วันหยุดยาวมาอีกแล้วววว
คืนวันที่ 11 ส.ค. มีน้องที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวทั่วไทยคนนึงโพสรูปอุปกรณ์ที่เตรียมจะออกเดินทางพร้อมกับ status ว่า
“พรุ่งนี้มีทริป เป็นเมิงจะหลับลงมั้ย”
เรานี่รีบ comment ถามเลยจ้า “เฮ้ยยย ไปเที่ยวไหนอีกกกก”
น้องตอบมาว่า “เยือน ‘บ้านอิต่อง’
ลูกไผ่: “พี่ปุ่นๆ นุไปเที่ยวอีกแล้วอ่ะค่ะ รอบนี้ไป บ้านอิต่อง”
พี่ปุ่น: “ไม่รู้จักแฮะ”
เรานี่ก้มหน้าก้มตา search google หารูป บ้านอิต่อง
ลูกไผ่: “เฮ้ยยย สวยอ่ะค่ะ อยู่ภูทับเบิกล่ะค่ะพี่ปุ่น น่าไปอ่ะ”
พี่ปุ่น: “อ้าว เหรอ ไปสิๆ”
เราเลยปักหมุดว่า เนี่ยแหละ อาทิตย์นี้เราจะไป ‘บ้านอิต่อง’ กัน
พอ search ดูข้อมูลแล้ว เง้อออ หาการเดินทางโดยใช้รถสาธารณะไม่เจอเลย ต้องเอารถไปเองอย่างเดียว
พี่ปุ่น: “ไผ่อย่าขับไปเลย อันตราย”
ลูกไผ่: “แงงงงง อยากไปอ่า อด” T^T
พี่ปุ่น: “นี่ไง ไปอยุธยาสิ ไปค้างคืน จะได้ไม่ต้องรีบ”
ลูกไผ่: “อ่า โอเก ไปๆ”
Day 1:
วันเสาร์ เราออกนั่ง taxi จากบ้านไปหัวลำโพงชิลๆแบบไม่รีบ พอไปถึงเราเดินไปที่ช่องที่เคยขายตั๋วอยุธยาที่เราเคยมาซื้อเมื่อครั้งก่อนแต่ไม่ได้ไป แต่รอบนี้ช่องนั้นขึ้นป้ายว่า “ตะเพินหิน”
ลูกไผ่: เหหห ไม่ใช่อยุธยาอ่ะค่ะ
พี่ปุ่น: “เออ แฮะ”
ลูกไผ่: “หรือว่าเค้าจะผ่านอยุธยาคะ เดี๋ยวไผ่ลองถามดู”
พี่ปุ่น: “อ่าๆ”
เราเดินเข้าไปถามพี่พนักงานที่ช่องขายตั๋ว
ลูกไผ่: “โทษนะคะ อยุธยานี่ต้องซื้อช่องไหนอ่ะคะ”
พี่พนักงาน: “ช่องนี้ล่ะค่ะ”
ลูกไผ่: “อ๊ะ งั้นตั๋ว 2 ใบค่ะ”
พี่พนักงาน: “คนไทยใช่มั้ยคะ อ่ะ ฟรีค่ะ”
และแล้วเราก็ได้ตั๋วรถไฟฟรีนั่งไปอยุธยามาครอบครอง หึ หึ หึ
รถไฟออก 12:55 น. เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง เราเลยเดินไปทานข้าวที่โรงอาหารหัวลำโพงก่อน
มื้อแรกของวันนี้ เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ราคา 40 บาท (เราไม่ค่อยชอบทานผักน่ะ แฮะ แฮะ ^^”)
ทานเสร็จได้เดินเล่นรอเวลาในหัวลำโพงนิดหน่อย ซักพัก รถไฟก็มาจอดเทียบที่ชานชาลา วันนี้คนมารอขึ้นรถไฟกันเยอะเลย
เราขึ้นไปนั่งรอบนรถไฟ พร้อมกับนั่งทำใจว่า อาจจะต้องนั่งรอรถออกอีกชั่วโมงกว่าๆ
ต้องย้อนไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เราเคยมานั่งรอรถไฟออกจะไปอยุธยาอยู่เกือบชั่วโมง ก็ไม่มีวี่แววว่ารถจะออก ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปค้างด้วย จนเราตัดสินใจเดินลงจากรถ เพราะกว่าจะไปถึงที่นู้นก็คงไปเที่ยวไม่ทันแล้ว ทริปอยุธยาตอนนั้นของเราเลยพับยาววววมาจนได้ฤกษ์ปัดฝุ่นวันนี้
13:15 น. รถไฟออก เรานี่ดีใจน้ำตาแทบไหล
พี่ปุ่น: “เห็นมั้ย มันแล้วแต่รอบ เค้าก็ไม่ได้สายทุกครั้งหรอก”
รถไฟเคลื่อนตัวออกจากหัวลำโพงได้ซักพัก ก็จอดนิ่งสนิทอยู่ชั่วโมงนึง จนคู่ฝรั่งที่นั่งเยื้องกับเราตัดสินใจเดินลงจากรถไฟไปเลย
พอดีมีคุณยายที่ขายของบนนั้นบอกว่า รถไฟติดขบวนรถยนต์ด้านหน้า ใกล้จะได้ไปแล้วจ้า
เอ่อ...ออกไม่เลท ไม่ก็ติดด้วยเหตุสุดวิสัยเป็นชั่วโมง แงงงงงง นั่งรถไฟไทย ใจต้องร่มนะฮ้า.......
