Hell or High Water เป็นหนังนอกกระแสที่ไม่มีการโปรโมตในประเทศไทยเลย (รวมถึงในอเมริกาเองด้วย) แต่เมื่อหนังได้ไปประกวดที่คานส์ในสาย Un Certain Regard แถมยังได้ดาราระดับเทพมาร่วมแสดงเพียบ ทั้ง Chris Pine / Ben Foster และ Jeff Bridges รวมถึงคะแนนวิจารณ์จากหลายสำนัก ยิ่งทำให้ผมอยากไปดูหนังที่เพิ่งจะรู้จักเรื่องนี้ คือไปดูแบบไม่รู้อะไรเลย นอกจากจะรู้แค่ว่าเป็นหนังที่เกี่ยวกับการปล้นเท่านั้น


โปรดักชั่น
หนังถ่ายทำในเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ ให้บรรยากาศเท็กซัสในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูเนี๊ยบและเรียบง่ายแต่มีสไตล์ ทุกสิ่งในหนังแฝงความคลาสสิคแต่ไม่ล้าสมัย เมคอัพและคอสตูมก็ทำได้สมจริงสมจังในทุกรายละเอียด ด้วยความที่ไม่ใช่หนังบล็อกบัสเตอร์ทุนสูง แต่ทำโปรดักชั่นได้ขนาดนี้ ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ

นักแสดงหลัก
นักแสดงหลักๆมีประมาณสี่คน คือโจรพี่น้องสองคน และคู่หูตำรวจสองคน ซึ่งแต่ละคนแสดงได้ถึงบทบาท Chris Pine ที่เราเคยเห็นในบทพระเอกสุดเนี๊ยบ คราวนี้มากับบทพระเอกสุดเซอร์ ความหล่อลดลง และเสน่ห์และพลังการแสดงมาเต็ม Ben Foster กับบทอดีตนักโทษที่มีทั้งความดิบเถื่อน เจ้าชู้ และจริงใจ ถือเป็นตัวชูโรงอีกคนที่ตรึงผู้ชมได้ทั้งเรื่อง Jeff Bridges กับบทตำรวจวัยเกษียณก็ทำได้ทั้งน่ารักและทรงพลัง จนทำให้ผมหลงรักตัวละครตัวนี้มากที่สุด และตำรวจคู่หูอีกคนรับบทโดย Gil Birmingham แม้บทจะด้อยกว่าสามคนแรก แต่การแสดงของ Gil Birmingham ทำได้น่าสนใจในทุกๆฉาก ถือว่านักแสดงหลักทำหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์แบบทุกคน แค่ได้ดูการแสดงของสี่คนนี้ก็คุ้มแล้ว

นักแสดงสมทบ
เรื่องนี้มีนักแสดงสมทบค่อนข้างเยอะ แต่ละคนโผล่มานิดๆหน่อยๆ คนละฉากสองฉาก แต่ทุกตัวละครสามารถขโมยซีนได้หมด เรียกว่าเอาอยู่ในฉากที่โผล่ออกมา ทั้งตัวไดอะล็อกที่ดีด้วยยิ่งส่งเสริมให้บทบาทของนักแสดงสมทบแต่ละคนน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ พนักงานธนาคาร เด็กเสิร์ฟ จนกระทั่งเจ้าของร้านสเต็ก คือทุกตัวละครดูน่าสนใจไปหมดเลย


องค์ประกอบศิลป์
ผมชอบตั้งแต่การแพนกล้องในฉากเปิดเรื่อง งานถ่ายภาพสวยมาก โชว์ทิวทัศน์ภูมิประเทศแห้งแล้งแต่ดูน่าตื่นตาตื่นใจ มุมกล้องทุกอย่างโอเคหมด การวางกล้องในแต่ละตำแหน่งสื่อถึงอารมณ์ความนึกคิดของตัวละครได้ค่อนข้างชัดเจน เพลงและดนตรีประกอบก็แทรกเข้ามาอย่างลงตัว องค์ประกอบศิลป์ต้องถือว่าสอบผ่านฉลุย

