[CR] หิ้วถุงผ้า ลุยเดี่ยว "สังขละบุรี" กี่รีวิวก็ไม่ฟินเท่าไปเอง

สวัสดีครับ ผมชื่อ FRAME นี่คือบันทึกการเดินทาง การหิ้วถุงผ้าเที่ยวคนเดียวของผมครั้งแรกในไทย อย่างเป็นทางการ
ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลและอ่านรีวิวของนักเดินทางมาหลายกระทู้ ผมเลือก"สังขละบุรี" เป็นจุดหมายแรกของการ Backpack
พอได้โอกาสก็รีบเก็บถุงผ้า ชวนเพื่อนคนไหนก็ไม่ว่าง อะฮะ ไม่เป็นไร พร้อมไม่พร้อมฉันก็จะไป มีเวลาเตรียมตัว 1 วันทำการ
ไปคนเดียวก็ได้น่า ลุย! (ขาสั่นหวั่นใจเบาๆ)


สำหรับการเดินทางนั้นผมเลือกวิธีการเดินทางที่คิดว่าตนเองสะดวกที่สุด คือไปโดยรถทัวร์ปรับอากาศ 999 กรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์
จากสถานีขนส่งหมอชิต ( * ผมเดินทางช่วงเทศกาลวันแม่พอดี คิดเผื่อว่าถ้าตั๋วเต็มจะทำไง งั้นจองออนไลน์กันเอาไว้และไปจ่ายเงินที่
7/11 ราคาตั๋วถ้าไปซื้อที่หน้าช่องจำหน่ายราคา 218 บาท แต่สำหรับออนไลน์บวกค่าดำเนินการอีก 45 บาท จากนั้นก็ปริ้นใบไปชำระเงินที่
เคาเตอร์เซอร์วิส เสียค่าบริการอีก 20 บาท สรุปว่าค่าออกเดินทางอยู่ที่ 283 บาทครับ ) เที่ยวแรกออก 6.30 น. ไปลงปลายทางที่
สังขละบุรีได้เลยไม่ต้องเปลี่ยนรถหลายต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชม.แม้มันจะดูเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน
แต่ถ้าหากคุณเคยอุดอู้อยู่ในรถตู้ระยอง-กรุงเทพอนุสาวรีย์ ช่วงเทศกาล ซึ่งรถติดยาวกว่า 5 ชม. ผมว่าเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ
ทนนั่งต่ออีกหน่อยก็ถึงสังขละบุรีแล้วล่ะ


บรรยากาศบนรถปรับอากาศใช้ได้แอร์เย็นสบาย หายใจสะดวก มีผู้โดยสารนั่งกันเต็มทุกที่นั่ง ฉันรู้สึกแฮปปี้เบาๆที่มีเพื่อนร่วมทางเยอะ
(จนกระทั่งรถจอดรับผู้โดยสารตั๋วยืนอีกนับสิบชีวิตแถวนครปฐม คราวนี้ละอบอุ่นจนเกือบจะระอุแล้ว ยืนวนไปครับ)
รถแล่นไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านบางเลนนครปฐมและเข้าสู่สถานีจังหวัดกาญจนบุรี ผ่านไทรโยค ทองผาภูมิ ผ่านด่านเจดีย์สามองค์
จนกระทั่งแล่นเข้าสู่สังขละบุรี บรรยากาศตลอดเส้นทางนั้นผ่านภูเขาสลับกับตัวเมือง มีความหลากหลายทางภูมิทัศน์ ยิ่งใกล้สังขละบุรี
เท่าไหร่หนทางก็ยิ่งสูงชัน รถค่อยๆไต่ระดับอย่างช้าๆแต่ปลอดภัยอุ่นใจทุกเวลา มีจุดตรวจบัตรประชาชนเข้าแดนและมีจุดแวะพัก
เข้าห้องน้ำไม่ต้องกังวล


