จอมใจอเวจี.........บทที่ 16 เทพธิดาบอด

กระทู้สนทนา


บทที่แล้ว
http://ppantip.com/topic/35416341

เฟรี่เป็นโรคตวามจำเสื่อม ขสกอาการแพ้เลือดของไนท์ ทำให้รับบทเป็นคนรับใช้จำเป็น

                น้ำเสียงปีศาจหนุ่มมีทั้งแววสงสัยและตกใจ ทำอะไรไม่ถูกนอกจากจับมือนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นนางฟ้าขี้แยส่ายหน้า แต่น้ำตายังไหลพรากไม่ยอมหยุดไหล อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูกเพราะปีศาจย่อมไม่ถนัดการปลอบใจ
             ไลเดียโผล่เข้ามาช่วยชีวิตไนท์ไว้ทันท่วงที เธอถือยาและผ้าพันแผลมาด้วย เบิกตากว้างอย่างตกใจร้องถามเสียงดังว่า
             “คุณไนท์ทำอะไรคุณเฟรี่คะ”

=================
จอมใจอเวจีบทที่ 16
=================
Psyxho G.


             ข้าไม่ได้ทำอะไร”

             เจ้านายรีบยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองโดยเร็วก่อนจับมือข้างบาดเจ็บไปให้ไลเดียทำหน้าที่แทน สาวใช้คนเก่งมองหน้าทั้งสองสลับกันไปมา แล้วขมวดคิ้วเหมือนคนไม่เข้าใจแต่สายตามีแววเหมือนคนซ่อนยิ้ม จับมือของเฟรี่มาใส่ยาห้ามเลือดแล้วพันด้วยผ้าพันแผลอย่างคล่องแคล่วชำนาญ เฟรี่ยังไม่หายร้องไห้จนสาวใช้พี่เลี้ยงต้องดึงตัวมากอดอย่างปลอบประโลมอาการน้ำตาไหลพรากจึงบรรเทาเบาบางลง

             “บอกมาว่านายท่านแกล้งอะไร เดี๋ยวไลเดีย.. เอ๊ย.. ข้าจะจัดการให้”     กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงเข้มดุเอาจริงสมบทบาท

             “บอกมาคำเดียว ข้าจะวางยาเขาให้ตายรับรองไม่พ้นคืนนี้แน่นอน หรือไม่วางยานอนหลับแล้วพวกเราช่วยกันจับหั่นเป็นชิ้นแล้วเอาไปโยนน้ำ หรือจะเชือดเนื้อเอาเกลือทาให้ดิ้นกระแด่วตาย คุณไนท์ก็คุณไนท์เถอะ ต้องจัดการให้สาสม”

             “เปล่าๆ.....”

             เฟรี่รีบเช็ดน้ำตากระซิบตอบแบบหายใจหายคอแทบไม่ทัน  กลัวว่าพี่เลี้ยงคนเก่งจะกลายเป็นฆาตกรโหดแบบนั้นไปจริงๆ

             “เขาไม่ได้ทำอะไรข้า แต่ข้าเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง”

             “อย่างนั้นเขาอาจใช้เวทมนตร์ทำร้าย แบบนี้ก็ต้องจัดการอยู่ดี” ท่าทางสาวใช้ไม่ยอมวางมือง่ายๆ จนทำให้คนฟังรู้สึกกังวลใจขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผลอีกแล้ว

             “ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น..อย่าไปทำอะไรเขานะ”

             “แน่ใจ..” ไลเดียจงใจถามเสียงเข้มเอาจริงเอาจัง

             “แน่ใจ”

             “อย่างนั้นข้าจะขอคิดดูก่อน ชะลอการลงมือไว้สักระยะ”  

             แย่แล้ว..เฟรี่ร้องในใจ ต่อไปนี้สงสัยต้องคอยจับตาคนทั้งสองให้ดี เกิดพี่เลี้ยงทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาจะทำอย่างไร แอบชำเลืองหันไปมองเป้าหมายผู้จะถูกลอบสังหารโหดก็เห็นยืนนิ่ง ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวว่ากำลังจะตกอยู่ในห้วงอันตรายอันไม่คาดคิด ความจริงเจ้านายท่าทางใจร้ายตายๆไปเสียได้ก็น่าจะดี ไม่ต้องมีคนน่ากลัวมาคอยดุ มาคอยว่า  แต่ทำไมพอนึกแบบนั้นก็ใจหายวูบลงไปอีก อารมณ์ไหนกัน...ทำไมรู้สึกเป็นห่วงคนน่ากลัวแบบนั้นได้

             หัวใจคนเราบางทีเข้าใจยากเหลือเกินกระทั่งตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเอง ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง แล้วจะหวังให้คนอื่นมาเข้าใจตัวเองได้อย่างไร ในเมื่อตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองหรือหาหัวใจตัวเองยังไม่เจอ

