[CR][SR] รีวิวทริป>ประเทศนามิเบีย(เเอฟริกา)เยี่ยมโรงฆ่าสัตว์ทำฟอร์นิเจอร์ที่หาดูยาก

กระทู้รีวิว
สวัสดีค่ะ>>>> วันนี้มีโอกาสกลับมารีวิวทริปท่องเที่ยวในเเอฟริกาให้เพื่อนๆได้ฟังกันอีกครั้ง สืบเนื่องจากครั้งก่อนที่มีโอกาสเขียนกระทู้เกี่ยวกับเเอฟริกาใต้เเละทางรถไฟสายเเอฟริกา ....ในคราวนี้จะเป็นทริปที่ดิฉันได้มีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศนามิเบียเมื่อปีที่เเล้วซึ่งเกิดความประทับใจมากมายจนอยากที่จะนำมาเล่าต่อ ..เเต่.. ถ้าใครยังสงสัยอยู่ว่าประเทศนามิเบีย ชื่ออาจจะฟังดูยังไม่คุ้นหูนัก มันอยู่ส่วนไหนของโลก .....เรามีข้อมูลมาบอกค่ะ

นามิเบีย (Namibia) หรือสาธารณรัฐนามมิเบียอยู่ในทวีปแอฟริกาค่ะ  ทางใต้ติดกับประเทศเเอฟริกาใต้ส่วนทางตะวันออกติดกับประเทศบอตสวาน่า ทางเหนือเชื่อมต่อกับเเองโกล่าเเละเเซมเบีย ภูมิประเทศของนามิเบียประกอบด้วยทะเลทรายเเละที่ราบสูงเป็นส่วนใหญ่ ฤดูกาลท่องเที่ยวจะอยู่ในช่วงเดือนตค.-ธค. เพราะอากาศจะเย็นสบายเเละไม่มีฝนค่ะ
* การขอวีซ่าเข้าประเทศนามิเบียจะต้องส่งเอกสารทั้งหมดไปขอที่มาเลเซียนะคะ เพราะตอนนี้ที่ประเทศไทยยังไม่มีสถานทูตนามิเบียค่ะ *
เอกสารที่ต้องส่งไป
1. พาสปอร์ตที่มีหน้าเหลืออยู่ และมีอายุก่อนการเดินทางไม่น้อยกว่า 6 เดือน
2. รูปถ่ายสี 2 รูป ขนาดเท่ารูปทำพาสปอร์ต
3. สำเนาหน้าพาสปอร์ต
4. ใบจองตั๋วเครื่องบิน หรือวิธีการกลับออกนอกประเทศ
5. ใบจองที่พัก
6. สำเนาหน้าบัตรเครดิต แนะนำว่าให้ปิดเลขท้าย 3 ตัวหลัง
7. ค่าธรรมเนียมวีซ่า: ตามหน้าเวบไซต์ของสถานทูตระบุไว้ว่า วีซ่าท่องเที่ยว 60 USD, วีซ่าธุรกิจ 106 USD แต่ตอนโทรไปถามที่มาเลเซีย เจ้าหน้าที่บอกว่าวีซ่าท่องเที่ยวเปลี่ยนเป็น 75 USD เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน เพราะฉะนั้นทางที่ดีก่อนส่งเอกสารให้โทรไปถามก่อนอีกครั้ง
8. แบบฟอร์มการของวีซ่า http://www.namibiahighcommission.com.my/visaApp.pdf

            จุดเริ่มต้นของทริปนี้ดิฉันเริ่มออกเดินทางจากประเทศอเมริกาที่อยู่ในปัจจุบันค่ะ    เเวะเปลี่ยนเครื่องที่โจฮันเนสเบริก์ประเทศเเอฟริกาใต้  อย่างที่รู้กันดีนะค่ะหากใครที่เคยเดินทางท่องเที่ยวในเเอฟริกามาบ้าง  สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศมักที่จะต้องมาลงที่เเอฟริกาใต้เป็นหลัก หรือกับอีกที่ คือ กรุงไนโรบี ของประเทศเคนย่า  หลังจากที่มาเปลี่ยนเครื่องที่เเอฟริกาใต้เเล้ว ดิฉันต้องเดินทางต่อโดยสายการบินประจำชาติของนามิเบียสู่เมืองหลวงของประเทศนั่นคือเมือง Windhoek ใช้เวลาเดินทาง1.45ชม.

