แต่งงานแล้ว แค่ความรักมันไม่พอ

ผมเป็นคนนึงที่คิดว่าความรักจะทำให้คน 2 คนสามารถฝ่าวิกฤตต่างๆไปได้ แต่จริงๆแล้วมันยังไม่พอ
ซึ่งกระทู้นี้ผมก็อยากจะขอความเห็นจากชาว pantip ด้วยและอยากแชร์ประสบการณ์ของผมด้วย

เรื่องของผมคือ ผมกับภรรยานั้นอยู่ด้วยกันมา 4 ปีและแต่งงานกันได้ 1 ปี ภรรยาของผมเป็นคนที่อายุมากกว่าผม 2 ปี ซึ่งทำให้ตัวเค้าจะคิดว่าความมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าผม และตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาผมและภรรยาก็มีความรักนี่แหละที่หล่อหลอมเราไว้ด้วยกัน การเจอกันครั้งแรกและการจีบกันนั้น ภรรยาของผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ซึ่งก่อนจะมาเจอกันนั้นตัวผมเป็นผู้ชายที่ลั้นลามาก มันมีปาร์ตี้กับเพื่อนบ่อย ผมมีผู้หญิงเข้ามาในชีวิตเยอะซึ่งนั้นทำให้ผมนั้นเป็นหนี้จากความสนุกของวัยรุ่น ใช้เงินโดยไม่คิดและเป็นเงินก้อนใหญ่เหมือนกัน เมื่อผมได้เจอภรรยาของผมครั้งแรกนั้น ผมเองก็มีผู้หญิงเป็นตัวเลือกอยู่อีก 2-3 คน ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้ต้องการจะเลือกคนนี้มาเป็นแฟน แต่เพราะความรัก ความเอาใจใส่ของภรรยาผมทำให้ผมเข้าใจคุณค่าของความรักที่แท้จริง ผมตัดเรื่องที่แย่ๆทุกอย่างลงเมื่อตัดสินใจเริ่มคบกับภรรยา เราคบกันได้ 4 เดือน ภรรยาขอให้ผมมาอยู่ด้วยกัน (ภรรยาผมเช่าห้องอยู่ใน กทม) ผมก็ยอมไปอยู่กินด้วยกัน ณ เวลานั้นผมได้บอกกับภรรยาว่า "ผมไปอยู่ด้วยคงไม่สามารถช่วยจ่ายค่าห้องให้ทุกเดือนนะ" ซึ่งภรรยาผมก็เข้าใจและไม่เคยเอ่ยปากขอเรื่องเงินกับผมเลย ภรรยานั้นมีรายได้มากกว่าผมถึง 3 เท่า แต่เป็นงานแบบ Freelance ซึ่งรายได้ไม่แน่นอน ส่วนผมทำงานประจำเป็นวิศวกรที่ บ. แห่งหนึ่ง

2 ปีแรกนั้นเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทะเลาะกันบ้างตามภาษาของคนอยู่ด้วยกัน เราคบกันได้ปีกว่าๆ ภรรยาก็พาผมไปพบครอบครัวของเค้า ผมเริ่มรู้จักญาติพี่น้องทางภรรยา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเป็นหลานๆ ผมเป็นคนชอบเด็กซึ่งทำให้ผมเข้ากับที่บ้านเค้าได้ง่าย ผมเล่นกับหลานๆ ซึ่งทางบ้านก็ชอบผมเหมือนกัน และภรรยาผมได้มีสุนัขอยู่ตัวนึงซึ่งเค้ารักเหมือนลูกมากๆ เค้าอยากให้ผมรักสุนัขตัวนี้เหมือนที่เค้ารักซึ่งผมก็ทำในสิ่งที่เค้าต้องการ เมื่อเราคบกันได้ 2 ปีผมได้บอกภรรยาว่าให้ไปอยู่บ้านอาที่ผมนั้นดูแลอยู่ เนื่องจากอาให้ผมเฝ้าบ้านหลังนี้คนเดียวมา 2 ปีแล้ว และเราก็ปิดห้องเช่าและขนของมาอยู่บ้านอากัน พอเราย้ายมาก็ได้พาสุนัขมาอยู่ด้วย ซึ่งมันมีความสุขมากที่ได้อยู่พร้อมหน้ากัน และภรรยาของผมก็มีความสุขที่ได้อยู่กับสุนัขที่เค้ารักผมก็เช่นกัน แต่การตัดสินใจของผมนั้นผิดพลาดที่ได้พาภรรยามาอยู่ที่บ้านอา เราอยู่ได้ 4 เดือนเท่านั้น แล้วลุงกับอาก็อยากให้เราออกจากบ้านเนื่องจากจะเปิดออฟฟิศที่บ้านหลังนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ภรรยาและผมรู้สึกเสียใจมากๆเพราะเราต้องเอาสุนัขกลับไปอยู่ที่บ้านภรรยาอีกครั้ง และเราต้องหาที่อยู่ใหม่ แต่ก็เพราะความรักอีกครั้งที่ทำให้เราเริ่มกันใหม่ แม่ของผมบอกให้พาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้านไม่ต้องไปหาเช่าที่อื่นอยู่ เก็บเงินเก็บทองกันไว้เพื่อสร้างอนาคตกันดีกว่า และผมกับภรรยาจึงต้องย้ายกันอีกครั้ง เมื่อย้ายเข้ามาในบ้านของผม (บ้านนี้ผมซื้อไว้เองแต่ยังผ่อนอยู่เพราะครอบครัวผมอยู่บ้านหลังนี้) แม่ก็ลงทุนปรับปรุงบ้านใหม่เพื่อให้อยู่สะดวกสบายขึ้น แต่ผมก็รู้ว่าภรรยาผมนั้นก็มีอึดอัดใจบ้างที่ต้องเข้ามาอยู่ในบ้าน กลัวปัญหาทั่วไปที่คนเป็นกัน