             “ข้าไปดีกว่า ทำอาหารให้ดี จะรอชิม”

             คนจะตกเป็นเหยื่อสังหารโหดแบบไม่รู้ตัวพูดสั้นๆ แล้วหันหลังเดินออกห้องครัวไป  เฟรี่หลุดปากออกมาว่าเดี๋ยวก่อน...แล้วทำท่าเหมือนจะวิ่งตามไปถามอะไรสักอย่างแต่แล้วก็ชะงัก เพราะไม่รู้ว่าจะตามไปถามเรื่องอะไร เพียงรู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ในใจชอบกล

             “มือเจ็บแบบนี้ก็คงทำอาหารไม่ได้แล้วสินะ”    ไลเดียตรวจดูฝีมือทำแผลอีกรอบเพื่อความแน่ใจ มองหน้านางฟ้าคนดีแล้วลอบยิ้ม  เฟรี่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากอย่างตั้งใจว่า

             “ข้าทำได้ ไม่เป็นไรแล้ว”

             พี่เลี้ยงทำท่าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง คราวนี้แปลกใจจริงๆ เพราะนึกไม่ถึงว่าลูกน้องคนงามจะมีความพยายามและตั้งใจขนาดนี้
“แต่มือ.....”

             “ไม่เป็นไรแล้ว” พูดพลางโบกมือให้ดูพอน้ำตาแห้งก็เริ่มยิ้มและหัวเราะออกมาได้ ความเป็นคนอารมณ์ปรับเปลี่ยนง่ายยังไม่ลบหายไปตามความทรงจำ

             “ข้าอยากจะเป็นคนใช้ที่ดีเหมือนเจ้าไงล่ะ ถึงต้องพยายาม”

             ไม่หรอก......ไลเดียพูดในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน....คุณเฟรี่เป็นคนรับใช้ไม่ได้หรอก ชะตาลิขิตชีวิตไม่ได้ให้มาเป็นคนใช้ เพียงแต่เวลานี้เหมือนกับว่าชะตาลิชิตเปิดพรมแดนทางจิตใจขึ้นมาอีกด้านหนึ่ง พรมแดนด้านใสสะอาดบ่งบอกถึงตัวตนแท้จริงในการสัมผัสถึงจิตวิญญาณของตัวเองและค้นพบหัวใจของตนเอง

             “งั้นได้เลย พวกเรามาลุยกัน”

             แล้วในห้องครัวก็ครึกครื้นขึ้นจากผีมือพี่เลี้ยงแสนดีและลูกมือจากเบื้องบน


             แม่น้ำแห่งความตายเยือกเย็นอ้างว้างและมีหมอกควันลอยปกคลุมเหนือผิวน้ำเลือนรางชั่วนาตาปี ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันเย็นยะเยือก เรือแจวคร่ำคร่าเก่าแก่ลำหนึ่งค่อยเคลื่อนผ่านม่านหมอกไปด้วยความเร็วอันน่าแปลกใจ เมื่อเทียบกับชายชราแจวเรือชุดดำผู้มีท่าทางอ่อนล้าราวกับจะหมดแรงหลุดร่วงลงไปในสายน้ำได้ทุกเมื่อ แต่มือกร้านซึ่งกุมด้ามพายกลับมั่นคงแข็งแรงเปี่ยมพลัง ไม่มีคลื่นลมใดสั่นไหวโยกคลอน

             หัวเรือสตรีชุดขาวผมขาวยาวสลวยเลยไหล่มาถึงกลางหลัง และขอบตาสีดำสนิทตัดกับนัยน์ตาสีขาวไร้ตาดำเป็นบุคลิกภาพพิเศษสุดหนึ่งเดียวในอเวจี วีนิลี่ปีศาจขาวผู้ลึกลับนั่งสงบนิ่งเหมือนกำลังจ้องมองผ่านหมอกควันออกไปไกลแสนไกล  สายลมและไอหมอกลอยปะทะใบหน้าสัมผัสรู้สึกเย็นชื้นพัดผ่านเป็นระยะเหมือนกำลังอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน

             ทั้งสองพากันเงียบงัน ไม่มีใครเอ่ยปากตลอดเวลาเมื่อออกจากฝั่ง ต่างฝ่ายต่างรู้บทบาทของตนเอง

             อาณาเขตของปีศาจขาวสามด้านเป็นขุนเขาสูงเสียดฟ้าด้านหน้าเป็นสายน้ำแห่งความตายไหลออกจากขุนเขาด้านหนึ่งโค้งหายเข้าไปในขุนเขาอีกด้านเป็นปราการธรรมชาติชั้นดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรือแจวลำน้อยจะไม่ได้ข้ามไปยังฝั่งตรงกันข้าม พอออกจากฝั่งก็เลี้ยวไปทางซ้ายมือและลอยลำไปตามการไหลของกระแสน้ำเรื่อยๆ มุ่งหน้าสู่เทือกเขาสูงทะมึนซึ่งใกล้เข้ามาทุกที