แล้วเราก็มาถึงจุดหมายปลายทาง "สังขละบุรี" ตอนประมาณบ่ายสามโมงเศษ รถจอดที่ท่ารถตรงที่ซื้อตั๋วขึ้น ตรงนั้นมีป้ายแจ้งเวลา
สำหรับผู้ที่จะเดินทางกลับในเช้าวันรุ่งขึ้น รถผ่านวันนีงมีไม่กี่เที่ยวและเวลาอาจมีการคลาดเคลื่อนได้ ฉะนั้นเราต้องมารอรถแต่เช้า
รถเหรดดีกว่าตกรถครับ ซึ่งเมื่อก้าวเท้าลงจากรถสิ่งที่ รู้สึกได้ตอนนั้นทันทีคือ มึนงง! จะเอาไงต่อ ห้องก็ยังไม่ได้จองต้องว้อคอิน
ซึ่งก่อนหน้านี้ได้โทรสอบถามแล้วเต็มเกือบทุกที่ เอาละสิงานเข้า ฉะนั้นเลยต้องตั้งสติให้ดี นี่ขนาดเตรียมพร้อมมาบ้างแล้วนะเนี่ย
แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ได้เจอกับคุณป้านพลักษณ์ ที่ทำห้องพักอยู่ใกล้จุดจอด คุณป้าทักทายดีมากให้คำแนะนำเหมือนญาติผู้ใหญ่
แต่ผมไม่ได้เช่าห้องพักของคุณป้าแต่ก็ดีใจที่ได้เจอคุณป้าเป็นคนแรกที่นี่ครับ
.
(ตามจริงต้องขอบอกว่าก่อนหน้านี้ได้ไปเจอเพจของทางสังขละบุรี ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลที่พักอันนอกเหนือจากที่เรารู้จักกันเอาไว้มากมาย
ซึ่งผมได้สุ่มเลือกข้อมูลที่พักหนึ่งซึ่งเป็นเบอร์ติดต่อคุณ กวี สวัสดิการเทศบาล ซึ่งเป็นที่พักแบบเต็นท์กลางแจ้งเขาบอกว่าที่พักมี
แต่ผมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นห้องและเขาไม่คิดว่าผมจะมาคนเดียว แต่ก็โทรหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือควบคู่กับปรึกษาทางเพจสังขละบุรี
อย่างเร่งด่วนกลัวไม่มีที่พัก ซึ่งเมื่อคุณกวีทราบจึงแว้นมอเตอร์ไซด์มารับไปดูห้องและส่งเช็คอิน จนกระทั่งได้ที่พักกึ่งโฮมสเตย์ที่ชื่อ
"สามวารี" ซอยวัดศรี ในราคาคืนละ 1 พันบาท (ราคาแล้วแต่เทศกาล) เป็นห้องแอร์ห้องน้ำในตัว พร้อมให้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์
แว้นตะลอนในราคา 150 บาท เป็นราคาที่พยายามต่อรองราคาแล้วจาก 200 บาท ซึ่งต้องขอบคุณทั้งสองส่วนมา ณ โอกาสนี้ครับ
ชาวสังขละใจดีจริงๆ คอนเฟิร์ม

เมื่อได้ที่พักเก็บข้าวของพักหายเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวความสุขในเวลาอันน้อยนิดให้ชื่นฉ่ำกันสักที เรามาเริ่มกันเลยน้า
.
.
แต่นแต๊น!!!!  ผมใช้ชื่อทริปนี้ว่า " หิ้วถุงผ้าลุยเดี่ยว สังขละบุรี"


                   " สะพานไม้ ด่านเจดีย์ นทีสามประสบ มรดกทุ่งใหญ่ ไทยกะเหรี่ยงรามัญ
              สารพันธรรมชาติ อภิวาทหลวงพ่ออุตตมะ เมืองสังขละชายแดน สุดแคว้นตะวันตก "

เมืองสามหมอกที่ผู้คนหลั่งไหลมาชมความงดงามและสัมผัสวิถีชีวิตของชาวมอญ ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนครับมีฝนตกสลับเมฆครึ้มอากาศ
เย็นสบาย ที่ที่เรายืนอยู่คือดินแดนสามประสบ แม้ฝนตกชุกแต่แม่น้ำซองกาเลียดูแห้งขอด แต่นั่นก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งในช่วงนี้ และความสวยงามก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย ถามว่าวินาทีแรกที่เห็นรู้สึกยังไงเหมือนในรูปที่เห็นในเน็ตไหม ขอตอบว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีดูมีอะไรให้น่าค้นหา
และเราก็ต้องเดินไปตามเส้นทางอารยธรรมนั้นเพื่อพบกับบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่


สะพานไม้อุตตมานุสรณ์
สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของที่นี่อาจจะต้องบอกว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องมาทอดน่องเดินกับฉับๆและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


ผมเข้าใจว่าสะพานลูกบวบไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวหลังจากที่ซ่อมแซมสะพานหลักยังคงอยู่ แต่ตอนนี้ขาดลงเหลือเพียงสะพานมอญ
ที่เด่นตระหง่ายทอดยาวพาดลำน้ำซองกาเลีย ข้ามฝั่งระหว่างไทยกับฝั่งมอญ ซึ่งมุมนี้เราจะมองเห็นสะพานแดงด้วย


รางวัลชนะเลิศสาขาต้อนรับนักท่องเที่ยวบนสะพานต้องยกให้เด็กๆชาวมอญที่มาจากโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม พร้อมสำรับทานาคาทาแก้ม
ครบเซ็ตไว้คอยบริการริมทางเดินบนสะพาน แถมยังสามารถเป็นไกด์คอยอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของเมืองสังขละบุรีอย่างชัดเจน
เด็กๆทุกคนน่ารัก ยื้มแย้มแจ่มใส ควรค่าที่เราจะมอบค่าขนมให้แก่พวกเขาตามชอบใจ