ปีที่ 3 ผมเริ่มมีปัญหาหนี้สินเดิมตามมา และผมไม่ได้เล่าให้ภรรยาฟังทั้งหมดแต่เล่าให้แม่ฟัง เนื่องจากที่ผมไม่อยากเล่าให้ฟังทั้งหมดนั้นเพราะหนี้สินพวกนี้เป็นความผิดของผมเอง อยากรับผิดชอบเองไม่ต้องการให้ภรรยามาคิดมากและมาช่วยใช้หนี้ ช่วงปีที่ 3-4 ผมเงินขาดมือบ่อยมาก และก็เป็นภรรยาที่คอยช่วยเหลือตลอด แม้กระทั่งของใช้ในบ้านภรรยาผมก็จัดแจงให้เกือบทุกครั้งและภรรยาผมก็ยังต้องดูแลครอบครัวตัวเองอีก และภรรยาผมยังต้องทำงานอย่างหนักต่อเนื่อง แต่ผมกลับรู้สึกว่าถ้าไม่มียังมีภรรยาคอยช่วยเหลือซึ่งตอนนี้ผมเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก เพราะหนี้ที่ผมสร้างคิดก็เริ่มเข้ามามีปัญหาในชีวิตคู่ ปีนี้เราอยู่กันแบบต่างคนต่างทำงานมาก แต่ก็ยังเจอกันทุกวัน และในปีนี้เราก็ตัดสินใจที่จะซื้อรถ ซึ่งผมบอกภรรยาว่าผมไม่มีเงินพอที่จะผ่อน แต่ผมมีเงินดาวน์ ภรรยาผมก็เป็นคนรับผิดชอบค่าผ่อนรถไป ซึ่งผมรู้สึกละอายมากจริงเพราะภรรยาผมให้เอารถไปใช้ทำงาน  ในช่วงปลายปีนั้นผมได้ฝากหลานของภรรยาผมให้เข้าไปทำงานใน บ.ที่ผมอยู่ และเอาหลานและสุนัขกลับมาอยู่ที่บ้าน ทุกวันก็จะไป-กลับด้วยกัน ซึ่งนี่ก็เป็นอีกส่วนที่ภรรยาอยากให้ผมเอารถไปใช้ (ภรรยาผมขับรถไม่เป็น) และดึกๆผมก็จะขับรถไปรับภรรยา และภรรยาก็ชวนผมไปจดทะเบียนสมรสกัน ผมก็ยินดีแต่ในใจไม่อยากจดเพราะรู้ว่าหนี้สินที่ยังใช้ไม่หมดมันจะตกไปถึงเค้าด้วยถ้าผมเกิดเป็นอะไรไปขึ้นมา แต่ผมก็ไม่กล้าบอกภรรยาไป  เราจึงได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน

ปีที่ 4 ตอนต้นปีเราไปหาหมอดูกันซึ่งก็โดนทักมาว่าควรแต่งงานก่อนภรรยาผมจะอายุ 32 เราจึงไปดูฤกษ์แต่งงานกันซึ่งก็ได้คือเดือนมิถุนายน ตอนนั้นผมก็ยังไม่มีเงินที่จะแต่งงาน แต่ผมก็พยายามหาเงินมาให้ทันงานแต่ง ผมก็ไปคุยกับแม่ของภรรยาเรื่องสินสอด และให้พ่อแม่ไปขอซึ่งตกลงกันที่ เงินสด 2 แสน และทอง 4 บาท ถือว่าไม่เยอะสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับผมตอนนั้นมันเยอะมากจริงๆ เพราะผมไม่มีอะไรเลย มุ่งแต่จะใช้หนี้ เงินสักบาทก็ไม่เคยให้ภรรยา แต่ก็มีซื้อของให้บ้างในสิ่งที่ภรรยาอยากได้ พอใกล้ถึงวันแต่งงานจริงๆผมไม่มีสินสอดเลยมีแต่เงินที่คิดว่าจะพอจัดงานได้ ผมจึงคุยกับแม่ภรรยาว่าเงินสดผมขอคืนได้ไหม ส่วนทองให้เอาไป ผมหาไม่ทันจริงๆ แม่เค้าก็ไม่ค่อนพอใจแต่ก็ต้องยอมเพราะต้องการให้มีงานแต่งขึ้น ผมก็ไปขอยืมทองที่แม่ของผมเก็บไว้ไปเป็นสินสอด ก้โดนแม่ว่ามาอีกว่าทำไมไม่รีบบอกให้เร็วมาบอกตอนใกล้จะแต่ง (1 อาทิตย์ก่อนแต่ง)  แม่ผมก็ให้ยืมมา ในที่สุดงานแต่งก็เกิด ผมคิดว่าเพราะความรักของเรา2คนจึงทำให้มีงานแต่งขึ้น ผมดีใจมาก เหมือทุกอย่างจะพร้อมได้แต่งงาน ทะเบียนสมรสก็มีแล้ว ผมมั่นใจว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ดูแลกันไปตลอดชีวิต หลังจากแต่งงานผมก็โดนให้ทำงานที่ ตจว อยู่ 7 เดือนซึ่งกลับบ้านอาทิตย์ละครั้งทำให้เราต้องห่างกันทั้งที่เพิ่งแต่งงาน ภรรยาผมก็ยอมรับได้และเข้าใจว่าเป็นงาน ผมคิดถึงภรรยามากเวลาอยู่ ตจว โทรคุยกัน Line call กันทุกวัน ผมดีใจที่ได้กลับบ้าน ได้กอดภรรยา

