาดูวิวทางด้านขวามือบ้างดีกว่า.... สวยใช่มั้ยล่ะคะ ^_^
วิวด้านหน้าบ้านพักหลังจากฝนตก ขอบอกว่าของจริงมันดีมากๆ
วิวด้านหน้าที่พักก่อนฝนตก เมฆหมอกก็มีตลอด ใครที่กลัวไม่ได้ถ่ายหมอกนี่หมดกังวลได้เลย
ส่วนนี่ก็คือวิวด้านหลังบ้านพัก วิวด้านนี้ถ้าอยู่บนตัวบ้านจะมองไม่เห็นนะคะ ต้องลงมาเอง เพราะหลังบ้านปิดทึบ
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับวิวรอบๆบ้านพักทั้ง 360 องศา ^_^
ทีนี้หลังจากที่เราทำการสำรวจรอบๆบ้านพักตัวเองเสร็จผสมกับเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแถมสัญญานโทรศัพท์ก็ไม่มีจึงตัดสินใจทิ้งตัวเองให้หลับยาวๆในห้องตั้งแต่ เกือบเที่ยง เผลอตื่นมาอีกทีก็ประมานเกือบๆบ่ายสาม พอตื่นมาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรแดดก็ยังร้อนอยู่ด้วยเพราะหลังฝนตกแดดออกค่อนข้างแรง เราก็ตัดสินใจอาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบมาเกินวันค่ะ (อิอิ) พอเปิดน้ำมาเท่านั้นแหละ..ฟู่วววววววว น้ำ-เย็น-มาก
น้ำที่ใช้อาบเป็นน้ำประปาภูเขาจะเย็นแบบที่ไม่ได้เย็นตามห้องน้ำบ้านเรา ส่วนสภาพห้องน้ำของบ้านพักถือว่าดีทีเดียว แต่หากใครไปต้องเตรียมพวกอุปกรณ์อาบน้ำไปเองทางบ้านพักไม่มีให้
...เวลาล่วงเลยมาถึง เย็น รู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรที่เราจะต้องออกจากถ้ำ (บ้านพัก) ไปดูโลกภายนอก (นอกบ้าน) สักที ลืมบอกไปว่าสำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่คนเดียวหากถามหากิจกรรมที่มันตื่นเต้นๆก็คงจะยากหน่อย เพราะที่นี่เน้นไปทางกิจกรรมสงบๆมากกว่า เช่น เดินเล่น ถ่ายรูป พูดคุยกับคนอื่นไปเรื่อย
บริเวณหมู่บ้านลีซอ เดินไปเรื่อยๆก็จะเจออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ มีบ้านคนมีป่า มีไร่ที่ชาวบ้านทำไว้ มีอะไรที่ทั้งธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น
....หลังจากที่เดินกินลมชมวิวกันมาจนจุใจเราก็เดินกลับ พอถึงบ้านก็ไปนั่งๆนอนๆเขียนบันทึกรายรับรายจ่ายอยู่สักพัก ทางบ้านพักก็นำข้าวมาเสิร์ฟค่ะ ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เขาเรียกว่าขันโตกหรือป่าวนะคะ ...
เรียกว่า ขันโตก นั่นแหละค่ะ ในภาพก็จะมี ไข่เจียว ผัดกะหล่ำปลี แกงจืดเต้าหู้หมูสับ และทีเด็ดก็คือ
“น้ำพริกลีซอ” ซึ่งทำเองโดยชาวเผ่าลีซอ* ขอบอกว่ามัน...อร่อยมาก อร่อยจนต้องซื้อกลับมาฝากเพื่อน
สถานที่นั่งกินข้าวก็หน้าระเบียงบ้านพักนี่แหละค่ะ เงียบดี..