ฝากรอยทานาคาเอาไว้ที่แก้ม ฝีมือคนนี้เลย มีหลักฐาน

เด็กผู้ชายกับช่อดอกไม้สวยๆ


หลังจากเดินเที่ยวบนสะพานได้สักครู่ก็สนใจการล่องเรือชมวัด  จึงเดินลงสะพานมาเรียบๆเคียงๆอยู่ริมตลิ่ง มีพี่ชาวบ้านแนะนำ
โปรแกรมนั่งเรือชมวัดใต้น้ำ ราคาอยู่ที่ 300 ต่อ 1 วัด และ 500 บาท ได้เยี่ยมชม 3 วัด เขาเห็นผมไปคนเดียวจึงลดให้ราคาเหมาลำ
อยู่ที่ 400 บาทชมทั้ง 3 วัด เมื่อความสุขตีค่าเป็นเงินตราก็ไม่รอช้าไหนๆมาทั้งทีก็ต้องรีบหิ้วถุงผ้าลงเรือทันที


ซึ่งวัดแรกที่เราจะไปชมกันคือ "วัดวังก์วิเวการาม (เดิม)" หรือที่เรียกกันว่า วัดหลวงพ่ออุตตมะ นั่นเอง เห็นแต่ในรูปมานาน
เพิ่งมีโอกาสเห็นของจริงก็วันนี้ สาธุ งดงามและดูขลังกว่าในรูปมากๆสุดยอดเลย ที่บนฝั่งมีเด็กๆชาวมอญมาชวนซื้อดอกไม้ไหว้พระ
และสามารถแนะนำประวัติโดยละเอียดได้เช่นกัน ถ้าคุณสนใจ

ช่วงที่ไปน้ำน้ำแห้งพอที่จะสามารถขึ้นฝั่ง เดินเข้ามาชมในตัววัดตามจุดต่างๆได้ เช่น หอระฆังซึ่งโดดเด่นมาแต่ไกล
มีวิหาร ซุ้มกำแพงและโบสถ์ก่ออิฐถือปูน ซึ่งต้องยอมรับว่าคงทนมากๆขนาดอยู่ใต้น้ำสภาพยังดีมากๆ

ราวกับหลุดเข้าไปในยุคสมัยนั้น ชอบที่วัดนี้มากๆ อินมากๆ แต่ปางก่อน

สภาพวัดโดยรอบยังคงงามและสมบูรณ์ยิ่งนัก



เสร็จจากวัดแรกเราก็ลงเรือต่อไปอีกทีละจุดโดยจะต้องผ่านประติมากรรมธรรมชาติ นั่นคือตอไม้สูงที่ขึ้นเรียงรายเอนเอียง
สลับทิวน้ำ คนขับเรือจึงต้องชำนาญมากๆในการแล่นเรือ คงเป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่าน้ำลดตอผุด



วัดต่อมาคือ “วัดสมเด็จเก่า” ทางขึ้นสูงชันเราต้องเดินไกลพอควรแต่เมื่อได้เห็นวัดก็หายเหนื่อยเพราะว่าสวยและขลังอีกเช่นกัน



ทางขึ้นเมื่อเราเห็นตอนกลับลงมานั้นเสมือนเป็นท่าเรือธรรมชาติขนาดย่อม สวยงามมากๆ



วัดท้ายสุดที่เรานั่งเรือผ่านชื่อว่า “วัดศรีสุวรรณ” แต่ด้วยน้ำท่วมรอบตัวพระอุโบสถไม่มีพื้นที่สำหรับจอดเรือ เราจึงได้ลอยลำ
สักการะอยู่ด้านนอก ชมงดงามของสถาปัตยกรรมโบราณที่ทรงค่ายิ่ง




เสร็จจากการเที่ยวชมก็ขึ้นฝั่งไปไหว้เจดีย์พุทธคยา เจดีย์ทรงเหลี่ยมฐานจัตุรัสสีทองเด่นตระหง่านแม่น้ำ


ภายในเจดีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศศรีลังกา




ความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวมอญกับพระพุทธศาสนาที่เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจ
พวกเขาจะตั้งใจประกอบกิจพิธีกรรมของตนออกมาอย่างเรียบร้อย อ่อนโยน




จากนั้นก็ไปไหว้หลวงพ่ออุตตมะที่วัดวังก์วิเวการาม (หลังใหม่) เสร็จก็มืดพอดี จึงเดินมาช้อปสินค้าพื้นเมืองที่ริมสะพานฝั่งมอญ


บรรยากาศช่วงค่ำที่สะพานมอญยังคงคึกครื้น เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศยามพลบค่ำที่สวยงามเหลือเกิน
ความรู้สึกผมเหมือนอยู่บนสะพานสระแก้ว ที่ทับแก้ว นครปฐม ก่อนแยกย้ายไปหามื้อเย็นที่ตลาด


เช้าวันใหม่ก่อนกลับ ไปใส่บาตรที่เชิงสะพานและถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจก่อนกลับกรุงครับป๋ม


ขอบคุณสำหรับการรับชมครับ ^^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่