เมื่อพระพูดว่า "อยากได้ก็ไปฟ้องเอา" ทำให้ผมต้องเป็นหนี้หลายแสนบาท

เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดกับครอบครัวผมครับ เรื่องมีอยู่ว่า แม่ประกอบอาชีพค้าขาย เกี่ยวเครื่องสังฆภัณฑ์ อัฐบริขารต่างๆที่ใช้ในวัด ต่อมาประมาณเดือนมีนาคม 2558 ได้มีเจ้าอาวาสแห่งหนึ่ง มาสั่งของต่างๆไปใช้ในกิจการของวัด โดยวัดนี้เดิมเป็นหนี้แม่ผมอยู่แล้วครับ เมื่อมาสั่งของก็มีการตกลงกันว่าหลังจากจบงานฝังลูกนิมิตฯ จะนำเงินมาชำระให้ครบเลย โดยรวมมียอดรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,140,000 บาท ด้วยความหลงเชื่อ + กับความไว้ใจว่าเป็นเจ้าอาวาส เป็นผู้ทรงศีล และวัดเป็นองค์กรทางศาสนา คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงทำการให้ของแล้วส่งมอบของไป โดยตกลงกันว่าหลังจากจบงานฝังลูกนิมิตฯจะเข้ามาเคลียร์เรื่องหนี้สินกัน
    ต่อมาเมื่อถึงคราวชำระเงินประมาณวันที่ 20/4/58 ก็ได้ติดต่อไปทางนาง น  คือ นาง น คนนี้เป็นเหมือนสีกาคนสนิทของเจ้าอาวาสรูปนี้ครับ เท่าที่ทราบมาคือทำหน้าที่ ขับรถให้เจ้าอาวาส ทำอาหาร และช่วยหาเงินเข้าวัดครับ ลักษณะเหมือนเป็นคนจัดการธุรกรรมทางการเงินให้เจ้าอาวาส อาจจะเป็นเหมือนเลขาฯเจ้าอาวาสก็ว่าได้ ทางเราก็ได้คุยกับ นาง น ว่าให้มาชำระหนี้ รวมเป็นยอดทั้งสิ้น 1,140,000 บาท ซึ่งก็ได้คำตอบกลับมาว่าจะชำระให้ 700,000 แล้วที่เหลือจะชำระให้หลังกฐิน ก็คือช่วงประมาณเดือน 11/58 เราก็เลยบอกว่านาง น ว่าเอาอย่างนี้ไหม ถ้าจ่ายครบเลยเราคิด 1,000,000 บาทถ้วน ที่เหลือเราทำบุญละกัน (เนื่องจากตอนนั้นอยากเคลียร์ให้มันจบๆ และไม่อยากค้าขายกันแล้ว เนื่องจากเริ่มเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหลายอย่าง และเราทราบมาว่าวัดมีเงินพอสำหรับชำระหนี้แต่ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมไม่ชำระให้เสร็จสิ้น) ซึ่งนาง น บอกว่า จะคุยกับหลวงพ่อให้ แต่ก็ไม่สำเร็จ ทางผมเลยรับเงิน 700,000 มาก่อนส่วนที่เหลือก็เลยต้องรับสภาพไป คือรอเดือน 11/58
    เมื่อถึงเดือน 11/58 เราก็ไปเก็บเงินตามที่นัดไว้ครับ (คิดว่าคงได้เคลียร์กันให้จบๆเสียที เพราะได้ข่าวจากชาวบ้านมาว่าวัดได้กำไรจากการจัดงานหลายล้านบาท) แต่เมื่อขับรถไปถึงวัดนาง น ก็เข้ามาห้ามบอกว่าอย่าเพิ่งลงจากรถนะ เพราะหลวงพ่อมีแขกอยู่ กลัวว่ามาคุยเรื่องเงินละมันไม่เหมาะสม ทางแม่เราก็โอเค เดี๋ยวค่อยมาวันหลัง พอหลังจากวันนั้นแม่เราก็โทรศัพท์เข้าหาเบอร์หลวงพ่อ(เจ้าอาวาส) โทรหาหลายครั้งมากๆ แต่เจ้าอาวาสก็ไม่รับสาย เลยโทรหานาง น ว่าช่วยบอกหลวงพ่อให้หน่อยว่าจะเคลียร์เรื่องเงิน นาง น ก็ตอบกลับมาว่าให้คุยกับหลวงพ่อเอง ทางเราก็เลยโทรหาหลวงพ่อ โทรเป็นสิบๆสายก็ไม่รับสาย โทรกลับก็ไม่โทรกลับ เราเลยใช้เบอร์แปลกๆโทรไป ปรากฏว่าหลวงพ่อรับสาย น้ำเสียงตอนรับสายดูดีเป็นมิตรมาก แต่พอรู้ว่าปลายสายเป็นแม่เราเท่านั้นแหละ น้ำเสียงจากหน้ามือเป็นหลังมือ “ว่าไง มีไร” แม่เราก็เลยบอกว่าหนูมาเคลียร์เงินตามที่หลวงพ่อนัดไว้ค่ะ หลวงพ่อตอบกลับมาว่า “ไม่มีๆๆๆ ฉันเอาเงินไปทอดกฐินให้วัดxxxหมดแล้ว เพราะวัดโน้นยอดตก ไม่มี แล้วไม่ต้องโทรมาหาฉันแล้วนะ ของเธอถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องเอา” นั้นคือประโยคสุดท้ายที่ทางเรามีโอกาสได้คุยกับหลวงพ่อ ทางเราเลยโทรหานาง น ซึ่งเป็นสีกาคนสนิทของเจ้าอาวาส ว่าหลวงพ่อพูดอย่างนี้ทำอย่างไรดี นาง น ตอบกลับมาว่า “ตามใจละกัน  ฟ้องไปก็ไม่คุ้มหรอก เดี๋ยวศาลก็ให้ผ่อนจ่ายให้เดือนละ 500 – 1000 ”