เราใช้เวลาระหว่างรอ search หาโรงแรมที่จะนอนคืนนี้ ตอนแรกพี่ปุ่นดู ‘โรงแรมพระคุณเฮ้าส์’ ไว้ เป็น hostel ชิคๆ ดู target ฝรั่งซะส่วนใหญ่ แล้วไผ่ก็ดั๊นนนไป search เจอ ‘โรงแรมแกรนด์พาเร้นท์เฮ้าส์’ ที่ในรูปดูโอเคเลย น่ารัก แถมคะแนนกับคน review ก็ดีใช้ได้เลย เราเลยตัดสินใจจองที่นี่ไว้
- ค่าโรงแรม Grandparent’s house คืนละ 570 บาท
หลังจากติดตรงนั้นรถไฟก็ออกวิ่งต่อ วันนี้ลมไม่เย็นเลย อากาศร้อนอบอ้าว ฟ้าขาวโพลนเหมือนฝนพร้อมตกตลอดเวลา
แต่พอใกล้ถึงอยุธยาผ่านทุ่งหญ้า ฟ้าก็เริ่มดีขึ้น วันนี้มีเมฆปลาวาฬด้วยนะ ^^
15:30 น. รถไฟก็จอดเทียบสถานีอยุธยาในที่สุด เย้!!!!!!
พอลงรถไฟมา ตามสูตร ก็มีรถตุ๊กๆมาดักรอรับคนเต็มอยู่ 2-3 คันหน้าสถานี แต่เราตั้งใจแล้วว่าเราจะนั่งเรือข้ามไปฝั่งเมืองเก่า
เลยถามพี่ตุ๊กๆซะเลย
พี่ปุ่น: “ท่าเรือไปทางไหนอ่ะครับ”
พี่เค้าชี้ไปซอยฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ แล้วบอกว่า
พี่ตุ๊กๆ: “ข้ามถนน เดินตรงไปทางนั้น แต่นั่งตุ๊กๆดีกว่านะน้องไม่ต้องเสียค่าเรือ”
พี่ปุ่น: “อ่า ขอบคุณครับ”
แล้วเราก็เดินตรงดิ่งไปท่าเรือ 555
พอข้ามถนนแล้วเดินอีกนิดเดียวก็ถึงท่าเรือข้ามฟาก ลงไปยืนรอแปปเดียวเรือก็เทียบท่ามารับ
- ค่าเรือข้ามฟากคนละ 5 บาท
คนขับเรือเป็นคุณยายนะฮ้า เก๋าป่ะล่า
พอถึงอีกฟากแล้ว อ่ะ ยังไงต่อล่ะทีนี้เรา จะไปโรงแรมกันยังไงล่ะ เปิดพี่ google สิคะ รออะไร!
พี่ google บอกว่าจากตรงนี้ถ้านั่งรถไปที่โรงแรมใช้เวลา 5 นาที แต่ถ้าเดินใช้เวลา 15 นาที
ณ เวลานี้แดดเปรี้ยงมาก เราหันไปขวามือเจอรถตุ๊กๆ กับรถสองแถวจอดอยู่ พี่ตุ๊กๆนี่ต้องเหมาแพงแน่ๆ เราเลยลองไปถามพี่รถสองแถวประจำทางดูก่อน
ลูกไผ่: “โทษนะคะ รถผ่านถนนนเรศวรมั้ยคะ”
พี่สองแถว: “รถนี่วิ่งรอบเมือง ถ้าจะไปโรงแรม ถามตุ๊กๆนู้นดีกว่าน้อง”
แล้วก็ชี้ไปที่พี่ตุ๊กๆที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้ เราเลยต้องจำใจเดินกลับไปถามพี่ตุ๊กๆ
พี่ตุ๊กๆ: “โรงแรม Grandparent’s house เหรอ เหมา 2 คน 60 มันไม่ไกลหรอก แต่ผมต้องเผื่อว่าต้องไปหาโรงแรมให้เจอด้วย”
ชิท! โรงแรมใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาที คิดเรา 60 บาท แหมะ ฐานะอย่างเรา……
พี่ปุ่น: “เดินละกันนะไผ่ จะได้สำรวจเมืองด้วย”
ลูกไผ่: “อ่า ได้ๆ แพงอ่ะ”
เราเลยตัดสินใจเดินไปโรงแรมจ้า การเดินไปโรงแรมท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง แถม เฮ้ยย มันไกลไม่ใช่เล่นเลยแฮะ เดินข้ามมาไม่รู้กี่แยกมันยังไม่ถึงอี๊ก
แต่ในที่สุด เราก็ถึงแล้ววววว เย้!!!!!!!