กินข้าวเสร็จแล้ว...อิ่มแล้ว...สบายใจแล้ว....เราก็เดินออกจากบ้านไปหาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อกะว่าจะเล่นเน็ตสักหน่อย ซึงก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักหรอกค่ะ อยู่แถวๆบ้านสายหมอก คือมันจะเป็นเนินสำหรับให้คนมาเล่นโทรศัพท์และตรงนี้ก็วิวค่อนข้างดี แต่พอตอนกลางคืนจะไม่เห็นอะไรเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่แผงโซล่าเซลล์ซึ่งมีเวลาปิดเปิดตามกำหนด ส่วนไฟที่บ้านพักเราเปิดได้ตลอด เรื่องชาร์ตแบตบ้านพักไม่มีบริการ ควรเตรียม Power Bank ไปเอง
กลับถึงบ้านพักเราก็อาบน้ำนอนค่ะ นอนพักผ่อน นอนรอเวลาอาหารเช้า (เดี๋ยวๆ ฮ่าๆ)
....คุก คัก คุก คัก ...เราสะดุ้งตื่นก่อนกำหนดเวลาที่เราตั้งปลุกไว้ 30 นาทีค่ะ คือทางบ้านพักเขาเอาพวก
ไมโล กาแฟ น้ำร้อนมาวางไว้ให้ช่วง 6 โมงเช้าพอดีเลย ก็เลยตื่นมาดูว่ามีอะไรให้กินบ้าง พอเปิดประตูบ้านมา
..โอ้โหสุดยอดค่ะ บรรยากาศมันใช่ มันได้ทุกอย่าง เราก็เลยนั่งดื่มไมโลคนเดียวเงียบๆ ไป
***เพิ่มเติม: แก้ไขคำผิดนิดหน่อยนะคะ***
[CR] {Review} ไปมา ณ เ ชี ย ง ด า ว...ค น เ ดี ย ว กับเวลา 2วัน 1คืน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เราก็ตัดสินใจออกเดินทางไปยังที่แห่งใหม่ที่ไม่เคยไปต่อทันที
เพราะว่าอีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมต้องออกไปชาร์ตพลังให้ตัวเองสักหน่อย ส่วนครั้งนี้จะไปโผล่ที่ไหนนั้น...ตามมาดูเลยค่า
ภาคเหนือของประเทศไทยเรานั่นเอง ซึ่งรอบนี้ก็ยังคงเป็นการเที่ยวระยะทางไกลเช่นเดิม
แต่เพิ่มเติมตรงที่ว่า..ครั้งนี้เราออกเดินทางคนเดียวค่ะ ส่วนจะพาตัวเองไปยังจุดหมายยังไงนั้น
ตามมาดูพร้อมๆกันเลย
1.การเดินทางขาไป
กรุงเทพฯ (หมอชิต2) - เชียงดาว
จริงๆการเดินทางไปเชียงดาวมีหลายวิธีมากๆ แต่เราเลือกไปรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ - บ้านท่าตอน (ตามภาพ) เพราะรถทัวร์สายนี้วิ่งผ่านตัวอำเภอเชียงดาวเลยค่ะ นั่นก็หมายความว่าเรานั่งรถแค่ต่อเดียวก็ถึงเชียงดาวแล้ว หากใครจะไปแนะนำให้จองล่วงหน้าก่อน โดยจองผ่าน http://www.thaiticketmajor.com/ แล้วพอวันที่ออกเดินทางก็ปริ๊นตั๋วออนไลน์ไปขึ้นตั๋วฉบับจริงที่หน้าเค้าเตอร์ของบริษัทรถทัวร์ที่เราจองไว้
