ขอสารภาพว่า...เหตุจูงใจที่อยากจะเขียนเรื่องนี้ ก็เนื่องมาจากการที่สมาชิกในห้องราชฯ บางท่านได้นำเอาความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของสมาชิกบางท่านมาเหน็บแนม ล้อเลียน ไม่รู้จักหยุดรู้จักหย่อน อย่างเรื่อง most smart หรือ show up/off โดยเฉพาะเรื่องmost smart นี่ ส่วนตัวผมเห็นว่านำมาเล่นกันจนเลยเถิดล้ำเส้นมากไปหน่อย เปล่าหรอกนะ... ผมไม่ได้ตั้งกระทู้นี้เพื่อต่อว่าใคร รบกวนอ่านกันให้จบนะครับ จะได้เห็นคุณเห็นโทษของการล้อเลียนคนไทยด้วยกันเองในเรื่องภาษาต่างด้าวโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคนที่น่าจะโดนหัวเราะและเหน็บแนมที่สุดในเรื่องภาษาอังกฤษควรจะเป็นผมมากกว่าคนอื่น ผมคลุกคลีอยู่กับภาษาอังกฤษมามากกว่าครึ่งชีวิตผม ครอบครัวที่บ้านก็พูดภาษาอังกฤษทุกคน งานที่ทำก็ใช้ภาษาอังกฤษ คือในชีวิตของผมๆ ใช้ภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทยและอีสาน แต่ผมยังใช้ผิดทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งด้วย
ผมเป็นเด็กจากภาคอีสาน ในวัยก่อนที่จะเข้าเรียนชั้นประถมนั้น ผมมีเคยความหนักใจเป็นอย่างมากที่จะต้องพูดภาษา “ไทยกลาง”ในโรงเรียนและชั้นเรียน ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว...เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันก็หนักใจเหมือนกัน บางคนเป็นเอามากถึงขนาดไม่ยอมไปโรงเรียนเลย ส่วนใครที่เกิดมาพร้อมกับลิ้นภาษาไทยกลางที่ถือว่าเป็น “ภาษาราชการ” อาจจะไม่รู้ซึ้งถึงความหนักใจตรงนี้.... แค่หนักใจเรื่องที่จะต้องพูดภาษาไทยกลางก็พอแรงอยู่แล้ว ยังต้องมารู้สึกเจ็บปวดกับเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ และคุณครูในเวลาที่เราพูดและใช้ภาษาไทยกลางไม่ถูกด้วย
....นี่คือนิสัยของคนไทยอย่างหนึ่ง คือเห็นคนอื่นการพูดภาษา(ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเขา)เป็นเรื่องตลก ขบขัน และนำมาล้อเลียน ตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจน ก็อย่างพวกนักแสดงตลกขาประจำอย่างคุณ จาตุรงค์ ม๊กจ๊กที่ชอบล้อเลียนคนกะเหรี่ยงพูดภาษาไทยไม่ชัด หรือคู่หูลูลู่/ลาล่า ที่ชอบเลียนเสียงคนพม่าพูดภาษาไทยไม่ชัด เวลาพวกเขาแสดงบทนี้ทีไร...คนไทยพากันฮากระจาย!! ถ้าจะให้ผมตำหนิกันแบบแรงๆ ก็คงต้องพูดว่าตลกพวกนี้เรียกเสียงฮาและหากินบนความเจ็บปวดของคนอื่น โดยไม่นึกถึงหัวอกเขาแม้สักน้อย
ภาษาอังกฤษก็ไม่มีเว้น.....เรื่องนี้ก็คงต้องขอยกเอาตัวเองเป็นตัวอย่างอีก ด้วยความที่ผมสนใจภาษาอังกฤษเป็นการส่วนตัว แต่ด้วยความยากจนผมไม่มีปัญญาจะไปนั่งเรียนในห้องเหมือนคนอื่นได้แต่อาศัยบวชเรียนในวัดท่องหนังสือบนพื้นศาลาเอา ส่วนภาษาอังกฤษผมได้แต่อาศัยการตระเวณไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขอคุยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แม้วันนั้นทั้งวันจะได้พูดแค่ประโยคสองประโยค Where do you come from? What is your name? แค่นี้ ...ก็ชื่นใจแล้ว หรือบางวันผมต้องตีรถจากกรุงเทพฯ ไปนครปฐมห่อข้าวจากก้นบาตรพระสำหรับมื้อเที่ยง ไปนั่งจมที่องค์พระเจดีย์เพื่อดักคุยกับฝรั่งตลอดวันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักประโยคก็มี โดนฝรั่งปฏิเสธแบบไม่เข้าใจเราก็มี หรือโดนระแวงว่าจะไปหลอกลวงเขาก็มี.....