นามิเบียเป็นประเทศที่เงียบสงบเเละปลอดภัยค่ะ ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆในทวีปเเอฟริกาถือว่าที่นี่ดูปลอดภัยที่สุดเเล้ว  ผู้คนก็ดูเป็นมิตรกว่า ที่นามิเบียยังมีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ที่มีกิจกรรมหลายอย่างให้นักท่องเที่ยวได้ทำ ทั้งซาฟารี ,การส่องสัตว์หรือเเม้เเต่ทะเลทรายที่สวยงาม กระรันตีได้จากดาราฮอลลิวู้ดชื่อดังอย่าง เเองโจลีน่า โจลี่ ยังเอาลูกมาคลอดที่นี่เพราะประทับใจกับความเป็นอยู่ในนามิเบีย จนรัฐบาลนามิเบียได้ให้สัญชาติเธอไปแล้ว ........
          ถ้าเราได้เที่ยวในนามิเบียสักพักจะสังเกตุได้ว่าที่นี่มีคนขาวอยู่เยอะค่ะ  หรือบางคนก็ย้ายภูมิลำเนามาจากเเอฟริกาใต้บ้างก็มีเพราะคิดว่านามิเบียนั้นน่าอยู่กว่า    ตามถนนหนทางของนามิเบียดังภาพที่เห็นนะค่ะ ก็มักที่จะมีสัตว์ท้องถิ่นเเวะเวียนมาทักทายเราอยู่เสมอ ดังนั้นก็ควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถด้วย

ใครที่เคยอ่านเรื่องราวของชนเผ่าของเเอฟริกามาบ้างก็จะรู้นะค่ะว่า นามิเบียมีชนเผ่ากลุ่มน้อยที่ชื่อว่าฮิมบาอาศัยอยู่ มีมากถึงหมื่นกว่าชีวิต ชาวฮิมบานี้นะค่ะส่วนใหญ่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของประเทศยังคงดำเนินชีวิตเเบบดั้งเดิมเเท้ คืออยู่อาศัยกับธรรมชาติเเละใช้ดินโคลนเเดงในการชำระล้างล้างกายเเละตกเเต่งทรงผม ตลอดจนบ้านเรือนที่ทำมาจากดินโคลนเเดงด้วยมีทั้งผมเปียเเละทรงเดรดร๊อกที่ทำได้ทุกเพศทุกวัยตั้งเเต่วัยเด็กวัยผู้ใหญ่ไล่ไปจนถึงวัยเเก่ ใครที่มาเที่ยวนามิเบียเเละอยากที่จะเจอฮิมบาก็สามารถที่จะเจอได้ตามเขตเมืองได้ด้วย   อาจที่จะไม่ต้องขับรถไปไกลถึงทางตอนเหนือ เพราะชาวฮิมบาสมัยใหม่บางกลุ่มนิยมเดินทางเข้ามาในเขตเมืองเพื่อค้าขายสิ้นค้าท้องถิ่นหัตถกรรมที่ทำมาจากมือของตนเอง   รวมถึงให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสได้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

ดิฉันมีโอกาสได้ลิ่มลองเนื้อสัตว์ป่าเเอฟริกาด้วยค่ะ คือเนื้อม้าลาย เนื้อยีราฟเเล้วก็เนื้อละมั่ง โดยก็ยังคงเเยกไม่ออกอยู่ดีว่ารสชาติมันเเตกต่างจากเนื้อหมูเนื้อไก่ที่ทานอยู่ทุกวันยังไง

