สวัสดีค่ะ ดิฉันจะมาเล่าเรื่องจริง จากประสบการณ์จริงที่ดิฉัน....จะจำบทเรียนนี้ไปตลอดกาล.....เรื่องมีอยู่ว่า.....ไม่สิ ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ดิฉันชื่อ ฝน อายุ 32 ปี ตอนนี้มีลูกสาว 1 คน อายุ 5 ขวบค่ะ สามีดิฉันอายุ 32 เท่ากัน ฉันกับสามีเรามารู้จักกันเพราะว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที เค้าเป็นคนตลก ร่าเริง และเฟรนด์ลี่มากค่ะ เราคบหากันอยู่ 3 ปี ก็ตกลงแต่งงานกัน
เข้าเรื่องสำคัญตามหัวข้อกระทู้นะคะ ดิฉันถือว่า ยังโชคดีกว่าบางคนเสียอีกที่ชีวิตคู่ถึงจะพัง แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาได้ใหม่ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใครจริงๆ คนเราจะตัดสินใจใช้เงินครั้งใหญ่อยู่ 3 เรื่อง คือ 1. ซื้อรถ 2. ซื้อบ้าน 3. แต่งงาน แต่ชีวิตก็ไม่แน่นอน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อคุณขาดสติ คุณอาจต้องพบเจอกับบทเรียนราคาแพงครั้งใหญ่ที่ลืมไม่ลงก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นควรวางแผนการเงินก่อนทุกครั้งในทุกๆ เรื่องสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะ “แต่งงาน” แล้วชีวิตคุณจะได้ไม่ “เกือบ” พังแบบดิฉัน ฉันเชื่อแบบนั้นค่ะ ขอบคุณนะคะที่อ่านจนจบ หวังว่ามันจะเป็นวิทยาทานให้แก่หลายๆ คนที่ได้อ่านค่ะ.........
ตอนนั้นฐานะบ้านของเราทั้งคู่ก็ปานกลาง เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนทั่วๆ ไป เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะอะไร และที่แน่นอนเงินเก็บเราทั้งคู่มีน้อยมาก เพราะเราใช้ชีวิตแบบสุดๆ ด้วยคติที่ว่า “ถ้าวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย” อยากกินก็กิน อยากเที่ยวๆ อยากได้อะไรผ่อน และมันก็เกือบจะสุดท้ายของจริงๆ......
และด้วยความที่ว่าเรารู้สึกว่ารักกันมาก............. มากจริงๆ จนอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว จึงตัดสินใจแต่งงานกัน ตอนนั้นทางบ้านเรียกค่าสินสอดไป 130,000 บาท แต่ด้วยความที่เราก็ต่างคนต่างมีค่าใช้จ่ายกันเยอะอยู่แล้ว เพราะต้องผ่อนค่ามือถือ ค่างวดรถ ค่าบ้าน สามีดิฉันจึงตัดสินใจไปกู้เงินธนาคารเพื่อมาเป็นค่าสินสอด ส่วนที่เหลือจากค่าสินสอด เราก็เอามาจัดงานแต่ง โดยดิฉันก็ไปกู้ธนาคารมาจัดงานแต่งเช่นเดียวกัน และในที่สุด.....งานแต่งงานก็เริ่มต้นขึ้น จำได้ว่าวันนั้นฉันมีความสุขมากๆ จนน้ำตาเอ่อล้นออกมาบ่อยครั้งด้วยความสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าน้ำตาแห่งความสุขในวันนั้น จะกลายมาเป็นน้ำตาแห่งความทุกข์ในวันนี้!