ครั้งนี้เราเลือกทัวร์ประเภท ป.1 ของบริษัท ขนส่ง จำกัด ราคาตั๋ว 533 บาท ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ รอบ 18.30 น. กำหนดถึงเชียงดาวคือเวลา 06.30 น. ของวันถัดไป แต่พอเอาจริงๆรถทัวร์จะออกช้ากว่ากำหนดเวลาประมาน 11 นาที วันนั้นเราออกจากหมอชิต2 ตอน 18.41 น. และถึงจุดหมายช้ากว่ากำหนดไป 40 นาที เท่าที่จำได้วันนั้นเราถึงตัวเชียงดาวประมาน 07.12 น. บนรถทัวร์มีขนม-น้ำ-ผ้าห่มแจกให้ มี TV เปิดให้ดูตลอดทาง บริการดีใช้ได้เลยค่ะ นั่งไปสักพักเขาก็จะมาถามเราว่าลงตรงไหน ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ย้ำพนักงานดูแลได้ว่าถ้าถึงที่แล้วอย่าลืมมาเรียกด้วย อะไรแบบนี้ก็ว่าไปกันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ ฮ่าๆ ครั้งนี้ให้บอกพนักงานว่า "ลงตรงโลตัสเชียงดาว"
....เขาไม่จอดให้หรอกค่ะเพราะไม่ใช่ที่จอดของเขา แต่จะจอดให้ตรงโรงแรมเชียงดาว ซึ่งเลยโลตัสไปนิดหน่อย พอลงตรงโรงแรมแล้ว แนะนำให้เพื่อนๆเดินย้อนกลับมาที่โลตัส คือทำยังไงก็ได้ให้พาตัวเองมาอยู่ที่โลตัสเชียงดาว
และมันก็วัดดวงมากๆด้วย เพราะมันไม่มีรถประจำทางขึ้นไปยังบ้านลีซูที่เราจะไปพักไงล่ะคะ
อ้าว..แล้วทีนี้ต้องทำยังไงล่ะ...???
ตัวอำเภอเชียงดาว - บ้านลีซู
ไม่มีรถประจำทางไปแล้วจะไปยังไงดี....คำตอบคือ..โบกรถชาวบ้านไป สถานที่โบกรถก็คือ ร้านค้าที่ชื่อว่า "แสงจันทร์" ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามแบบเยื้องๆกับโลตัสเชียงดาวนั่นล่ะ (ตามภาพ) ซึ่งวันนั้นเราโชคดีตรงที่มีรถชาวบ้านจอดรออยู่แล้วเพราะเขาจะเอาข้าวสารไปส่งที่บ้านระเบียงดาวพอดี แต่ถ้าใครมาแล้วไม่เจอรถและไม่กล้าโบกรถชาวบ้าน ทางที่พักบ้านลีซูเขามีบริการให้เราโทรเรียกรถชาวบ้านมารับ 093-298-1201 ค่าบริการคนละ 50 บาท ส่งถึงหน้าบ้านพักเลยค่ะ
ระยะทางจากตัวอำเภอขึ้นไปยังบ้านพักลีซูก็ราวๆ 20 กว่ากิโล ใช้เวลาเดินทางประมาน 30 นาที เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวและชัน หากใครที่เมารถง่ายควรพกยาแก้เมารถติดไปด้วย โดยบอกคนขับรถว่าลงบ้านลีซู อ่อช่วงทางขึ้นเราผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขาจะเก็บเก็บค่าผ่านทางเราค่ะ คนละ 20 บาท จากนั้นก็นั่งต่อยาวๆไป วิวข้างทางสวยมาก อากาศวันที่เราไป (6 สิงหาคม 2559) ค่อนข้างดี ไม่ร้อน ไม่มีแดดมากเท่าไร เหมาะสมกับการเก็บภาพมากๆ (ถ้าถ่ายตอนนั่งรถทันนะ ฮ่าๆ)