             หลังผ่านความเงียบงันมานาน ในที่สุดวีนิลี่ก็เอ่ยปากขึ้นเบาๆเหมือนไม่ได้จงใจจะพูดคุยกับใครว่า

             “นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้ไปหานาง”

             “สองปี”     ชายชราแจวเรือตอบขึ้นลอยๆเหมือนไม่ได้จงใจตอบใครเป็นพิเศษเหมือนกัน ขณะพูดออกมาดวงตาในเบ้าลึกก็ไม่ได้จ้องมองสิ่งใดเป็นพิเศษนอกจากหันหน้าไปทางสายน้ำหัวเรือโดยไม่เคยหันไปมองอย่างอื่น

             “สองปี..” ผู้โดยสารทวนคำช้าๆ ราวกับพยายามรื้อฟื้นความทรงจำ นิ่งไปครู่หนึ่งจึงพูดแผ่วเบาคล้ายรำพึงว่า

             “ถ้าข้าไม่ไปหานาง ซีซิล่าก็ไม่มีวันออกมาหาข้า เล่นขังตัวเองอยู่ในขุนเขาตลอดเวลาไม่ยอมออกไปไหน น่าแปลกว่าคนบางคนพอใจจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง หลบหนีผู้คนตลอดไป”

             “ซีซิล่าไม่ได้หลบผู้คน นางหลบหนีตัวเอง”    ชายชราเจ้าของเรือแจวเอ่ยปากแย้งขึ้นมาด้วยเสียงแหบแห้ง แต่น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยพลังประหลาดชนิดหนึ่ง

             “นั่นสินะ แต่ใครบ้างล่ะจะหลบหนีตัวเองพ้น หลบหนีหัวใจตัวเองพ้น ต่อให้เตลิดหนีไปไกลแสนไกลก็ไม่มีวันหนีพ้น ว่าแต่ท่านล่ะ เมื่อไรจะเลิกหนีเสียที”

             ประโยคหลังเป็นการเจาะจงถาม เจ้าของเรือผู้ลึกลับนิ่งอึ้งไปนานกับคำถามนี้ ทั้งสองต่างเข้าใจดีว่าการจะหลบหนีใจตัวเองพ้นความจริงไม่ต้องเตลิดหนีไปไหน จะหนีใจตัวเองพ้นก็ต้องหนีด้วยหัวใจเช่นกัน เป็นเหตุผลง่ายๆ แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลับลำบากยากเย็นเพราะอารมณ์อันเหนือเหตุผลของจิตใจ แต่ก็เพราะความที่อารมณ์เหนือเหตุผลนี่ล่ะ เป็นสิ่งสร้างสีสันให้กับชีวิตไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบก็ตาม ทำให้ชีวิตแตกต่างจากเครื่องจักรกลชนิดใดๆ

             คนทั้งสองเหมือนมีไรบางอย่างเกี่ยวข้องกันมายาวนาน ชายชราแจวเรือดูเหมือนในชีวิตนี้ไม่ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการพายเรือท่องไปตามสวยน้ำวนเวียนไปมาอย่างไม่รู้จบสิ้น

             เรือลำน้อยผ่านเมฆหมอกจนผ่านโขดหินใหญ่กลางสายธาร ชายชราเปลี่ยนทอศทางของเรือแจวชิดเข้าฝั่งซ้ายมือ ลึกเลี้ยวเข้าไปลำธารสายเล็กแยกจากสายหลัก ซึ่งผ่านไประหว่างหน้าผาสูงชันชะโงกเงื้อมลึกเข้าไป ท้องฟ้าเบื้องบนถูกบดบังด้วยแนวเขามากขึ้นทุกทีจนในที่สุดก็พบว่าสายธารแห่งความตายไหลหายเข้าไปในซอกเขามืดครึ้มลึกบรรยากาศเยือกเย็นเป็นเวลานานพอสมควร สองฝั่งฟากจึงเริ่มกระจ่างออกและเริ่มมองเห็นสองฝากฝั่งเต็มไปด้วยพรรณไม้หนาทึบเขียวขจี ด้านหน้าปรากฏหาดทรายขาดสะอาดตามองเห็นเด่นชัด

