มาบอกเล่า วิธีการขอวีซ่า F-1(วีซ่านักเรียน) ปี 2016 ด้วยตัวเอง

เราเป็นคนนึงที่ไม่อยากขอวีซ่าผ่านเอเจนซี่ที่ชาร์ทแพงๆ และยิ่งเห็นเพื่อนไปแล้วมีปัญหากับเอเจนซี่
ทำอะไรก็ต้องผ่านเอเจนซี่ รอนาน เพราะต้องรอเรื่องกลับไทย เราเลยตัดสินใจทำเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นยังจบ
เกี่ยวกับเรานะคะ เราไม่มีคนรู้จักอยู่อเมริกา เคยไป J-1(work&travel)
อยากไปเรียนภาษาเพื่อต่อปอโท ไปคนเดียวค่ะ ระยะเวลาเรียน 6  เดือน
ก่อนขอวีซ่า เราทำงาน แต่ทำงานได้แค่ประมาณ 6 เดือน(เดือนที่ขอทำงานเดือนสุดท้ายพอดี)
ทั้งหมดทั้งมวล เราจ่ายไป 3,600กว่าเหรียญ(ค่าสมัคร ค่าคอร์ส รวมถึงวีซ่า)

ขั้นตอนการขอวีซ่า F-1ด้วยตัวเอง 2016
0. เลือกรัฐ ที่อยากไป
หาเลยค่ะ  google English school in ..รัฐ..หาคอร์สแล้วก็โปรโมชั่น
ส่วนเราเลือก Florida,Miamiค่ะ

1. อันดับแรกเลย ติดต่อโรงเรียนค่ะ ตกลงเรื่องคอร์ส การจ่ายเงิน รวมถึงเอกสาร I-20
กรณีของเรานะคะ เราอีเมล์ไปถามโรงเรียน
(ใครที่กังวลเรื่องภาษาว่าจะคุยกับโรงเรียนไม่รู้เรื่อง อย่าไปกลัวค่ะ โรงเรียนเค้าเข้าใจว่าเราต้องการไปเรียนภาษา
โรงเรียนเค้าจะไม่มาอะไรมากกับภาษาที่เราเขียนในอีเมล์)


ตัวอย่างอีเมล์ที่เราไปถามเค้า ดูจากภาษาเรานะคะ ฮ่าๆๆ งอกง่อยมาก
ข้อตกลงของเรากับโรงเรียนคือ จ่ายค่าสมัคร 225$ แล้วจะออก I-20มาให้
หลังจาก visa อนุมัติ ก็มาจ่ายค่าคอร์สเรียนอีกประมาณ 3,000$  
ปล. โรงเรียนอาจมีการขอเอกสารเช่น สำเนาพาสปอต เอกสารทางการเงิน หนังสือรับรอง
ปล.ข้อตกลงขึ้นอยู่แต่ละโรงเรียน

2.การขอI-20
I-20 คือใบที่โรงเรียนจะออกให้ รับรองว่าเราจะเข้าเรียนที่โรงเรียนนี้นะ ระยะเวลาเท่านี้
เอกสารนี้สำคัญมากนะคะ ตรวจสอบทุกตัวอักษรให้ถูกต้อง!! ตามที่ตกลงกับโรงเรียน
ถ้าไม่ตรงรีบแจ้งโรงเรียนเลยค่ะ (ของเรามีผิดส่งแก้กลับระยะเวลาเรียน ไม่ตรง ) หลังจากจ่ายเงินค่าสมัคร
โรงเรียนส่งสำเนาI-20มาทางอีเมล์ และส่งตัวจริงทางไปรษณีย์

หน้าตาใบ I-20

3.กรอก DS-160
DS-160  คือใบกรอกประวัติใบนัดสัมภาษณ์ กรอกที่https://cgifederal.secure.force.com/
วิธีการกรอก ไม่ยากค่ะ แต่ทิปคือให้จดเลข Application ID กับ Scurity Question
อัพโหลดรูปแล้วกด Startได้เลย!!