อ่อลืมบอกไปว่า รถชาวบ้านที่เราจะติดรถขึ้นไปออกช้ามาก เพราะว่ารอคนนั้นคนนี้ แนะนำให้หาข้าวเช้ากินไปก่อน เพราะทางที่พักมีบริการอาหารแค่ 2 มื้อ คือ เย็นกับเช้าของวันถัดไป ร้านข้าวที่เราไปกินก็ได้คำแนะนำมาจากลุงบุญ (คนขับรถ) นี่แหละ เขาบอกว่าร้านนี้อร่อย เมนูเด็ดก็คือ "ข้าวขาหมู" เราก็ลองไปกินดู ชื่อร้าน "ห้องอาหารขาหมูเชียงดาว" รสชาติใช้ได้เลยค่ะ อร่อยดี เยอะด้วย ราคาปกติ 40 บาท
กินอิ่มแล้วก็เดินกลับไปหาลุงบุญเพื่อเป็นสัญญานบอกว่า อิ่มแล้วนะลุงเมื่อไรจะออกรถล่ะ หนูอยากถึงข้างบนจะแย่แล้วนะ...เอาจริงๆก็ได้แค่คิดในใจแหละค่ะไม่กล้าพูดหรอก เราติดรถเขาไป ฮ่าๆ...08.35 น. บริ้น เสียงลุงบุญสตาร์ทรถแล้ว ได้ออกสักที แต่ลุงเขาจะแวะซื้อของเยอะหน่อย คนนั่งไปต้องใจเย็นๆค่ะ ฮ่าๆ .....ราวๆ 09.10 น. ลุงบุญก็พาเรามาถึงข้างบนบ้านพักแต่ลุงกลับไม่จอดให้เราลงตรงบ้านลีซู (ตามภาพ) ลุงไปจอดให้เราลงตรงบ้านหมอกตะวัน (ตามภาพ) แต่ไม่เป็นไรเราสามารถเดินย้อนกลับมายังบ้านลีซูได้สบายๆ เพราะมันใกล้กันมาก
จากนั้นเดินตรงขึ้นเนินไปประมาน 200 เมตร ก็ถึงบ้านลีซูแล้ว
2. บ้านพักสไตล์ชาวบ้าน @บ้านลีซู
เอาล่ะทุกคน ทีนี้ก็ถึงจุดหมายของเราจริงๆ สักทีหลังจากที่นั่งรถแบบมาราธอนกันมา(เกิน)ทั้งวัน ใครที่กำลังคิดในใจว่าโห้ยไกลขนาดนี้กว่าจะเดินทางถึงไม่เหนื่อยก่อนเที่ยวแย่หรอ...คำตอบคือ “เหนื่อยค่ะ..เหนื่อยมากด้วย” แต่ไม่ต้องห่วง เพราะหากทุกคนเห็นวิวที่เชียงดาวนี้ความเหนื่อยจะหายเป็นปลิดทิ้งแถมยังรู้สึกได้พลังงานมาเก็บไว้ในตัวอีกด้วย...พูดไปก็อาจจะจินตนาการไม่ออก เรามาดูรูปภาพกันดีกว่า
ถ่าดามมมม...ที่นอนบ้านเราเอง มาคนเดียวฟูกนอนสำหรับ 4 คนนี้ทำให้รู้สึกว่ามันกว้างมากเป็นพิเศษ จริงๆแล้วบ้านพัก 1 หลังสามารถพักได้ 4 คน ผ้านวมมีให้ 2 ผืน และหมอนอีก 4 ใบ แต่เราไปคนเดียวเจ้าของบ้านพักจึงขอผ้านวมกับหมอนไปให้อีกบ้าน เราก็ยินดี
นี่แหละสภาพบ้านพักถ้ามองจากภายนอก บ้านที่เราพักคือหลังซ้ายมือในรูป เป็นบ้านที่ตั้งอยู่แถวบนทำให้มองทิวทัศน์ได้รอบด้าน
