วันนี้ดูละครแล้วประทับใจความรักชาติของพระอรรคและทหารมากๆในฉากที่อัคนีย้อนไปดูอดีต เรื่องพิษสวาทนี่เราคิดว่าละครรวมทั้งนิยาย ให้น้ำหนักและนำเสนอเรื่องความรักชาติพอๆกับเรื่องความรักความแค้นของพระเอกนางเอกเลยนะคะ ความรักชาตินั้นนำเสนอผ่านพระอรรคเป็นหลัก แต่ก็ยังได้นำเสนอผ่านตัวละครอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ดีและเลว ตัวแทนฝ่ายดีก็คือ คุณอัครา พระโหราจารย์ในชาติที่แล้ว ที่รักชาติไม่แพ้พระอรรค มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว จนมาถึงชาตินี้ จนสโรชินีพูดคำพูดที่หัวกระทู้ด้วย ตัวแทนฝ่ายเลวก็คือนักการเมืองขี้โกง อย่างท่านดนัย นอกจากนี้คนโดนอุบลจัดการทั้งหมดที่ขโมย ยักยอกทรัพย์แผ่นดิน หรือของหลวง ละครเล่าออกมาเป็นฉากๆ ทำให้เห็นจุดจบที่ล้วนไม่สวยงาม น่าสยดสยอง เพื่อให้ดูว่าทำแบบนี้ต้องเจอชะตากรรมแบบไหน ก็ล้วนเป็นไปเพื่อจุดประสงค์เดียวเลย คือ สร้างจิตสำนึกแห่งความรักชาติ และปรามให้คนไม่กล้าทรยศต่อชาติ
ทีนี้ทำไมคนเรา โดยเฉพาะคนสมัยก่อนอย่างพระอรรคถึงรักชาติมากกว่าตัวเอง มากกว่าคนรัก มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ถึงแม้คนปัจจุบันก็ยังสืบทอดความรู้สึกนี้ อะไรก็ตามที่เป็นการทำเพื่อชาติ การกระทำนั้นถูกยกย่องเสมอ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันราวกับมันเป็นความจริงหนึ่งเดียวในแบบ Absolute truth อย่างพวกเราคนดูละครเนี่ย พระอรรคฆ่าอุบลตาย แต่ทำไปเพราะความรักชาติ มันก็เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้มากที่สุดแล้ว เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผ่อนความผิดบาปที่ทำไว้กับอุบลได้ จะหาเหตุผลอื่นที่รับฟังได้เท่านี้คงไม่มีค่ะ ดังนั้นแล้วทำไมความรักชาติจึงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจมนุษย์ ในนิยายมีคำตอบค่ะ
“มนุษย์อาจรักคนรักไม่เท่าตัวเอง แต่นอกเหนือจากความรักตัวเอง เขาจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า คือความรักเผ่าพันธุ์ สงครามทุกครั้งเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่ามนุษย์จะยอมตายเพื่อคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเขา มนุษย์จะฆ่าได้อย่างไม่กลัวบาปผิด เพราะคิดว่าเขาทำเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า” ---ทิพอาภา
อ่านดูแล้วก็รู้สึกว่าจริงนะคะ คนเรารักชาติหวงแหนชาติก็เพราะต้องการดำรงค์เผ่าพันธุ์ตนเอง ซึ่งก็คือลูกหลานของเรา เราอาจจะรักคนรักของเรามาก และรักชีวิตตัวเองมาก แต่คงไม่เท่ารักลูก พ่อแม่ทุกคนยอมสละชีวิตเพื่อลูกได้ ก็เพราะเหตุนี้คือ ลูกหลานต้องรอด มีชีวิตยืนยาวต่อไปเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ ความรักแบบนี้เมื่อขยายขอบเขตออกมา ก็กลายเป็นความรักชาติ เพื่อที่จะรักษาตัวตนและความมีอยู่ของเรา เราจึงต้องปกป้องชาติ เสียสละเพื่อชาติ สลัดความเห็นแก่ตัวทิ้งไปเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง
ละครเรื่องนี้ให้อะไรเยอะมากๆเลยค่ะ อย่างแรกก็คือ อิ่มเอมไปกับความรักระหว่างชายหญิง ลุ้นและรู้สึกร่วมไปตามเรื่องราวของความไม่สมรัก การทรยศหักหลัง ความอาฆาตพยาบาท การแก้แค้น การชดใช้ แต่สิ่งที่ให้มากกว่านั้นก็คือการปลูกฝังเรื่องความรักชาติ แล้วสุดท้ายก็ได้ให้สัจจะธรรมแห่งชีวิตอันเป็นที่สุดว่า ไม่ว่าความรักความแค้นใดๆ ต่อใครหรือต่อสิ่งใดก็ตาม เราก็ยึดถือเอาไว้ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลาหนึ่งมันก็หลุดลอยไปไม่ว่าเราจะเต็มใจปล่อยหรือไม่ก็ตาม และในช่วงเวลาที่ยังยึดติดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ที่อยากให้อยู่กับเราตลอดไป หรือความทุกข์ที่อยากผลักไสออกจากตัว ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เหมือนที่พระท่านว่า ความทุกข์คนเราก็มีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือ พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ต้องพบเจอกับสิ่งที่เกลียดก็เป็นทุกข์ แล้วทั้งสองข้อนี้เราก็กำหนดให้เป็นดั่งใจไม่ได้ สุดท้ายเมื่อปล่อยวาง ไม่ยึดถืออะไรเลย เมื่อนั้นจึงจะพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง
#มีความคิดเยอะมากไป มีความติดละครเกินเหตุ มีความคิดจะไปบวช 555
"ความรักในแผ่นดินอาจเป็นความรักชนิดเดียว ที่ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็ไม่มีอะไรแปรเปลี่ยนได้" สโรชินี จากพิษสวาท
ทีนี้ทำไมคนเรา โดยเฉพาะคนสมัยก่อนอย่างพระอรรคถึงรักชาติมากกว่าตัวเอง มากกว่าคนรัก มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ถึงแม้คนปัจจุบันก็ยังสืบทอดความรู้สึกนี้ อะไรก็ตามที่เป็นการทำเพื่อชาติ การกระทำนั้นถูกยกย่องเสมอ ทุกคนเห็นพ้องต้องกันราวกับมันเป็นความจริงหนึ่งเดียวในแบบ Absolute truth อย่างพวกเราคนดูละครเนี่ย พระอรรคฆ่าอุบลตาย แต่ทำไปเพราะความรักชาติ มันก็เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้มากที่สุดแล้ว เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผ่อนความผิดบาปที่ทำไว้กับอุบลได้ จะหาเหตุผลอื่นที่รับฟังได้เท่านี้คงไม่มีค่ะ ดังนั้นแล้วทำไมความรักชาติจึงเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจมนุษย์ ในนิยายมีคำตอบค่ะ
“มนุษย์อาจรักคนรักไม่เท่าตัวเอง แต่นอกเหนือจากความรักตัวเอง เขาจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่า คือความรักเผ่าพันธุ์ สงครามทุกครั้งเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่ามนุษย์จะยอมตายเพื่อคงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเขา มนุษย์จะฆ่าได้อย่างไม่กลัวบาปผิด เพราะคิดว่าเขาทำเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่า” ---ทิพอาภา
อ่านดูแล้วก็รู้สึกว่าจริงนะคะ คนเรารักชาติหวงแหนชาติก็เพราะต้องการดำรงค์เผ่าพันธุ์ตนเอง ซึ่งก็คือลูกหลานของเรา เราอาจจะรักคนรักของเรามาก และรักชีวิตตัวเองมาก แต่คงไม่เท่ารักลูก พ่อแม่ทุกคนยอมสละชีวิตเพื่อลูกได้ ก็เพราะเหตุนี้คือ ลูกหลานต้องรอด มีชีวิตยืนยาวต่อไปเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ ความรักแบบนี้เมื่อขยายขอบเขตออกมา ก็กลายเป็นความรักชาติ เพื่อที่จะรักษาตัวตนและความมีอยู่ของเรา เราจึงต้องปกป้องชาติ เสียสละเพื่อชาติ สลัดความเห็นแก่ตัวทิ้งไปเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง
ละครเรื่องนี้ให้อะไรเยอะมากๆเลยค่ะ อย่างแรกก็คือ อิ่มเอมไปกับความรักระหว่างชายหญิง ลุ้นและรู้สึกร่วมไปตามเรื่องราวของความไม่สมรัก การทรยศหักหลัง ความอาฆาตพยาบาท การแก้แค้น การชดใช้ แต่สิ่งที่ให้มากกว่านั้นก็คือการปลูกฝังเรื่องความรักชาติ แล้วสุดท้ายก็ได้ให้สัจจะธรรมแห่งชีวิตอันเป็นที่สุดว่า ไม่ว่าความรักความแค้นใดๆ ต่อใครหรือต่อสิ่งใดก็ตาม เราก็ยึดถือเอาไว้ได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ถึงเวลาหนึ่งมันก็หลุดลอยไปไม่ว่าเราจะเต็มใจปล่อยหรือไม่ก็ตาม และในช่วงเวลาที่ยังยึดติดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ที่อยากให้อยู่กับเราตลอดไป หรือความทุกข์ที่อยากผลักไสออกจากตัว ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น เหมือนที่พระท่านว่า ความทุกข์คนเราก็มีแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ คือ พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ต้องพบเจอกับสิ่งที่เกลียดก็เป็นทุกข์ แล้วทั้งสองข้อนี้เราก็กำหนดให้เป็นดั่งใจไม่ได้ สุดท้ายเมื่อปล่อยวาง ไม่ยึดถืออะไรเลย เมื่อนั้นจึงจะพ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง
#มีความคิดเยอะมากไป มีความติดละครเกินเหตุ มีความคิดจะไปบวช 555