ซึ่งเรื่องอย่างนี้ก็เป็นที่พอที่จะเข้าใจได้ ถ้าผมเป็นฝรั่ง...จู่ๆ มีคนแปลกหน้ามาขอคุยด้วยนี่ เป็นผมๆ ก็จะระแวงไว้ก่อน อยากจะบอกว่า...ปฏิกิริยาเช่นนี้ของฝรั่งไม่เท่าไหร่ แต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือคนไทยครับ คนไทยที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือประจำอยู่นั่นแหละ...เวลาเห็นผมฝึกพูดภาษาอังกฤษผิด ๆ ถูกๆ ทั้งสำเนียง ทั้งการวางรูปประโยค ทั้งไวยากรณ์ ตามประสาคนที่ไม่ได้เรียนในห้องเรียน เขาหัวเราะเยาะก็มี ซุบซิบนินทาประเภทว่า “พูดไม่ถูกก็อยากพูด” ก็มี
หลายสิบปีมาแล้ว...สมัยที่ถนนข้าวสารยังมีเกสต์เฮ้าอยู่สี่ห้าหลัง ผมเป็นเด็กวัดอยู่ละแวกนั้น ตกเย็นมาผมจะเตร่ไปถนนข้าวสารทุกวัน ร้านอาหารต่างๆ จะตั้งโต๊ะอาหารเลยออกมานอกริมฟุตบาท ผมก็จะตระเวณไปขอนั่งฝึกภาษาคุยกับฝรั่งตามโต๊ะนู้นโต๊ะนี้ (เหมือนขอทานที่เดินเที่ยวขอเงินไปตามโต๊ะนู้นโต๊ะนี้ยังไงยังงั้น) โดนปฏิเสธก็มี ได้รับไมตรีตอบรับก็มี แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ได้ไม่นานเพราะมักจะโดนเจ้าของร้านตะเพิดไล่ ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนลูกค้าเขา เจ้าของร้านบางคนหรือพนักงานเสริฟก็ด่าตะเพิดไล่หลังเป็นของแถม พุ่งตรงเสียดแทงความรู้สึกเล่นๆ ทำนองว่า “พูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ อย่างนี้คงต้องอีกหลายปีถึงจะเก่ง”....ก็เห็นจะจริง ป่านนี้ผมก็ยังพูดผิดๆ ถูกๆ อยู่
ผมมองอย่างนี้นะครับ....ความยากของภาษาอังกฤษก็คือตัวภาษาอังกฤษอย่างที่รู้กันนั่นแหละครับ แค่ลำพังการต่อสู้กับความยากตรงนี้ก็หนักโขเอาการอยู่แล้ว อย่าให้ต้องมาต่อสู้กับเสียงหัวเราะ เยาะเย้ย หรือล้อเลียนกับสิ่งที่พลาดพลั้งกันเลย แตะกันเบาๆ สะกิดกันนิดๆ เสร็จแล้ว...ก็ให้แล้วต่อกันไป อย่าถึงต้องกับลากยาวยกอ้างเอามา เยาะเย้ย เหน็บแนม ถากถางกันทุกกระทู้ทุกคอมเม้นท์เหมือนจะไม่รู้จบรู้สิ้นเลย สักวันหนึ่งเรื่องเดียวกันมันอาจจะสะท้อนกลับ(backfire) เข้าตัวเองบ้าง และเมื่อถึงวันนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้....
ถ้าเราเปลี่ยนเสียงหัวเราะเยาะ หรือล้อเลียนมาเป็นคำยกย่อง ชมเชย และส่งเสริมในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษ(แม้จะผิดๆ ถูกๆ)ในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ผมเชื่อว่าการเรียนภาษาอังกฤษจะสนุกขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เยอะ และอาจจะไม่เป็น “ยาขม” สำหรับอนุชนรุ่นหลังอีกต่อไป
เกือบสิบปีมาแล้ว ผมเคยเขียนเส้นทางการเรียนภาษาอังกฤษของผมให้น้องนักศึกษาปริญญาเอกคนหนึ่งที่เคยท้อแท้ ถ้ามีเวลาก็ลองไปอ่านดูนะครับ เผื่อจะมีกำลังใจ หรือฉุกคิดได้ว่า คนเรานั้นบางทีกว่าจะ "ถูก" ได้กับเขาสักครั้งหนึ่ง คนๆ นั้นต้องผ่านการ "ผิด" มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเรามามัวแต่เพ่งหรือยกเอาความเฉพาะ "ผิด" มาล้อเลียนเพียงเพื่อความสะใจ คนที่น่าสงสารอาจจะเป็นเราเองก็ได้
http://topicstock.ppantip.com/klaibann/topicstock/H2780896/H2780896.html
...จาก Most smart, Show off, Show up สู่การพัฒนาการเรียนรู้ด้านภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ของคนไทย...