หน้าโรงแรมที่เห็นในรูปมันคือร้าน café ที่ตั้งอยู่สองฝั่งทางเข้าโรงแรม พอเดินเข้าไปข้างใน เอ่อม...ความน่ารักที่เห็นในรูปอยู่ตรงไหน พอเดินเข้าไปในห้อง อืม....โอเคคคคคค รอบนี้เราพลาดเอง T^T
ปกติเวลาเราจะจองโรงแรม เราจะเข้าไปดูรูปห้องจริงใน Tripadvisor ก่อน แต่รอบนี้ฉุกละหุกนิดหน่อยก็เลยจองกันไปเลย
ห้องเป็นแบบบ้านๆ เฟอร์นิเจอร์เก่ามาก ยังดีที่ไม่ได้สกปรก เรียกได้ว่ารอบนี้เราค่อนข้างผิดหวังกับที่พักมาก
จะบอกว่าราคานี้จะเอาอะไรมาก แต่ปกติเราไปไหน เราก็พัก hostel ราคาประมาณนี้ แต่สภาพดีกว่านี้เยอะเลย จริงๆเราไม่ได้เป็นคนเรื่องมากเรื่องที่พักนะ ที่ไหนดีเราก็บอกดี ที่ไหนไม่โอเค เราก็บอกไม่โอเค ถือว่าเราบอกต่อละกัน
สรุปว่า รอบนี้เราพลาดเอง T^T รู้สึกผิดเล็กๆที่เราเป็นคนตัดสินใจเลือกโรงแรม แต่ก็ไม่รู้ว่า ‘พระคุณเฮ้าส์’ จะเป็นไงมั่งอยู่ดี
เรานอนเป็นปลาตากแห้งในห้อง เพราะเหนื่อยกับการนั่งรถไฟ และแดดเปรี้ยงระหว่างทางที่เดินมา ครั้นจะออกไปปั่นจักยานเที่ยวเลยก็อาจสุกได้ จนเกือบๆ 5 โมง พักกันพอละ เลย ปะ ออกไปเที่ยวกัน ได้ซักที่ก็ยังดีเอ้า
เราเดินออกไปหน้าโรงแรมแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปตามทางที่เราเดินมาก็เจอร้านให้เช่ารถใกล้ๆโรงแรมนี่เอง
ถามแล้วได้เรื่องว่า
เช่ามอเตอร์ไซค์ ถ้าไปเช้าเย็นกลับ 250 บาท ไม่รวมน้ำมัน ถ้าเช่าข้ามวัน (24 ชั่วโมง) 350 บาท
- เช่าจักรยานข้ามวัน (24 ชั่วโมง) คันละ 50 บาท
แต่ ณ ตอนนั้นร้านไม่เหลือมอเตอร์ไซค์ซ้ากกกกะคันให้เราเช่า เราก็เลยเช่าจักรยานมากันคนละคัน
พี่ปุ่น: “ปั่นได้มั้ยไผ่”
ลูกไผ่: “ได้ๆค่ะ”
ด้วย skill การปั่นจักรยานของเราที่เรียกได้ว่ากากมาก ขนาดตอนไปเวียดนามก็ยังต้องซ้อนท้ายพี่ปุ่นเลย
(ไปอ่านได้ในทริป “ฮอยอัน…ฉันรักเธอ” ได้ที่
http://ppantip.com/topic/35199660)
แต่รอบนี้เราต้องปั่นกันเยอะ จะซ้อนพี่ปุ่นตลอดก็สงสาร ก็กระต๊อกกระแต๊กไป 555
วัดแรกในเมืองเก่าใกล้กับโรงแรมมาก ปั่นแปปเดียวก็ถึง ‘วัดราชบูรณะ’
- ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท (ถ้าเป็นฝรั่งจะคนละ 50 บาท)
ตอนเราไปถึงคนน้อยมาก จนแทบจะไม่มีคนแล้ว คงเพราะเราไปถึงเย็นมากแล้ว