อันนี้คือหน้าตาเต็มๆของเนื้อยีราฟ ม้าลายเเละละมั่งที่กล่าวไปเมื่อครู่นี้ในเมนูพิซซ่า เเละบาบีคิวเสียบไม้ซึ่งอาจจะรับไม่ได้กับบางคนที่ไม่นิยมรับประทานสัตว์ใหญ่ เเต่การที่ได้เดินทางมาเเอฟริกาเป็นโอกาสที่หาทานได้ง่ายในภัตรคารทั่วไป

ดิฉันคงไม่กล้าลองกินถ้าในภัตรคารเเห่งนี้ไม่มีลูกค้าเเน่นขนาดนี้เพราะมีทัวส์ฝรั่งมาลงอย่างไม่ขาดสาย


ดิฉันมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ชาวนามิเบียคนหนึ่งที่เป็นคนขับเเท็กซี่ผ่านทางการเเนะนำของเจ้าของโฮสเทลที่พักในเมือง Otjiwarongo หน้าตาเห็นครั้งเเรกอาจจะไม่ค่อยน่าไว้ใจ  เเต่เมื่อจ้างให้เป็นไกด์ขับพาไปในสถานที่ต่างๆเกือบอาทิตย์ก็ทำให้รู้จักเเละคุ้นเคยมากขึ้นจนกระทั่งได้เเลกเบอร์ที่จะติดต่อกันเอาไว้ เผื่อว่าช่วงเวลาท้ายๆของทริปมีเวลาเหลือจะได้จ้างวานให้พาไปไหนอีก ......เเละเเล้วก่อนวันสุดท้ายของทริปนามิเบีย ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากอีตาคนนี้ตอนเช้าตรู่เพื่อชักชวนไปในสถานที่เเห่งหนึ่ง       ''  ไอ มีที่ๆหนึ่งอยากที่จะพา ยู ไปเห็นมากก่อนกลับบ้าน อยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก ช่วย ไอ ออกเเค่ค่าน้ำมันก็พอค่าจ้าง ไอ ไม่คิด"   พอดีว่าวันนั้นว่างอยู่พอดีเลยตัดสินใจไปเผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจ

เพื่อนคนขับเเท๊กซี่ของดิฉันขับรถออกมาจากตัวเมืองราว15นาทีค่ะ  บอกว่าจะพามาร้านขายของที่ระลึกเพื่อที่จะได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไป จนมาหยุดอยู่ที่สถานที่เเห่งหนึ่ง ซึ่งด้านหน้าก็ดูปกติธรรมดามาก พวกเรากดกริ่งเรียกคนที่อยู่ด้านในออกมาเปิดประตู ....สักครู่ก็มีผู้หญิงชาวนามิเบียคนหนึ่งเดินออกมาพูดคุยกับเพื่อนของดิฉันส่งภาษาท้องถิ่นกันไฟเเล๊บซึ่งดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง  โดยไม่นานนางก็เปิดประตูให้เข้าไป


ภาพเเรกที่เห็นเป็นภาพของโกดังใหญ่ที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังนั่งชำเเระซากสัตว์ป่าเพื่อเเปรรูปมาเป็นฟอร์นิเจอร์อยู่ค่ะ   ทั้งกลิ่นคาวคุ้งของเลือดกลิ่นสาบเหม็นตลบอบอวน ''  OH MY GOD  ''   นี่หรือคือภาพสัตว์ป่าที่ยิ่งใหญ่เเห่งเเอฟริกา   กำลังถูกลำเลียงบนรถบรรทุกขนาดใหญ่สู่เมืองอื่นๆเพื่อขายต่อไป เเละราคาเมื่อออกจากโรงงานนี้เเล้วก็จะพุ่งขึ้นสูงถึงเกือบเท่าตัวเลยที่เดียว

เท้าช้างเเปรรูป  ออกเเบบมาให้เป็นเก้าอี้เล็กๆถูกเสนอราคาอยู่ที่ 170 ยูโร ชีวิตหนึ่งชีวิตมี่ราคาอยู่ที่เงินเท่านี้เองเหรอ ......อาจจะดูสะเทือนใจไปสักหน่อยสำหรับคนไทยอย่างเราๆ เเต่สำหรับคนเเอฟริกาเเล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะสัตว์บางชนิดมีจำนวนที่มากจึงจำเป็นที่จะต้องถูกล่าเพื่อความสมดุลกับระบบนิเวศ