ผมเป็นเด็กจากภาคอีสาน ในวัยก่อนที่จะเข้าเรียนชั้นประถมนั้น ผมมีเคยความหนักใจเป็นอย่างมากที่จะต้องพูดภาษา “ไทยกลาง”ในโรงเรียนและชั้นเรียน ไม่ใช่เฉพาะผมคนเดียว...เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันก็หนักใจเหมือนกัน บางคนเป็นเอามากถึงขนาดไม่ยอมไปโรงเรียนเลย ส่วนใครที่เกิดมาพร้อมกับลิ้นภาษาไทยกลางที่ถือว่าเป็น “ภาษาราชการ” อาจจะไม่รู้ซึ้งถึงความหนักใจตรงนี้.... แค่หนักใจเรื่องที่จะต้องพูดภาษาไทยกลางก็พอแรงอยู่แล้ว ยังต้องมารู้สึกเจ็บปวดกับเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อนๆ และคุณครูในเวลาที่เราพูดและใช้ภาษาไทยกลางไม่ถูกด้วย ....นี่คือนิสัยของคนไทยอย่างหนึ่ง คือเห็นคนอื่นการพูดภาษา(ที่ไม่ใช่ภาษาแม่ของเขา)เป็นเรื่องตลก ขบขัน และนำมาล้อเลียน ตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจน ก็อย่างพวกนักแสดงตลกขาประจำอย่างคุณ จาตุรงค์ ม๊กจ๊กที่ชอบล้อเลียนคนกะเหรี่ยงพูดภาษาไทยไม่ชัด หรือคู่หูลูลู่/ลาล่า ที่ชอบเลียนเสียงคนพม่าพูดภาษาไทยไม่ชัด เวลาพวกเขาแสดงบทนี้ทีไร...คนไทยพากันฮากระจาย!! ถ้าจะให้ผมตำหนิกันแบบแรงๆ ก็คงต้องพูดว่าตลกพวกนี้เรียกเสียงฮาและหากินบนความเจ็บปวดของคนอื่น โดยไม่นึกถึงหัวอกเขาแม้สักน้อย
ภาษาอังกฤษก็ไม่มีเว้น.....เรื่องนี้ก็คงต้องขอยกเอาตัวเองเป็นตัวอย่างอีก ด้วยความที่ผมสนใจภาษาอังกฤษเป็นการส่วนตัว แต่ด้วยความยากจนผมไม่มีปัญญาจะไปนั่งเรียนในห้องเหมือนคนอื่นได้แต่อาศัยบวชเรียนในวัดท่องหนังสือบนพื้นศาลาเอา ส่วนภาษาอังกฤษผมได้แต่อาศัยการตระเวณไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ขอคุยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แม้วันนั้นทั้งวันจะได้พูดแค่ประโยคสองประโยค Where do you come from? What is your name? แค่นี้ ...ก็ชื่นใจแล้ว หรือบางวันผมต้องตีรถจากกรุงเทพฯ ไปนครปฐมห่อข้าวจากก้นบาตรพระสำหรับมื้อเที่ยง ไปนั่งจมที่องค์พระเจดีย์เพื่อดักคุยกับฝรั่งตลอดวันโดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักประโยคก็มี โดนฝรั่งปฏิเสธแบบไม่เข้าใจเราก็มี หรือโดนระแวงว่าจะไปหลอกลวงเขาก็มี.....ซึ่งเรื่องอย่างนี้ก็เป็นที่พอที่จะเข้าใจได้ ถ้าผมเป็นฝรั่ง...จู่ๆ มีคนแปลกหน้ามาขอคุยด้วยนี่ เป็นผมๆ ก็จะระแวงไว้ก่อน อยากจะบอกว่า...ปฏิกิริยาเช่นนี้ของฝรั่งไม่เท่าไหร่ แต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือคนไทยครับ คนไทยที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือประจำอยู่นั่นแหละ...เวลาเห็นผมฝึกพูดภาษาอังกฤษผิด ๆ ถูกๆ ทั้งสำเนียง ทั้งการวางรูปประโยค ทั้งไวยากรณ์ ตามประสาคนที่ไม่ได้เรียนในห้องเรียน เขาหัวเราะเยาะก็มี ซุบซิบนินทาประเภทว่า “พูดไม่ถูกก็อยากพูด” ก็มี