ที่วัดราชบูรณะ มีบางส่วนที่กำลังบูรณะอยู่
วัดนี้ไม่ได้กว้างมากนัก เราเดินจนรอบ แล้วก็ปั่นจักรยานไปวัดที่อยู่ติดๆกันข้างๆ
วันที่สองคือ ‘วัดมหาธาตุ’ หน้าทางเข้าวัดมหาธาตุจะมีลานจอดรถ และของขายเต็มเลย
- ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
ก่อนเข้าพี่ปุ่นถามว่าที่นี่ปิดกี่โมง พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ปิด 18:30 น. แต่เดินได้ถึงทุ่มนึง
ที่ ‘วัดมหาธาตุ’ กว้างมากก เราเดินอยู่ที่นี่จนแสงหมดแล้วก็ชวนกันไปหาอะไรทาน เพราะใกล้เวลาปิดเค้าแล้วด้วย
ลูกไผ่: “เราไปทานข้าวเย็นที่ไหนกันดีอ่ะคะพี่ปุ่น”
พี่ปุ่น: “เดี๋ยวลอง search ดูว่าเค้ามีร้านแนะนำที่ไหนบ้าง”
ตอนแรกเรากะว่า จะปั่นจักรยานเลยไปทานแล้วค่อยเข้าที่พักทีเดียวเลย แต่....
ลูกไผ่: “เอ๊ะ จักรยานมันไม่มีไฟนี่คะ ปั่นกลางคืนอันตรายนะ”
พี่ปุ่น: “เออ หวะ”
เราเลยปั่นจักรยานไปเก็บกันที่โรงแรม แล้วก็เข้าไปนั่ง search หาร้านข้าวกัน
ถ้าลอง search ร้านอาหารแนะนำอยุธยาจะด ร้านที่ขายกุ้งแม่น้ำซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปั่นจักรยานตอนกลางคืนอันตราย เราเลยกะว่าจะทานแถวๆที่โรงแรม แล้วพี่ปุ่นก็ search ไปเจอ ‘ร้านมะละกอ’ ละก็แถวนี้มีตลาดกลางคืนด้วย เราก็เลยว่าจะไปทานข้าวที่ ‘ร้านมะละกอ’ ก่อน เพราะหิวโซกันทั้งคู่ แล้วค่อยไปหาของทานเล่นที่ตลาดกลางคืนต่อ
พอกำลังเดินออกมา เจอพี่เจ้าของโรงแรมเค้าก็ทักทายว่าจะไปไหน เราก็เลยถามเค้าว่ามีที่ไหนแนะนำมั้ย
พี่เจ้าของโรงแรม: “ไปข้ามถนนเข้าไปซอยที่เยื้องๆโรงแรม เดินไปสุดทาง เลี้ยวขวาจะมีตลาดใหญ่กว่าตลาดที่เรา search เจออีก อยู่ตรงซอยองค์การโทรศัพท์”
เราเลยพบทางสว่างในการทานข้าวเย็นวันนี้ เราเดินไปเรื่อยๆ คือตอนเราเดินๆกันนี่ประมาณ 2 ทุ่มได้ แต่เมืองเงียบมากกก แทบจะไม่มีรถวิ่งผ่าน เหมือนทุกคนเข้าบ้านนอนกันหมดแล้ว
เฮ้ ฮัลโลววว ที่นี่อยุธยา ไม่ใช่พัทยา เราเลย อ๋อออ ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวก็จริง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็จะไปเช้าเย็นกลับ อาจจะไม่ค่อยมีคนค้างคืนมากนัก ตอนกลางคืนเลยเงียบมาก
เอ๊ะ! หรือเรามาไม่ตรงแหล่งหว่า (- -?)