             หัวเรือปราดจอดบนหาดทรายขาวทางซ้ายมือเหมือนคุ้นเคยสถานที่เป็นอย่างดี พอเรือจอดสนิทวีนิลี่ลุกขึ้นเอามือไผล่หลังก้าวลงจากหัวเรืออย่างเยือกเย็นไม่รีบร้อน สายลมพัดเส้นผมสีขาวปลิวกระจายเล่นลม บางส่วนเคลียคลอปรกประระใบหน้าให้ความรู้สึกดูแล้วทั้งพิกลทั้งพิสดารทั้งสวยงามทั้งน่ากลัวกับภาพลักษณ์พิสดาร

             ด้านขวามือของหาดทรายออกไปเป็นทิวสนประหลาดประกอบด้วยกิ่งก้านหงิกงอดำคล้ำราวถูกเผาผลาญด้วยไฟนรกจนบิดเบี้ยวทรมาน ส่วนด้านซ้ายของหาดทรายเป็นทิวไม้เขียวขจีตัดกับด้านตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ด้านหน้าไกลออกไปจากหายหาดเป็นหน้าผาสูงชันขึ้นไปจนหายไปในหมู่เมฆดำ สูงจากพื้นสามช่วงตัวมีปากถ้ำขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ราวหลุมดำฝังตัวลงไปในหน้าผา

             ปากถ้ำสตรีผมยาวยืนสงบนิ่งเหมือนรอคอยอยู่ราวกับรู้ล่วงหน้าว่ามีคนมาเยือน

             ถ้าผู้มาเยือนคือสีขาว สตรีผู้นี้คือสีดำ ชุดเสื้อแขนกว้างเป็นชุดสีดำทั้งหมดปราศจากสีอื่นปะปน เส้นผมดำสนิทยาวเหยียดพลิ้วไสวในสายลม ตัดกับผิวกายขาวและใบหน้าซีดจนน่ากลัว ดวงตาสองข้างปิดสนิท

             ไม่ใช่ว่าไม่ลืมตา เพียงไม่เคยลืมตานานมาแล้ว    โลกของสตรีผู้นี้คือโลกมืดอย่างแท้จริง   เป็นภาพลักษณ์ผิดแผกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแบบหน้ามือเป็นหลังมือกับผู้มาเยือน

             วีนิลี่เดินเข้าไปอย่างช้าๆแบบไม่รีบร้อนจนใกล้ในระยะห่างสี่ห้าวาจึงหยุดนิ่งเอามือไพล่หลังเงยหน้าขึ้นไปมองแม้ว่าต่างฝ่ายไม่สามารถสังเกตเห็นแววตากันได้ แต่ก็คล้ายต่างฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างของฝ่ายตรงกันข้ามได้
             ธุลีในสายลมหวนพัดมาจากแม่น้ำก่อนพัดหวนขึ้นเบื้องบน  หอบธุลีไปในสายลมโรยรายปรายโปรยละอองไอเย็นจับกายจับใจ
            ไม่ได้คล้ายเพื่อนแต่ก็ ไม่ได้คล้ายศัตรูคู่อาฆาต  เหมือนไม่ได้พานเจอกันแสนนานแต่เหมือนเพิ่งเดินจากกันไปเมื่อวันวาน   เป็นความผูกพันพิสดารแตกต่างกลมกลืนคล้ายห่างคล้ายใกล้ ไม่เย็นชาแต่ไม่อบอุ่นสนิทใจ อะไรบางอย่างคล้ายเส้นใยบางๆกรีดตวัดผ่านโชคชะตาเร้นร้าย สองคนเหมือนอยู่คนละขั้วคนละฝั่งแต่เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องสานสัมพันธ์กันแนบแน่น

             ผู้มาเยือนเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายขึ้นก่อนว่า

             “ซีซิล่า ท่านสบายดี”

             เป็นคำทักทายง่ายๆ ไม่ว่าใครก็พูดได้ แต่พอออกจากปากของผู้มาเยือนก็เหมือนมีความหมายพิเศษพิสดารลึกล้ำแอบแฝง  คนผู้หนึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวยาวนานยังสามารถสบายดีหรืออย่างไร

             สตรีนัยน์ตาบอดผู้ถูกเรียกว่าซีซิล่ากระโดดลงมาจากหน้าผาสูงด้วยท่าทางแผ่วเบานุ่มนวลราวปุยนุ่นมายืนเบื้องหน้า มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยตอบเสียงราบเรียบว่า

             “ข้าสบายดี”

             ตอบเหมือนไม่มีอะไรแฝงลึก ใครๆ ก็สามารถตอบแบบนี้ได้ แต่ซีซิล่าตอบออกมา ก็คล้ายมีความหมายพิสดารประการหนึ่งซ่อนอยู่ คนอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายเพียงลำพังมาเนิ่นนานยังสามารถสบายดีทั้งพอฟังน้ำเสียงนั้นก็เหมือนคนพูดกำลังสบายดีจริงๆ



.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่