ในพระไตรปิฏกบอกไว้ชัดเจตว่าให้ "ถวายกัปปิยภัณฑ์" คือ "ของที่พระใช้ได้" แล้วอุทิศ "บุญ" ไปให้กับผู้ที่เราต้องการอุทิศให้ ยกตัวอย่าง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๓. มัตตาเปติวัตถุ
ว่าด้วยบุญกรรมของนางมัตตาเปรต
(ข้อความตอนหนึ่ง จากมัตตาเปติวัตถุ)
นางเปรตนั้นกล่าวว่า
ฉันเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียดซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
การเปลือยกายและมีรูปร่างน่าเกลียดเป็นต้นนี้ เป็นการยังความละอาย
ของหญิงทั้งหลายให้กำเริบ ขออย่าให้กุฎุมพีได้เห็นฉันเลย.
นางติสสากล่าวว่า
ถ้าอย่างนั้น จะให้ฉันให้ทานสิ่งไร หรือทำบุญอะไรให้แก่ท่าน ท่านจึงจะ
ได้ความสุขสำเร็จความปรารถนาทั้งปวง.
นางเปรตนั้นกล่าวว่า
ขอท่านจงนิมนต์ภิกษุจากสงฆ์ ๔ รูป และจากบุคคล ๔ รูป รวมเป็น
๘ รูป ให้ฉันภัตตาหารแล้วอุทิศส่วนบุญให้ฉัน เมื่อทำอย่างนั้นฉันจึง
จะได้ความสุข สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง.
นางติสสารับคำแล้ว นิมนต์ภิกษุ ๘ รูป ให้ฉันภัตตาหาร ให้ครองไตร
จีวรแล้ว อุทิศส่วนกุศลไปให้นางเปรต ข้าวน้ำและเครื่องนุ่งห่มอันเป็น
วิบาก ได้บังเกิดขึ้นในทันใดนั้นนั่นเอง นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ใน
ขณะนั้นนั่นเอง นางเปรตมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งผ้าห่มอันมีค่า
ยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปหานาง
ติสสาผู้ร่วมสามี.
จากข้อความนี้ นางติสสา อุทิศบุญให้แก่เปรต ก็ไม่ได้เอาอาหารเปรต ซึ่งเป็นน้ำมูก น้ำลาย มาถวายพระ. แต่กลับถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และหลังจากนั้นจึงอุทิศบุญจากการถวายอาหารให้ เพื่อให้เปรตได้รับบุญ
แต่ทำไมเดี๋ยวนี้หลายคน เมื่อสัตว์เลี้ยงตายไป. กลับเอาอาหารสัตว์ถวายให้พระแล้วอุทิศส่วนกุศลครับ. . อาหารสัตว์ พระฉันไม่ได้ ใช้ทำกิจของสงฆ์ไม่ได้ ไม่ใช่กัปปิยภัณฑ์ (ทำได้เพียงเอาไปให้สัตว์กินต่อ). แต่เพราะอะไรคนถึงยังถวายอาหารสัตว์ให้พระแล้วคิดว่าได้บุญกัน
เราไม่ใช่คนจีนนะครับ ที่คิดกันว่า เผากระดาษรูปรถแล้วคนตายจะมีรถ. เผากระดาษรูปบ้านให้คนตายแล้วคนตายจะมีบ้าน. เพราะความเชื่อทางเถรวาทนั้นชัดเจนว่าสัตว์ที่ตายแล้ว จะได้รับตัวบุญกุศล ไม่ใช่ตัวสิ่งของหรืออาหารนั้นเป็นชิ้น ๆ แต่ทำไมยังมีคนทำอยู่ครับ. ซ้ำร้าย กลับหาว่าพระที่ท่านตำหนิเรื่องการถวายอาหารสัตว์ให้พระว่าเป็นพระไม่ดี ใจแคบ ไม่รักสัตว์อะไรอีก. ชาวพุทธต้องใช้ปัญญาไม่ใข่เหรอครับแม้แต่กับการทำบุญ
ทำไมหลาย ๆ คนที่ทำบุญอุทิศให้หมาแมว. ชอบใช้อาหารหมาอาหารแมวถวายพระครับ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
๓. มัตตาเปติวัตถุ
ว่าด้วยบุญกรรมของนางมัตตาเปรต
(ข้อความตอนหนึ่ง จากมัตตาเปติวัตถุ)
นางเปรตนั้นกล่าวว่า
ฉันเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียดซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
การเปลือยกายและมีรูปร่างน่าเกลียดเป็นต้นนี้ เป็นการยังความละอาย
ของหญิงทั้งหลายให้กำเริบ ขออย่าให้กุฎุมพีได้เห็นฉันเลย.