เดินกันพักใหญ่ก็เจอแสงสว่างของตลาด ด้วยความหิวโซ เราเลือกนั่งร้านตามสั่งที่ใกล้ที่สุด สั่งกับข้าวมาทานกัน 3 อย่าง (ยำวุ้นเส้น, ไข่เจียวหมูสับ, ผัดกระเพราะไข่เยี่ยวม้า) และข้าวเปล่า 2 จาน
ร้านนี้ให้เยอะและอร่อยมาก ละที่สำคัญราคาไม่แพงเลย
- ข้าวเย็นมื้อนี้ 200 บาท
[CR] ประสบการณ์นั่งรถไฟฟรี ไปค้างคืนที่ 'อยุธยา'
คืนวันที่ 11 ส.ค. มีน้องที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวทั่วไทยคนนึงโพสรูปอุปกรณ์ที่เตรียมจะออกเดินทางพร้อมกับ status ว่า
“พรุ่งนี้มีทริป เป็นเมิงจะหลับลงมั้ย”
เรานี่รีบ comment ถามเลยจ้า “เฮ้ยยย ไปเที่ยวไหนอีกกกก”
น้องตอบมาว่า “เยือน ‘บ้านอิต่อง’
ลูกไผ่: “พี่ปุ่นๆ นุไปเที่ยวอีกแล้วอ่ะค่ะ รอบนี้ไป บ้านอิต่อง”
พี่ปุ่น: “ไม่รู้จักแฮะ”
เรานี่ก้มหน้าก้มตา search google หารูป บ้านอิต่อง
ลูกไผ่: “เฮ้ยยย สวยอ่ะค่ะ อยู่ภูทับเบิกล่ะค่ะพี่ปุ่น น่าไปอ่ะ”
พี่ปุ่น: “อ้าว เหรอ ไปสิๆ”
เราเลยปักหมุดว่า เนี่ยแหละ อาทิตย์นี้เราจะไป ‘บ้านอิต่อง’ กัน
พอ search ดูข้อมูลแล้ว เง้อออ หาการเดินทางโดยใช้รถสาธารณะไม่เจอเลย ต้องเอารถไปเองอย่างเดียว
พี่ปุ่น: “ไผ่อย่าขับไปเลย อันตราย”
ลูกไผ่: “แงงงงง อยากไปอ่า อด” T^T
พี่ปุ่น: “นี่ไง ไปอยุธยาสิ ไปค้างคืน จะได้ไม่ต้องรีบ”
ลูกไผ่: “อ่า โอเก ไปๆ”
Day 1:
วันเสาร์ เราออกนั่ง taxi จากบ้านไปหัวลำโพงชิลๆแบบไม่รีบ พอไปถึงเราเดินไปที่ช่องที่เคยขายตั๋วอยุธยาที่เราเคยมาซื้อเมื่อครั้งก่อนแต่ไม่ได้ไป แต่รอบนี้ช่องนั้นขึ้นป้ายว่า “ตะเพินหิน”
ลูกไผ่: เหหห ไม่ใช่อยุธยาอ่ะค่ะ
พี่ปุ่น: “เออ แฮะ”
ลูกไผ่: “หรือว่าเค้าจะผ่านอยุธยาคะ เดี๋ยวไผ่ลองถามดู”
พี่ปุ่น: “อ่าๆ”
เราเดินเข้าไปถามพี่พนักงานที่ช่องขายตั๋ว
ลูกไผ่: “โทษนะคะ อยุธยานี่ต้องซื้อช่องไหนอ่ะคะ”
พี่พนักงาน: “ช่องนี้ล่ะค่ะ”
ลูกไผ่: “อ๊ะ งั้นตั๋ว 2 ใบค่ะ”
พี่พนักงาน: “คนไทยใช่มั้ยคะ อ่ะ ฟรีค่ะ”
และแล้วเราก็ได้ตั๋วรถไฟฟรีนั่งไปอยุธยามาครอบครอง หึ หึ หึ
รถไฟออก 12:55 น. เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง เราเลยเดินไปทานข้าวที่โรงอาหารหัวลำโพงก่อน
มื้อแรกของวันนี้ เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ราคา 40 บาท (เราไม่ค่อยชอบทานผักน่ะ แฮะ แฮะ ^^”)
ทานเสร็จได้เดินเล่นรอเวลาในหัวลำโพงนิดหน่อย ซักพัก รถไฟก็มาจอดเทียบที่ชานชาลา วันนี้คนมารอขึ้นรถไฟกันเยอะเลย
เราขึ้นไปนั่งรอบนรถไฟ พร้อมกับนั่งทำใจว่า อาจจะต้องนั่งรอรถออกอีกชั่วโมงกว่าๆ
ต้องย้อนไปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เราเคยมานั่งรอรถไฟออกจะไปอยุธยาอยู่เกือบชั่วโมง ก็ไม่มีวี่แววว่ารถจะออก ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะไปค้างด้วย จนเราตัดสินใจเดินลงจากรถ เพราะกว่าจะไปถึงที่นู้นก็คงไปเที่ยวไม่ทันแล้ว ทริปอยุธยาตอนนั้นของเราเลยพับยาววววมาจนได้ฤกษ์ปัดฝุ่นวันนี้
13:15 น. รถไฟออก เรานี่ดีใจน้ำตาแทบไหล
พี่ปุ่น: “เห็นมั้ย มันแล้วแต่รอบ เค้าก็ไม่ได้สายทุกครั้งหรอก”
รถไฟเคลื่อนตัวออกจากหัวลำโพงได้ซักพัก ก็จอดนิ่งสนิทอยู่ชั่วโมงนึง จนคู่ฝรั่งที่นั่งเยื้องกับเราตัดสินใจเดินลงจากรถไฟไปเลย
พอดีมีคุณยายที่ขายของบนนั้นบอกว่า รถไฟติดขบวนรถยนต์ด้านหน้า ใกล้จะได้ไปแล้วจ้า
เอ่อ...ออกไม่เลท ไม่ก็ติดด้วยเหตุสุดวิสัยเป็นชั่วโมง แงงงงงง นั่งรถไฟไทย ใจต้องร่มนะฮ้า.......