ทีนี้หลังจากที่เราทำการสำรวจรอบๆบ้านพักตัวเองเสร็จผสมกับเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวันแถมสัญญานโทรศัพท์ก็ไม่มีจึงตัดสินใจทิ้งตัวเองให้หลับยาวๆในห้องตั้งแต่ เกือบเที่ยง เผลอตื่นมาอีกทีก็ประมานเกือบๆบ่ายสาม พอตื่นมาแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรแดดก็ยังร้อนอยู่ด้วยเพราะหลังฝนตกแดดออกค่อนข้างแรง เราก็ตัดสินใจอาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบมาเกินวันค่ะ (อิอิ) พอเปิดน้ำมาเท่านั้นแหละ..ฟู่วววววววว น้ำ-เย็น-มาก น้ำที่ใช้อาบเป็นน้ำประปาภูเขาจะเย็นแบบที่ไม่ได้เย็นตามห้องน้ำบ้านเรา ส่วนสภาพห้องน้ำของบ้านพักถือว่าดีทีเดียว แต่หากใครไปต้องเตรียมพวกอุปกรณ์อาบน้ำไปเองทางบ้านพักไม่มีให้
...เวลาล่วงเลยมาถึง เย็น รู้สึกว่าถึงเวลาอันสมควรที่เราจะต้องออกจากถ้ำ (บ้านพัก) ไปดูโลกภายนอก (นอกบ้าน) สักที ลืมบอกไปว่าสำหรับใครที่มาเที่ยวที่นี่คนเดียวหากถามหากิจกรรมที่มันตื่นเต้นๆก็คงจะยากหน่อย เพราะที่นี่เน้นไปทางกิจกรรมสงบๆมากกว่า เช่น เดินเล่น ถ่ายรูป พูดคุยกับคนอื่นไปเรื่อย
บริเวณหมู่บ้านลีซอ เดินไปเรื่อยๆก็จะเจออะไรที่คล้ายๆแบบนี้ มีบ้านคนมีป่า มีไร่ที่ชาวบ้านทำไว้ มีอะไรที่ทั้งธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น
เรียกว่า ขันโตก นั่นแหละค่ะ ในภาพก็จะมี ไข่เจียว ผัดกะหล่ำปลี แกงจืดเต้าหู้หมูสับ และทีเด็ดก็คือ
“น้ำพริกลีซอ” ซึ่งทำเองโดยชาวเผ่าลีซอ* ขอบอกว่ามัน...อร่อยมาก อร่อยจนต้องซื้อกลับมาฝากเพื่อน
กินข้าวเสร็จแล้ว...อิ่มแล้ว...สบายใจแล้ว....เราก็เดินออกจากบ้านไปหาสัญญาณโทรศัพท์เพื่อกะว่าจะเล่นเน็ตสักหน่อย ซึงก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักหรอกค่ะ อยู่แถวๆบ้านสายหมอก คือมันจะเป็นเนินสำหรับให้คนมาเล่นโทรศัพท์และตรงนี้ก็วิวค่อนข้างดี แต่พอตอนกลางคืนจะไม่เห็นอะไรเพราะไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่แผงโซล่าเซลล์ซึ่งมีเวลาปิดเปิดตามกำหนด ส่วนไฟที่บ้านพักเราเปิดได้ตลอด เรื่องชาร์ตแบตบ้านพักไม่มีบริการ ควรเตรียม Power Bank ไปเอง
....คุก คัก คุก คัก ...เราสะดุ้งตื่นก่อนกำหนดเวลาที่เราตั้งปลุกไว้ 30 นาทีค่ะ คือทางบ้านพักเขาเอาพวก
ไมโล กาแฟ น้ำร้อนมาวางไว้ให้ช่วง 6 โมงเช้าพอดีเลย ก็เลยตื่นมาดูว่ามีอะไรให้กินบ้าง พอเปิดประตูบ้านมา
..โอ้โหสุดยอดค่ะ บรรยากาศมันใช่ มันได้ทุกอย่าง เราก็เลยนั่งดื่มไมโลคนเดียวเงียบๆ ไป
***เพิ่มเติม: แก้ไขคำผิดนิดหน่อยนะคะ***