หลังจากแต่งงานอยู่กินกันไปได้ประมาณ 1 ปี เราเริ่มเจอปัญหาเรื่องเงินมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเรามีลูก ค่าใช้จ่ายมหาศาลประดังเข้ามาหาเราทั้งคู่แบบชนิดที่ตั้งตัวแล้วก็ยังรับไม่ทัน! …….เราเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น บ่อยขึ้น หลายครั้งที่ดิฉันหอบเสื้อผ้าและลูกมานอนบ้านพ่อกับแม่ ตอนนั้นปรึกษาทางบ้าน คุณพ่อคุณแม่ ก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาช่วย เพราะที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อีกอย่างค่าสินสอดทางคุณพ่อคุณแม่ก็คืนให้ตั้งแต่วันที่เรากลับจากฮันนีมูนที่กระบี่แล้ว ซึ่งเราก็เอาไปใช้หนี้บางส่วน บางส่วนมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ตอนนั้นมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไง แม่บอกว่า ยังไงก็อย่าให้ปัญหาเรื่องนี้มาทำให้ชีวิตคู่ต้องพังลง เราทั้งคู่ก็พยายามนะ เอามือถือไปขาย เอาทองไปขาย อะไรที่ขายได้เอาเงินมาใช้หนี้ได้ดิฉันกับสามีเราก็ทำกันหมด
แต่อาจจะด้วยความเครียดของเราสองคนมีมาก และปัญหาเรื่องเงินก็มีมาให้แก้อยู่ตลอดไม่รู้จักจบจักสิ้น จนวันหนึ่งอยู่ๆ สามีดิฉันมาขอหย่า.......ดิฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก น้ำตาไหลอย่างเดียว เพราะไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เราเองก็พยายามสู้...... สู้กันมาตลอด แต่ทำไม เค้ามาทำเรื่องให้มันยุ่งยากมากขึ้น................แต่สามีดิฉันก็ให้เหตุผลว่า เขาอยู่กับดิฉันแล้วเขาไม่มีความสุขเลย กลับบ้านมาก็ทะเลาะกันตลอด ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคย
ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องเงิน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ฉันจึงยื่นข้อเสนอไปว่า “งั้นอย่าเพิ่งหย่า ห่างกันสักพักพอ ให้เรามีช่องว่างให้ได้คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน เผื่อว่าจะหาทางแก้ไขมันได้” หลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ และลูก เราห่างกันไป 2 เดือนเห็นจะได้ แต่เราก็คุยกันปรึกษากันตลอด ความสัมพันธ์ของเรามันก็ดีขึ้นนะ เราไม่ทะเลาะมีปากเสียงรุนแรงเหมือนแต่ก่อน เราคุยกันด้วยเหตุและผล ค่อยๆ หาทางแก้ปัญหากันไป จนเวลาผ่านไป 3 ปี ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น แต่เราก็ยังไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี เรากลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยกันดูแลลูก และก็ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า เพราะยังคงรอวันที่เราสองคนพร้อมจะกลับมาใช้ชีวิตคู่กันอีกครั้ง แต่เรื่องของจิตใจคงต้องใช้เวลาค่ะ
ใครจะแต่งงานไม่วางแผนการเงินก่อนแต่งชีวิตคู่......อาจต้องพัง!
เข้าเรื่องสำคัญตามหัวข้อกระทู้นะคะ ดิฉันถือว่า ยังโชคดีกว่าบางคนเสียอีกที่ชีวิตคู่ถึงจะพัง แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาได้ใหม่ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใครจริงๆ คนเราจะตัดสินใจใช้เงินครั้งใหญ่อยู่ 3 เรื่อง คือ 1. ซื้อรถ 2. ซื้อบ้าน 3. แต่งงาน แต่ชีวิตก็ไม่แน่นอน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อคุณขาดสติ คุณอาจต้องพบเจอกับบทเรียนราคาแพงครั้งใหญ่ที่ลืมไม่ลงก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นควรวางแผนการเงินก่อนทุกครั้งในทุกๆ เรื่องสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะ “แต่งงาน” แล้วชีวิตคุณจะได้ไม่ “เกือบ” พังแบบดิฉัน ฉันเชื่อแบบนั้นค่ะ ขอบคุณนะคะที่อ่านจนจบ หวังว่ามันจะเป็นวิทยาทานให้แก่หลายๆ คนที่ได้อ่านค่ะ.........
ตอนนั้นฐานะบ้านของเราทั้งคู่ก็ปานกลาง เป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนทั่วๆ ไป เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะอะไร และที่แน่นอนเงินเก็บเราทั้งคู่มีน้อยมาก เพราะเราใช้ชีวิตแบบสุดๆ ด้วยคติที่ว่า “ถ้าวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย” อยากกินก็กิน อยากเที่ยวๆ อยากได้อะไรผ่อน และมันก็เกือบจะสุดท้ายของจริงๆ......