เราใช้เวลาระหว่างรอ search หาโรงแรมที่จะนอนคืนนี้ ตอนแรกพี่ปุ่นดู ‘โรงแรมพระคุณเฮ้าส์’ ไว้ เป็น hostel ชิคๆ ดู target ฝรั่งซะส่วนใหญ่ แล้วไผ่ก็ดั๊นนนไป search เจอ ‘โรงแรมแกรนด์พาเร้นท์เฮ้าส์’ ที่ในรูปดูโอเคเลย น่ารัก แถมคะแนนกับคน review ก็ดีใช้ได้เลย เราเลยตัดสินใจจองที่นี่ไว้
- ค่าโรงแรม Grandparent’s house คืนละ 570 บาท
หลังจากติดตรงนั้นรถไฟก็ออกวิ่งต่อ วันนี้ลมไม่เย็นเลย อากาศร้อนอบอ้าว ฟ้าขาวโพลนเหมือนฝนพร้อมตกตลอดเวลา
แต่พอใกล้ถึงอยุธยาผ่านทุ่งหญ้า ฟ้าก็เริ่มดีขึ้น วันนี้มีเมฆปลาวาฬด้วยนะ ^^
15:30 น. รถไฟก็จอดเทียบสถานีอยุธยาในที่สุด เย้!!!!!!
พอลงรถไฟมา ตามสูตร ก็มีรถตุ๊กๆมาดักรอรับคนเต็มอยู่ 2-3 คันหน้าสถานี แต่เราตั้งใจแล้วว่าเราจะนั่งเรือข้ามไปฝั่งเมืองเก่า
เลยถามพี่ตุ๊กๆซะเลย
พี่ปุ่น: “ท่าเรือไปทางไหนอ่ะครับ”
พี่เค้าชี้ไปซอยฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ แล้วบอกว่า
พี่ตุ๊กๆ: “ข้ามถนน เดินตรงไปทางนั้น แต่นั่งตุ๊กๆดีกว่านะน้องไม่ต้องเสียค่าเรือ”
พี่ปุ่น: “อ่า ขอบคุณครับ”
แล้วเราก็เดินตรงดิ่งไปท่าเรือ 555
พอข้ามถนนแล้วเดินอีกนิดเดียวก็ถึงท่าเรือข้ามฟาก ลงไปยืนรอแปปเดียวเรือก็เทียบท่ามารับ
- ค่าเรือข้ามฟากคนละ 5 บาท
คนขับเรือเป็นคุณยายนะฮ้า เก๋าป่ะล่า
พอถึงอีกฟากแล้ว อ่ะ ยังไงต่อล่ะทีนี้เรา จะไปโรงแรมกันยังไงล่ะ เปิดพี่ google สิคะ รออะไร!
พี่ google บอกว่าจากตรงนี้ถ้านั่งรถไปที่โรงแรมใช้เวลา 5 นาที แต่ถ้าเดินใช้เวลา 15 นาที
ณ เวลานี้แดดเปรี้ยงมาก เราหันไปขวามือเจอรถตุ๊กๆ กับรถสองแถวจอดอยู่ พี่ตุ๊กๆนี่ต้องเหมาแพงแน่ๆ เราเลยลองไปถามพี่รถสองแถวประจำทางดูก่อน
ลูกไผ่: “โทษนะคะ รถผ่านถนนนเรศวรมั้ยคะ”
พี่สองแถว: “รถนี่วิ่งรอบเมือง ถ้าจะไปโรงแรม ถามตุ๊กๆนู้นดีกว่าน้อง”
แล้วก็ชี้ไปที่พี่ตุ๊กๆที่เราเดินผ่านมาเมื่อกี้ เราเลยต้องจำใจเดินกลับไปถามพี่ตุ๊กๆ
พี่ตุ๊กๆ: “โรงแรม Grandparent’s house เหรอ เหมา 2 คน 60 มันไม่ไกลหรอก แต่ผมต้องเผื่อว่าต้องไปหาโรงแรมให้เจอด้วย”
ชิท! โรงแรมใช้เวลาเดินทางแค่ 5 นาที คิดเรา 60 บาท แหมะ ฐานะอย่างเรา……
พี่ปุ่น: “เดินละกันนะไผ่ จะได้สำรวจเมืองด้วย”
ลูกไผ่: “อ่า ได้ๆ แพงอ่ะ”
เราเลยตัดสินใจเดินไปโรงแรมจ้า การเดินไปโรงแรมท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง แถม เฮ้ยย มันไกลไม่ใช่เล่นเลยแฮะ เดินข้ามมาไม่รู้กี่แยกมันยังไม่ถึงอี๊ก
แต่ในที่สุด เราก็ถึงแล้ววววว เย้!!!!!!!