นางติสสากล่าวว่า
ถ้าอย่างนั้น จะให้ฉันให้ทานสิ่งไร หรือทำบุญอะไรให้แก่ท่าน ท่านจึงจะ
ได้ความสุขสำเร็จความปรารถนาทั้งปวง.
นางเปรตนั้นกล่าวว่า
ขอท่านจงนิมนต์ภิกษุจากสงฆ์ ๔ รูป และจากบุคคล ๔ รูป รวมเป็น
๘ รูป ให้ฉันภัตตาหารแล้วอุทิศส่วนบุญให้ฉัน เมื่อทำอย่างนั้นฉันจึง
จะได้ความสุข สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง.
นางติสสารับคำแล้ว นิมนต์ภิกษุ ๘ รูป ให้ฉันภัตตาหาร ให้ครองไตร
จีวรแล้ว อุทิศส่วนกุศลไปให้นางเปรต ข้าวน้ำและเครื่องนุ่งห่มอันเป็น
วิบาก ได้บังเกิดขึ้นในทันใดนั้นนั่นเอง นี้เป็นผลแห่งทักษิณา ใน
ขณะนั้นนั่นเอง นางเปรตมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งผ้าห่มอันมีค่า
ยิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร เข้าไปหานาง
ติสสาผู้ร่วมสามี.
จากข้อความนี้ นางติสสา อุทิศบุญให้แก่เปรต ก็ไม่ได้เอาอาหารเปรต ซึ่งเป็นน้ำมูก น้ำลาย มาถวายพระ. แต่กลับถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และหลังจากนั้นจึงอุทิศบุญจากการถวายอาหารให้ เพื่อให้เปรตได้รับบุญ
แต่ทำไมเดี๋ยวนี้หลายคน เมื่อสัตว์เลี้ยงตายไป. กลับเอาอาหารสัตว์ถวายให้พระแล้วอุทิศส่วนกุศลครับ. . อาหารสัตว์ พระฉันไม่ได้ ใช้ทำกิจของสงฆ์ไม่ได้ ไม่ใช่กัปปิยภัณฑ์ (ทำได้เพียงเอาไปให้สัตว์กินต่อ). แต่เพราะอะไรคนถึงยังถวายอาหารสัตว์ให้พระแล้วคิดว่าได้บุญกัน
เราไม่ใช่คนจีนนะครับ ที่คิดกันว่า เผากระดาษรูปรถแล้วคนตายจะมีรถ. เผากระดาษรูปบ้านให้คนตายแล้วคนตายจะมีบ้าน. เพราะความเชื่อทางเถรวาทนั้นชัดเจนว่าสัตว์ที่ตายแล้ว จะได้รับตัวบุญกุศล ไม่ใช่ตัวสิ่งของหรืออาหารนั้นเป็นชิ้น ๆ แต่ทำไมยังมีคนทำอยู่ครับ. ซ้ำร้าย กลับหาว่าพระที่ท่านตำหนิเรื่องการถวายอาหารสัตว์ให้พระว่าเป็นพระไม่ดี ใจแคบ ไม่รักสัตว์อะไรอีก. ชาวพุทธต้องใช้ปัญญาไม่ใข่เหรอครับแม้แต่กับการทำบุญ