ปล.อย่าลืมเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อม เช่น ที่อยู่ที่เราจะไปพัก เล่มพาสปอต I-20 ชื่อที่อยู่คนรู้จัก 2 คน(ในไทย)
วันเวลาที่จะเดินทางเข้า-ออกUS กรอกเสร็จ จะมีอีเมล์แจ้งเข้ามา ปริ้นไฟล์ที่แนบมากับอีเมล์เก็บไว้นะคะ
เราใช้เวลากรอกอันนี้นานค่ะ อาทิตย์กว่าๆ เนื่องจากอันไหนเราไม่แน่ใจ เราก็จะโทรหาสถาทูตเลย
เช่น ถามว่า เคยพิมพ์ลายนิ้วมือไหม เราเคยไปUSไง แล้วสรุปว่าเคยป่าวหว่า ?? สรุปเราติ้กไปว่าไม่เคย

ปล.มีเวลากรอก 20 นาทีแต่ถ้าหมดเวลาก็กลับเข้าไปกรอกต่อจากเดิมได้ โดยการlogin Application ID

หน้าเอกสารที่จะแนบมากับอีเมล์

3.จ่ายSevis Fee(I-901) อันนี้
เข้าเวป https://fmjfee.com/i901fee/index.jsp
กรอกฟอร์ม ในเวป แล้วจ่ายเงินได้เลยค่ะ 200$
วิธีที่ง่ายคือใช้บัตรจ่ายเครดิตข้อความเข้าว่าเงินตัดแสดงว่าจ่ายได้เรียบร้อย
ที่สำคัญ อย่าลืมปริ้นใบเสร็จออกมาแล้วเก็บไว้

หน้าตาใบเสร็จประมาณนี้

4.นัดสัมภาษณ์กับสถานทูต
เวบนี้ https://cgifederal.secure.force.com/
เลือก Nonimmigrant นะคะ เข้าlogin หรือสมัครสมาชิกใหม่
เข้าไปกรอกประวัติ แล้วก็เช็คประวัติให้ถูกต้อง
อย่างในกรณีของเรา เราเปลี่ยนพาสปอตเล่มใหม่ ซึ่งข้อมูลตัวนี้ค่ะ ไม่สามารถแก้ไขได้เอง
เราก็เลยโทรไปที่สถาทูต แจ้งเรื่องขอแก้ไข(วันรุ่งขึ้นก็ถูกแก้ไขแล้ว) แต่เราต้องเช็คเองนะ ว่ามันแก้ยัง เค้าไม่โทรมาแจ้งว่าแก้ให้เรียบร้อยแล้วนะ

5.จ่ายเงินVisa fee(160$) และนัดวันสัมภาษณ์
หลังจากตรวจสอบความถูกต้องของประวัติเรียบร้อย กด comfirm ก็ปริ้นใบจ่ายเงิน กับแบบฟอร์มจ่ายเงิน
แล้วเอาไปจ่ายที่ธนาคารกรุงศรี อย่าลืมเก็บใบเสร็จนะคะ วันรุ่งขึ้นก็เข้าเวปไปเช็คได้เลย
ของเราไม่ได้กรอกโค้ดอะไร พอเข้าlogin ก็ขึ้นว่าจ่ายเงินเรียบร้อย สามารถเลือกนัดวันสัมภาษณ์ได้
โดยจะให้กดเลือกวัน และเวลาที่เราสะดวกได้เลยค่ะ อย่าลืมปริ้นใบนัดสัมภาษณ์ด้วยนะคะ

มีเมล์แจ้งหน้าตาแบบนี้แสดงว่าเรานัดเรียบร้อยแล้ว

6.เตรียมเอกสาร และการสัมภาษณ์
เราจ่ายเงินวันพฤ เลือกนัดนัดสัมภาษณ์ได้วันศุกร์  แต่เราเลือกวันพฤหัสหน้า ช่วงเช้าค่ะ
เอกสารที่เราเตรียมไปเยอะมากกกกกก ด้วยความที่เราไม่มีเอเจนซี่มาบอกว่าควรเตรียมไรไปบ้าง
เราเตรียมไปทุกอย่างเท่าที่เราจะนึกออก รวมๆเกือบ20 อย่าง แต่เอกสารที่สำคัญๆ ก็มี
- พาสปอตเล่มเก่า เล่มใหม่
-DS-160
-I-20
-ใบเสร็จ sevis fee
-ใบเสร็จ Visa fee
-ใบนัดสัมภาษณ์
-ทรานสคริป
-เอกสารรับรองการเงิน
-รูปถ่าย2*2"

   แต่เอกสารอื่นๆก็เช่น ใบเดินบัญชี สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน ใบจดทะเบียนบริษัท
ใบทะเบียนพาณิชย์ ใบเปลี่ยนชื่อ ใบรับรองพนักงาน ฯลฯ (ทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช่เลย)

7.วันสัมภาษณ์ เราสัมภาษณ์ 9.30 เราไปถึง 7 กว่า ไปหาข้าวกินแถวนั้นแปดกว่าๆมาเข้าแถว
พยายามเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปนะคะ วันนั้นเราถือแค่แฟ้มเอกสาร กับ มือถือ กระเป๋าตังค์ Powerbank,หูฟัง ห้ามนะคะ
  