หน้าโรงแรมที่เห็นในรูปมันคือร้าน café ที่ตั้งอยู่สองฝั่งทางเข้าโรงแรม พอเดินเข้าไปข้างใน เอ่อม...ความน่ารักที่เห็นในรูปอยู่ตรงไหน พอเดินเข้าไปในห้อง อืม....โอเคคคคคค รอบนี้เราพลาดเอง T^T
ปกติเวลาเราจะจองโรงแรม เราจะเข้าไปดูรูปห้องจริงใน Tripadvisor ก่อน แต่รอบนี้ฉุกละหุกนิดหน่อยก็เลยจองกันไปเลย
ห้องเป็นแบบบ้านๆ เฟอร์นิเจอร์เก่ามาก ยังดีที่ไม่ได้สกปรก เรียกได้ว่ารอบนี้เราค่อนข้างผิดหวังกับที่พักมาก
จะบอกว่าราคานี้จะเอาอะไรมาก แต่ปกติเราไปไหน เราก็พัก hostel ราคาประมาณนี้ แต่สภาพดีกว่านี้เยอะเลย จริงๆเราไม่ได้เป็นคนเรื่องมากเรื่องที่พักนะ ที่ไหนดีเราก็บอกดี ที่ไหนไม่โอเค เราก็บอกไม่โอเค ถือว่าเราบอกต่อละกัน
สรุปว่า รอบนี้เราพลาดเอง T^T รู้สึกผิดเล็กๆที่เราเป็นคนตัดสินใจเลือกโรงแรม แต่ก็ไม่รู้ว่า ‘พระคุณเฮ้าส์’ จะเป็นไงมั่งอยู่ดี
เรานอนเป็นปลาตากแห้งในห้อง เพราะเหนื่อยกับการนั่งรถไฟ และแดดเปรี้ยงระหว่างทางที่เดินมา ครั้นจะออกไปปั่นจักยานเที่ยวเลยก็อาจสุกได้ จนเกือบๆ 5 โมง พักกันพอละ เลย ปะ ออกไปเที่ยวกัน ได้ซักที่ก็ยังดีเอ้า
เราเดินออกไปหน้าโรงแรมแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปตามทางที่เราเดินมาก็เจอร้านให้เช่ารถใกล้ๆโรงแรมนี่เอง
ถามแล้วได้เรื่องว่า
เช่ามอเตอร์ไซค์ ถ้าไปเช้าเย็นกลับ 250 บาท ไม่รวมน้ำมัน ถ้าเช่าข้ามวัน (24 ชั่วโมง) 350 บาท
- เช่าจักรยานข้ามวัน (24 ชั่วโมง) คันละ 50 บาท
แต่ ณ ตอนนั้นร้านไม่เหลือมอเตอร์ไซค์ซ้ากกกกะคันให้เราเช่า เราก็เลยเช่าจักรยานมากันคนละคัน
พี่ปุ่น: “ปั่นได้มั้ยไผ่”
ลูกไผ่: “ได้ๆค่ะ”
ด้วย skill การปั่นจักรยานของเราที่เรียกได้ว่ากากมาก ขนาดตอนไปเวียดนามก็ยังต้องซ้อนท้ายพี่ปุ่นเลย
(ไปอ่านได้ในทริป “ฮอยอัน…ฉันรักเธอ” ได้ที่ http://ppantip.com/topic/35199660)
แต่รอบนี้เราต้องปั่นกันเยอะ จะซ้อนพี่ปุ่นตลอดก็สงสาร ก็กระต๊อกกระแต๊กไป 555
วัดแรกในเมืองเก่าใกล้กับโรงแรมมาก ปั่นแปปเดียวก็ถึง ‘วัดราชบูรณะ’
- ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท (ถ้าเป็นฝรั่งจะคนละ 50 บาท)
ตอนเราไปถึงคนน้อยมาก จนแทบจะไม่มีคนแล้ว คงเพราะเราไปถึงเย็นมากแล้ว
ที่วัดราชบูรณะ มีบางส่วนที่กำลังบูรณะอยู่
วัดนี้ไม่ได้กว้างมากนัก เราเดินจนรอบ แล้วก็ปั่นจักรยานไปวัดที่อยู่ติดๆกันข้างๆ