หลายสิบปีมาแล้ว...สมัยที่ถนนข้าวสารยังมีเกสต์เฮ้าอยู่สี่ห้าหลัง ผมเป็นเด็กวัดอยู่ละแวกนั้น ตกเย็นมาผมจะเตร่ไปถนนข้าวสารทุกวัน ร้านอาหารต่างๆ จะตั้งโต๊ะอาหารเลยออกมานอกริมฟุตบาท ผมก็จะตระเวณไปขอนั่งฝึกภาษาคุยกับฝรั่งตามโต๊ะนู้นโต๊ะนี้ (เหมือนขอทานที่เดินเที่ยวขอเงินไปตามโต๊ะนู้นโต๊ะนี้ยังไงยังงั้น) โดนปฏิเสธก็มี ได้รับไมตรีตอบรับก็มี แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ได้ไม่นานเพราะมักจะโดนเจ้าของร้านตะเพิดไล่ ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนลูกค้าเขา เจ้าของร้านบางคนหรือพนักงานเสริฟก็ด่าตะเพิดไล่หลังเป็นของแถม พุ่งตรงเสียดแทงความรู้สึกเล่นๆ ทำนองว่า “พูดภาษาอังกฤษผิดๆ ถูกๆ อย่างนี้คงต้องอีกหลายปีถึงจะเก่ง”....ก็เห็นจะจริง ป่านนี้ผมก็ยังพูดผิดๆ ถูกๆ อยู่
ผมมองอย่างนี้นะครับ....ความยากของภาษาอังกฤษก็คือตัวภาษาอังกฤษอย่างที่รู้กันนั่นแหละครับ แค่ลำพังการต่อสู้กับความยากตรงนี้ก็หนักโขเอาการอยู่แล้ว อย่าให้ต้องมาต่อสู้กับเสียงหัวเราะ เยาะเย้ย หรือล้อเลียนกับสิ่งที่พลาดพลั้งกันเลย แตะกันเบาๆ สะกิดกันนิดๆ เสร็จแล้ว...ก็ให้แล้วต่อกันไป อย่าถึงต้องกับลากยาวยกอ้างเอามา เยาะเย้ย เหน็บแนม ถากถางกันทุกกระทู้ทุกคอมเม้นท์เหมือนจะไม่รู้จบรู้สิ้นเลย สักวันหนึ่งเรื่องเดียวกันมันอาจจะสะท้อนกลับ(backfire) เข้าตัวเองบ้าง และเมื่อถึงวันนั้นอาจจะสายไปแล้วก็ได้....
ถ้าเราเปลี่ยนเสียงหัวเราะเยาะ หรือล้อเลียนมาเป็นคำยกย่อง ชมเชย และส่งเสริมในการพูดและเขียนภาษาอังกฤษ(แม้จะผิดๆ ถูกๆ)ในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ผมเชื่อว่าการเรียนภาษาอังกฤษจะสนุกขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เยอะ และอาจจะไม่เป็น “ยาขม” สำหรับอนุชนรุ่นหลังอีกต่อไป
เกือบสิบปีมาแล้ว ผมเคยเขียนเส้นทางการเรียนภาษาอังกฤษของผมให้น้องนักศึกษาปริญญาเอกคนหนึ่งที่เคยท้อแท้ ถ้ามีเวลาก็ลองไปอ่านดูนะครับ เผื่อจะมีกำลังใจ หรือฉุกคิดได้ว่า คนเรานั้นบางทีกว่าจะ "ถูก" ได้กับเขาสักครั้งหนึ่ง คนๆ นั้นต้องผ่านการ "ผิด" มานับครั้งไม่ถ้วน ถ้าเรามามัวแต่เพ่งหรือยกเอาความเฉพาะ "ผิด" มาล้อเลียนเพียงเพื่อความสะใจ คนที่น่าสงสารอาจจะเป็นเราเองก็ได้
http://topicstock.ppantip.com/klaibann/topicstock/H2780896/H2780896.html