บทและการดำเนินเรื่อง
หนังมีพล็อตหลักที่เรียบง่าย แต่การนำเสนอพล็อตรองและประเด็นย่อยทำได้ดี ตัวบทสะท้อนความเป็นอเมริกันมากๆ มีการจิกกัดเสียดสี ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม สิ่งที่ดีงามที่สุดคือไดอะล็อก ทุกคำพูดจาของทุกตัวละครแฝงไปด้วยความคมคายและตลกร้าย ทุกประโยคคือการสื่อความหมายที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลัก ตัวละครรอง หรือตัวละครประกอบ ถ้าได้มีบทพูดออกมานี่คือต้องแฝงนัยยะบางอย่างแน่นอน
สิ่งเดียวที่เป็นจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้คือการดำเนินเรื่อง หนังเปิดเรื่องด้วยการปล้นธนาคาร แล้วก็ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆแบบไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหักมุม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะตำหนิ ความผิดพลาดของการดำเนินเรื่องอยู่ที่ความเฉื่อยในช่วงประมาณ 20 - 40% ของเรื่อง คือถ้าใครง่วงก็อาจหลับเลย แต่พอหลังจากครึ่งเรื่องไปแล้ว ทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ไคลแม็กซ์ ทั้งลุ้นระทึก กดดันไปกับตัวละคร เอาใจช่วยไปกับทั้งฝ่ายโจรและฝ่ายตำรวจ ถ้าหนังทำจังหวะตัวบทให้ดีกว่านี้อีกสักหน่อยก็จะถือว่าสมบูรณ์แบบมาก

ความบันเทิงส่วนตัว
ต้องบอกเลยว่า หนังดึงผมอยู่ตั้งแต่เปิดเรื่องแล้ว แต่ดูไปดูมาจนถึงช่วงที่ผมบอกว่าบทเฉื่อย ส่วนนี้มันทำให้ความบันเทิงลดลงเล็กน้อย (หายไปราวๆสิบกว่านาทีได้) แต่อย่างที่บอกว่าหนังมันมีไดอะล็อกที่ดีเว่อร์ ฉะนั้นถึงตัวบทบางช่วงจะเฉื่อย ไดอะล็อกกับเสน่ห์ตัวละครของนักแสดงทุกคนก็ยังประคับประคองหนังไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง อาจเป็นเพราะผมถูกจริตกับหนังแนวนี้ด้วย ทั้งตัวหนังเองก็ดูเป็นผู้ชายมากๆ (ถ้าผู้หญิงดูอาจรู้สึกว่าหนังขาดความสดชื่นแจ่มใสไปบ้าง) และผมเองก็ไม่ได้หวังจะดูหนังที่เอนเตอร์เทนสุดๆอยู่แล้ว เพราะจากที่รู้ๆกันว่าหนังเวทีคานส์จะออกมาโทนไหน สุดท้ายสิ่งที่ผมได้รับจากหนังมันจึงไม่ใช่ความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ได้ความประทับใจกลับไปมากกว่า


โดยสรุปแล้ว หนังดีงามมากในทุกๆองค์ประกอบ ที่โดดเด่นที่สุดคือฝีมือการแสดงของแต่ละคนที่ทำได้สุดยอด และไดอะล็อกที่เด็ดดวงทั้งเรื่อง คือถ้าจะเอาไปโควทคำคมลงเพจก็คงหากินได้เป็นเดือน คำพูดและบทบาทของตัวละครประกอบมีความเป็นคอเมดี้และเป็นสีสันที่เรียกรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ดี หนังเรื่องนี้จึงตอบสนองความต้องการของทั้งนักวิจารณ์และคนดูทั่วไป แม้ว่าในแง่ของคนดูจะไม่ได้ตอบสนองแบบสุดกระดิ่งก็ตาม อย่างไรก็ดี Hell or High Water คือหนังที่ผมเห็นว่าดีที่สุดในวีคนี้

คะแนนวิจารณ์ Hell or High Water (2016) 8.9 / 10

ขอบคุณครับ