วันที่สองคือ ‘วัดมหาธาตุ’ หน้าทางเข้าวัดมหาธาตุจะมีลานจอดรถ และของขายเต็มเลย
- ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท
ก่อนเข้าพี่ปุ่นถามว่าที่นี่ปิดกี่โมง พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ปิด 18:30 น. แต่เดินได้ถึงทุ่มนึง
ที่ ‘วัดมหาธาตุ’ กว้างมากก เราเดินอยู่ที่นี่จนแสงหมดแล้วก็ชวนกันไปหาอะไรทาน เพราะใกล้เวลาปิดเค้าแล้วด้วย
ลูกไผ่: “เราไปทานข้าวเย็นที่ไหนกันดีอ่ะคะพี่ปุ่น”
พี่ปุ่น: “เดี๋ยวลอง search ดูว่าเค้ามีร้านแนะนำที่ไหนบ้าง”
ตอนแรกเรากะว่า จะปั่นจักรยานเลยไปทานแล้วค่อยเข้าที่พักทีเดียวเลย แต่....
ลูกไผ่: “เอ๊ะ จักรยานมันไม่มีไฟนี่คะ ปั่นกลางคืนอันตรายนะ”
พี่ปุ่น: “เออ หวะ”
เราเลยปั่นจักรยานไปเก็บกันที่โรงแรม แล้วก็เข้าไปนั่ง search หาร้านข้าวกัน
ถ้าลอง search ร้านอาหารแนะนำอยุธยาจะด ร้านที่ขายกุ้งแม่น้ำซะเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปั่นจักรยานตอนกลางคืนอันตราย เราเลยกะว่าจะทานแถวๆที่โรงแรม แล้วพี่ปุ่นก็ search ไปเจอ ‘ร้านมะละกอ’ ละก็แถวนี้มีตลาดกลางคืนด้วย เราก็เลยว่าจะไปทานข้าวที่ ‘ร้านมะละกอ’ ก่อน เพราะหิวโซกันทั้งคู่ แล้วค่อยไปหาของทานเล่นที่ตลาดกลางคืนต่อ
พอกำลังเดินออกมา เจอพี่เจ้าของโรงแรมเค้าก็ทักทายว่าจะไปไหน เราก็เลยถามเค้าว่ามีที่ไหนแนะนำมั้ย
พี่เจ้าของโรงแรม: “ไปข้ามถนนเข้าไปซอยที่เยื้องๆโรงแรม เดินไปสุดทาง เลี้ยวขวาจะมีตลาดใหญ่กว่าตลาดที่เรา search เจออีก อยู่ตรงซอยองค์การโทรศัพท์”
เราเลยพบทางสว่างในการทานข้าวเย็นวันนี้ เราเดินไปเรื่อยๆ คือตอนเราเดินๆกันนี่ประมาณ 2 ทุ่มได้ แต่เมืองเงียบมากกก แทบจะไม่มีรถวิ่งผ่าน เหมือนทุกคนเข้าบ้านนอนกันหมดแล้ว
เฮ้ ฮัลโลววว ที่นี่อยุธยา ไม่ใช่พัทยา เราเลย อ๋อออ ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวก็จริง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็จะไปเช้าเย็นกลับ อาจจะไม่ค่อยมีคนค้างคืนมากนัก ตอนกลางคืนเลยเงียบมาก
เอ๊ะ! หรือเรามาไม่ตรงแหล่งหว่า (- -?)
เดินกันพักใหญ่ก็เจอแสงสว่างของตลาด ด้วยความหิวโซ เราเลือกนั่งร้านตามสั่งที่ใกล้ที่สุด สั่งกับข้าวมาทานกัน 3 อย่าง (ยำวุ้นเส้น, ไข่เจียวหมูสับ, ผัดกระเพราะไข่เยี่ยวม้า) และข้าวเปล่า 2 จาน
ร้านนี้ให้เยอะและอร่อยมาก ละที่สำคัญราคาไม่แพงเลย
- ข้าวเย็นมื้อนี้ 200 บาท