ปีที่ 5 ผมจบงาน ตจว ประมาณ ก.พ. ซึ่งกลับเป็นภรรยาผมเริ่มทำงานหนักขึ้น และเราเจอกันน้อยลงผมกลับเป็นคนที่ไม่เข้าใจภรรยาเลย แอบน้อยใจที่อยู่ด้วยกันน้อยทั้งๆที่ผมได้กลับมาอยู่ กทม แล้ว ภรรยาผมทำงานหนักเพื่อปั๊มเงินเพื่อจะไปผ่าตาให้แม่ และภรรยาผมก็เครียด เหนื่อย เพื่อจะรีบรักษาแม่จึงทำตัวเหมือนเหินห่างจากผม และความเห็นแก่ตัวของผมก็ทำให้เราทะเลาะกัน ทำให้ผมไม่พอใจภรรยา ถ้าเป็นสามีที่ดีควรให้กำลังใจภรรยาแต่ผมเหล่าเลย และตัวผมเองไม่ได้ช่วยภรรยาเก็บเงินสักนิด เราทะเลาะกันครั้งนึงภรรยาได้บอกผมว่า "อยู่มา 4 ปีแล้ว แต่งงานมา 1 ปีแล้ว ชีวิตเราดีขึ้นไหม ทำไมเค้ายังต้องทำงานหนักไม่มีเวลาได้อยู่กับแม่เค้าเลย" ผมรู้สึกแย่และโกรธภรรยาที่พูดแบบนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริงผมไม่เคยคิดวางแผนครอบครัวเลย มัวแต่คิดแต่จะใช้หนี้ และในที่สุดภรรยาผมก็รู้ว่าผมเป็นหนี้อะไรบ้างจากแม่ของผม ทำให้ภรรยาโกรธผมเหมือนกันที่ผมไม่เคยบอก ทำให้เค้าคิดว่าผมเป็นคนขี้โกหก เป็นสามี-ภรรยากันแต่ไม่คุยกัน ไม่ทำความเข้าใจกัน ทำให้ภรรยาผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก พอถึงช่วงที่แม่ของภรรยาต้องไปผ่าตา ซึ่งภรรยาผมก็ไปนอนเฝ้าที่ รพ. แต่ผมกลับมาทำงานที่ กทม และไปรับแม่และภรรยาวันที่ออกจาก รพ. หลังจากวันนั้นภรรยาผมเริ่มคิดได้ว่าแม่เค้าแก่มากแล้ว เค้าอยากกลับไปดูแลแม่ ความรู้สึกของผมช่วงนี้รู้สึกแย่กับภรรยามากเพราะทำตัวห่างเหินไม่ใส่ใจผมเหมือนแต่ก่อน วันนึงภรรยาผมก็โทรบอกผมว่าขนเสื้อผ้าเค้ากลับไปบ้านให้ด้วย ถ้าเค้ากลับมาจาก ตจว ต่อไปนี้จะไปอยู่กับแม่ ถ้าผมคิดถึงอยากเจอก็ให้ไปบ้านเค้า อยากเล่นกับหลานก็ไป ผมรู้สึแย่และทะเลาะกันว่าทำไมต้องย้ายของกลับเลย แล้วผมล่ะ ไม่สนผมแล้วหรือไง เราทะเลาะกันอีก ภรรยาผมจึงพูดขึ้นมาว่า "ถ้าไม่ได้แต่งงานกันก่อน ตอนปลายปีแฟนเก่าเค้ากับมาจากเกาหลีเราคงได้เลิกกัน" ซึ่งนั้นทำให้ผมโกรธมากและผมก็ขาดสติ เก็บข้าวของกลับไปคืนนั้นพร้อมกับคืนรถ หลังจากนั้น 2 วันภรรยาผมก็ขอเลิกกับผม ซึ่งผมก็พยายามง้อแต่ก็ไม่เป็นผล ภรรยาผมโกรธผมมากถึงแม้ผมจะไปอ้อนวอนนั่งคุกเข่ากอดขาภรรยาต่อหน้าหลานๆที่ยืนหัวเราะ ภรรยาก็ไม่ยกโทษให้ผม ซึ่งผมก็ขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง 1 ปี เพื่อจะให้เค้าเห็นว่าผมจะดูแลเค้าได้แน่ๆ เค้าจะไม่ต้องทำงานเหนื่อยขนาดนี้และมีเวลาดูแลแม่มากขึ้น แต่แยกกันอยู่กันก็ได้ ซึ่งภรรยาผมก็ยอมให้โอกาสแบบไม่เต็มใจ และไม่เชื่อใจผมอีกแล้วว่าทำจะทำได้ หลังจากนั้น 3 อาทิตย์ภรรยาก็ขอให้ผมไปหย่า แต่ผมก็ปฏิเสธไป ทำให้เราทะเลาะกันหนักอีกและภรรยายื่นคำขาดว่า "ถ้าจบดีๆไม่ได้ชาตินี้อย่าเจอกันอีกเลย"  และตอนนี้ก็ได้ block ช่องทางการติดต่อจากผมทั้งหมด

ผมสรุปปัญหานี้ได้ 4 ข้อ
1. ผมไม่คุยกับภรรยาตรงๆ สามี-ภรรยาควรเปิดใจกัน
2. ผมไม่เข้าใจภรรยาเลย และเห็นแก่ตัวมากๆ
3. ผมไม่เคยวางแผนครอบครัวเลย ทำให้ไม่เห็นอนาคตที่ดีของครอบครัว
4. ผมไม่เคยที่จะช่วยเหลือทางการเงินของภรรยาและครอบครัวของภรรยาเลย ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องแย่มากๆ

เนื่องจากตอนนี้ผมได้เปลี่ยนงานใหม่ เพื่ออัพตัวเองขึ้น เริ่มวางแผนอนาคตไว้ให้ดีและตั้งเป้าหมาย ผมพยายามที่จะทำตัวเองให้มีทุกอย่างภายใน 1 ปีนี้
แต่เนื่องจากภรรยาของผมใจแข็งมากๆ ผมก็มีวิธีเดียวคือต้องทำให้เห็นจริงๆ
อยากจะง้อให้ภรรยาใจอ่อนมันจะพอมีทางอีกหรือไม่ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่