และด้วยความที่ว่าเรารู้สึกว่ารักกันมาก............. มากจริงๆ จนอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว จึงตัดสินใจแต่งงานกัน ตอนนั้นทางบ้านเรียกค่าสินสอดไป 130,000 บาท แต่ด้วยความที่เราก็ต่างคนต่างมีค่าใช้จ่ายกันเยอะอยู่แล้ว เพราะต้องผ่อนค่ามือถือ ค่างวดรถ ค่าบ้าน สามีดิฉันจึงตัดสินใจไปกู้เงินธนาคารเพื่อมาเป็นค่าสินสอด ส่วนที่เหลือจากค่าสินสอด เราก็เอามาจัดงานแต่ง โดยดิฉันก็ไปกู้ธนาคารมาจัดงานแต่งเช่นเดียวกัน และในที่สุด.....งานแต่งงานก็เริ่มต้นขึ้น จำได้ว่าวันนั้นฉันมีความสุขมากๆ จนน้ำตาเอ่อล้นออกมาบ่อยครั้งด้วยความสุขที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าน้ำตาแห่งความสุขในวันนั้น จะกลายมาเป็นน้ำตาแห่งความทุกข์ในวันนี้!
หลังจากแต่งงานอยู่กินกันไปได้ประมาณ 1 ปี เราเริ่มเจอปัญหาเรื่องเงินมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเรามีลูก ค่าใช้จ่ายมหาศาลประดังเข้ามาหาเราทั้งคู่แบบชนิดที่ตั้งตัวแล้วก็ยังรับไม่ทัน! …….เราเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น บ่อยขึ้น หลายครั้งที่ดิฉันหอบเสื้อผ้าและลูกมานอนบ้านพ่อกับแม่ ตอนนั้นปรึกษาทางบ้าน คุณพ่อคุณแม่ ก็ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาช่วย เพราะที่บ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อีกอย่างค่าสินสอดทางคุณพ่อคุณแม่ก็คืนให้ตั้งแต่วันที่เรากลับจากฮันนีมูนที่กระบี่แล้ว ซึ่งเราก็เอาไปใช้หนี้บางส่วน บางส่วนมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ตอนนั้นมืดแปดด้าน ไม่รู้จะทำยังไง แม่บอกว่า ยังไงก็อย่าให้ปัญหาเรื่องนี้มาทำให้ชีวิตคู่ต้องพังลง เราทั้งคู่ก็พยายามนะ เอามือถือไปขาย เอาทองไปขาย อะไรที่ขายได้เอาเงินมาใช้หนี้ได้ดิฉันกับสามีเราก็ทำกันหมด
แต่อาจจะด้วยความเครียดของเราสองคนมีมาก และปัญหาเรื่องเงินก็มีมาให้แก้อยู่ตลอดไม่รู้จักจบจักสิ้น จนวันหนึ่งอยู่ๆ สามีดิฉันมาขอหย่า.......ดิฉันพูดไม่ออก บอกไม่ถูก น้ำตาไหลอย่างเดียว เพราะไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เราเองก็พยายามสู้...... สู้กันมาตลอด แต่ทำไม เค้ามาทำเรื่องให้มันยุ่งยากมากขึ้น................แต่สามีดิฉันก็ให้เหตุผลว่า เขาอยู่กับดิฉันแล้วเขาไม่มีความสุขเลย กลับบ้านมาก็ทะเลาะกันตลอด ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคย
ตั้งแต่มีปัญหาเรื่องเงิน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ฉันจึงยื่นข้อเสนอไปว่า “งั้นอย่าเพิ่งหย่า ห่างกันสักพักพอ ให้เรามีช่องว่างให้ได้คิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน เผื่อว่าจะหาทางแก้ไขมันได้” หลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ และลูก เราห่างกันไป 2 เดือนเห็นจะได้ แต่เราก็คุยกันปรึกษากันตลอด ความสัมพันธ์ของเรามันก็ดีขึ้นนะ เราไม่ทะเลาะมีปากเสียงรุนแรงเหมือนแต่ก่อน เราคุยกันด้วยเหตุและผล ค่อยๆ หาทางแก้ปัญหากันไป จนเวลาผ่านไป 3 ปี ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น แต่เราก็ยังไม่ได้กลับมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี เรากลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยกันดูแลลูก และก็ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า เพราะยังคงรอวันที่เราสองคนพร้อมจะกลับมาใช้ชีวิตคู่กันอีกครั้ง แต่เรื่องของจิตใจคงต้องใช้เวลาค่ะ