เท้าม้าที่เเปรรูปแล้วในลักษณ์โคมไฟตกเเต่งบ้านพร้อมจำหน่ายก็มี เสนอราคาอยู่ที่ 130ยูโร *สาเหตุที่ขายเป็นเงินยูโรก็เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปค่ะ *

หรือจะเป็นเสือชีต้าขนาดใหญ่ที่สตาฟไว้ตัวนี้ ....หากเข้าไปเป็นฟอร์นิเจอร์ไว้ประดับบ้านใครเเล้ว ไม่รู้จะเรียกว่าสวยหรือจะเรียกว่าหลอนดี เพราะกลัวว่าวันดีคืนดี ไอ้เสื้อตัวนี้จะมาเรียกทวงชีวิตคืน

โครงกระดูของสัตว์ต่างๆที่เเห้งเกรอะกังจนเเยกไม่ออกว่าสัตว์ป่าตระกูลไหนบ้าง

โครตไอ้เคี่ยมอย่างจระเข้ที่นอนหงายท้องอยู่ ....คนที่กำลังนั่งชำเเหละ ยิ้มเเปร๋สู้กล้องขนาดนี้ นี่คงไม่ใช่ตัวเเรกละสินะ !

หุ่นเหมือนเสือโคร่งหรือว่าตัวอะไรสักอย่างเพื่อนๆช่วยกันดูที สภาพยังสมบูรณ์เชียว

ถ่ายรูปคู่กับซากยีราฟค่ะ อันนี้คงเป็นสัตว์ที่ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจมากที่สุดเนื่องจากยีราฟนั้นเป็นสัตว์ใหญ่ .....มีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย  "ว่าเราเป็นเพื่อนร่วมโลกกันไม่ใช่เหรอ ''

อีลุงคนเดิมค่ะ!    เเต่รูปนี้กำลังง้างปากฮิปโปอยู่   เป็นเรื่องที่น่าเเปลกนะค่ะเพราะโรงฆ่าสัตว์ป่าทำฟอร์นิเจอร์เเห่งนี้อนุญาติให้คนเข้าไปถ่ายรูปได้ตามใจชอบ เเต่ส่วนใหญ่จะมีเเต่คนท้องที่เท่านั้นที่รู้จัก ลูกค้ากลุ่มใหญ่คือนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่ต้องการซื้อไปเพื่อประดับตกเเต่งบ้าน โดยเขาจะมีกระดาษที่รองรับถูกต้องตามกฎหมายกำกับไปให้ด้วย  ข้างในกว้างขวางมากค่ะมีอากาศถ่ายเทสะดวก อาจจะมีเหม็นไปสักหน่อยก็ตรงกระบวนการชำเเหละสด .....มีให้ดูตั้งเเต่กรรมวิถีขั้นตอนเเรกไล่ไปให้ดูจนถึงเป็นฟอร์นิเจอร์เสร็จสมบูรณ์พร้อมขาย

สารพัดเขามีให้เลือกมากมาย    เเละที่นี่ยังเปิดรับออเดอร์ด้วยนะค่ะ    ใครชอบสัตว์ชนิดไหนพิเศษก็ยังรับสั่งจองได้อีกด้วย   ดิฉันไม่อยากที่จะจินตนาการเลยว่าวิญณาณสัตว์ทั้งหลายคงที่จะวนเวียนอยู่ในโรงฆ่าสัตว์เเห่งนี้ไม่รู้กี่ต่อต่อกี่ตัว



* เอารูปมาให้ดูกันเป็นประสบการณ์นะค่ะ เพราะถึงอย่างไรก็ไม่สนับสนุนการฆ่าสัตว์ป่าอยู่ดีค่ะ *



ชื่อสินค้า:   รีวิวทริปแอฟริกา
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่