- ตอนเข้าแถวก็ยื่นใบนัดสัมภาษณ์ในเค้าเช็คชื่อ พร้อมรับใบสีส้มๆ แล้วก็ไปฝากของมือถือ แลกกับบัตรประชาชน
  
- เช็คเอกสาร เดินผ่านจุดรับฝากของเดินตรงไปนิดนึงจะเห็นเคานเตอร์ตรวจเอกสาร
      ยื่นเอกสารสำคัญๆ เค้าจะจัดใส่แฟ้มแล้วห้ามเอาอะไรใส่เพิ่มไปในแฟ้มนั้น อย่าลืมจดเลยรหัสพัสดุ (เราลืม!)
  
- ยื่นเอกสารกับคนไทย ก็ยื่นแฟ้มใสๆที่เค้าจัดมาให้ แล้วก็ถามแค่ เคยไปเมกามาก่อนไหม  ครั้งนี้ขอวีซ่าอะไร
      แล้วก็ขอเอกสารรับรองทางการเงิน เสร้จแล้วก็ปริ้นลายนิ้วมือ บางคนบอกตรงนี้พี่เค้าดุ บอกเลยค่ะ ไม่จริง ออกจะน่ารัก พูดดีนะคะ

- เดินมายื่นเอกสารอีกจุดค่ะ ตามแนวแถวที่เค้ากั้นไว้ เค้าให้เอาแฟ้มแนบกับกระจก แล้วก็พิมพ์ลายนิ้วมือ
     (ตอนดินออกมา มีอวยพรว่า good luck)

- สัมภาษณ์ค่ะ ถามว่าตื่นเต้นไหม ตื่นเต้นมากค่ะ มือเย็นมาก แต่ก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องมั่นใจ
   เราสัมภาษณ์กับพี่ผู้หญิงผิวสีค่ะ สวัสดี กับเค้าก่อนเลย (บางคนบอกพูดสวัสดีก่อน แล้วเค้าจะสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย ไม่จริงเสมอไป)
   เราเจอ 2-3 คำถาม ไปทำอะไร- เรียนภาษา,ทำไมถึงต้องเรียนภาษา-ต้องการต่อโท ส่วนใหญ่เค้าดูใบทรานสคริปเราเป็นหลักเลยค่ะ
    ดูนานมากก ดูแล้วก็พิมพ์ต้อกแต้กๆ สักพักก็เงยหน้ามาบอกว่า your visa approved but..วีซ่านี้ทำงานไม่ได้นะ
    ถ้าทำงานแล้วจะถูกจับแล้วจะไม่ได้เข้าอเมริกาอีกเลย เข้าใจใช่ไหม  Yes,I understand เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
    เดินออกมารับของที่ฝากไว้ได้เลย เราเสร็จจากสถาทูตประมาณ9.45 ถือว่าสะดวก เร็วพอสมควรเลยค่ะ

8. รอรับเล่ม กรณีของเราลืมจดเลขไปรษณีย์ ทำไงได้ค่ะ รออย่างเดียวค่ะ
เราสัมภาษณ์วันพฤหัส เล่มมาส่ง วันอังคาร สรุปได้มา 5 ปีค่ะ

ระยะเวลาทั้งหมด
- คุยกับโรงเรียน+จ่ายเงิน 1 อาทิตย์ (เริ่ม 9 ก.ค.)
- กรอกDS-160 + รอI-20 1 อาทิตย์นิดๆ
- จ่ายsevis +นัดสัมภาษณ์ 1 อาทิตย์
- รอสัมภาษณ์+รอเล่ม 1 อาทิตย์ (ได้เล่ม 2 ส.ค.)
ระยะเวลารวมแล้วประมาณ 1 เดือน

ปล.เกี่ยวกับการกรอกเอกสารหรือติดปัญหาอะไรเกี่ยวกับการขอวีซ่า แนะนำให้โทรหาสถานทูตค่ะ
เราโทรไปประมาณ 3 ครั้ง อาจจะต่อสายยากนิดนึง เพราะระบบอัตโนมัติเค้าแบ่งเยอะมาก
แต่ถือว่าบริการประทับใจ ไม่มีดุหรืออารมณ์ร้อนใดๆ

หวังว่ามันจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆไม่มากก็น้อยนะคะ
ขอโทษล่วงหน้าสำหรับภาษาที่ใช้กับการแบ่งวรรคที่ห่วยแตก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่