    ต่อมาเราเลยทำเรื่องยื่นสำนักพุทธศาสนาจังหวัด และยื่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิเจ้าคณะปกครองทางสงฆ์ ขอให้เข้ามาเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยและตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่อมาท่าน สำนักพุทธฯ พร้อมด้วยพระวินยาธิการ ก็โทรหาหลวงพ่อรูปนี้ โดยการเปิดspeaker phone ให้ฟังกัน 3 คน มีทางบ้านเรา สำนักพุทธฯ พระวินยาธิการ โดยคุยว่าจะขอเข้าพบหลวงพ่อรูปนี้ สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หลวงพ่อก็ไม่ยอมคุย พูดเพียงว่า “ฉันตั้งทนายไว้แล้ว มีอะไรคุยกับทนาย” และไม่สามารถเข้าไปพบได้ เพราะหลวงพ่อรูปนี้อ้างว่าไม่อยู่วัดบอกว่าอยู่ภูเก็ต (ทั้งที่เราทราบดีว่าหลวงพ่ออยู่วัด จากการสอบถามชาวบ้าน) เมื่อถามว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ หลวงพ่อก็ตอบว่า “ไม่มีกำหนด มีอะไรคุยกับทนาย ฉันตั้งทนายไว้แล้ว” (ซึ่งเรามาทราบภายหลังว่าหลวงพ่อบอกกับคนอื่นๆว่ามีลูกศิษย์เป็นทนาย เดี๋ยวให้ลูกศิษย์จัดการ) เราเลยเข้าพบเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ให้เราฟ้องศาลเอา และบอกว่าพระรูปนี้มีประวัติไม่ดีและก็เล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ก็มีปัญหากับครูท่านนึง โดยบอกว่าจะวิ่งเต้นเรื่องโยกย้ายข้าราชการให้ โดยขอยืมเงินเขามา 400,000  ต่อมาเมื่อครูนั้นทวงเงินคืน ก็ไม่คืนให้เขา ครูท่านนั้นจึงจะแจ้งความเพราะเป็นคดีอาญา หลวงพ่อเลยยอมคืนเงินให้ ต่อมาเราเลยเข้าพบทางคณะสงฆ์เจ้าคณะอำเภอขอให้ดำเนินการเรื่องต่างๆ ทางเจ้าคณะอำเภอก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ก็มีร้านทำหลังคาร้านหนึ่ง มีปัญหาเหมือนกัน ไปทำหลังคาให้ที่วัด พอถึงเวลาเก็บเงินก็ไม่จ่ายเหมือนกัน แล้วก็บอกว่า ”อยากได้ก็ไปฟ้องเอา” ซึ่งก็ไม่มีใครทำอะไรแกได้ แกบอกกับคนอื่นๆว่าแกมีน้องเขยเป็นตำรวจ เป็นผู้กำกับ และแกจะเซฟตัวเองมาก โดยการแกจะไม่เซ็นเอกสารใดๆ โดยจะอ้างว่า ไม่โกงหรอก เพราะเป็น ”พระ” และนี่คือ ”วัด” หลายคนก็อนุโมทนาท่วมหัวไป ถือว่าใช้เวรใช้กรรม
    ต่อมาเจ้าคณะอำเภอได้ดำเนินการสอบข้อเท็จจริง ตามที่สำนักพุทธศาสนาจังหวัด(ที่เราส่งเรื่องไปก่อนหน้านี้)แจ้งไปที่เจ้าคณะอำเภอผลการสอบสรุปได้ว่า หลวงพ่อยอมรับว่าเป็นหนี้จริง แต่แกอ้างว่ายอดหนี้ไม่ตรง แกบอกว่าตกลงแบบเหมาจ่ายไว้ 1,000,000 จ่ายไปแล้ว 700,000 เหลือ 300,000 (ซึ่งความจริงคือเราพูดกับนาง น จริงว่าถ้าจ่ายหมดเราลดให้ แต่ถ้าทยอยจ่ายเราขอเก็บยอดเต็ม) แล้วก็เรื่องอื่นๆ เช่น หาว่าเราส่งของล่าช้า สเป็คของไม่ตรงบ้าง แล้วก็หาว่าเราไปทวงแก บีบบังคับแก ซึ่งแกสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาปกป้องตัวเอง แต่ถึงกระนั้นแล้ว ทางเราก็ชี้แจงมาโดยตลอดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องยอดเงิน เรื่องของ หรือเรื่องอื่นๆ สามารถคุยกันได้ จะคืนของ หรือจะลดยอดหนี้ก็ว่ามา สามารถคุยกันได้  โดยขอให้มาพบกัน มาคุยกัน มีคนกลางไกล่เกลี่ย คุยกันได้ (ในตอนนั้น สำนักพุทธฯ และพระวินยาธิการ จะเป็นคนกลางให้) ซึ่งผลปรากฎว่าหลวงพ่อก็ไม่พบ แม้ทางเราจะพยายามเจรจาไกล่เกลี่ยก็ได้คำตอบแต่เพียงว่า “ไม่คุย ไปฟ้องเอา ไปคุยกับทนายเอา ฉันตั้งทนายไว้แล้ว”
    แม้เรื่องดังกล่าวจะมีผลสรุปข้อเท็จจริงว่าหลวงพ่อเป็นหนี้จริง แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำอะไรพระรูปนี้ได้ ทั้งทางโลก และทั้งทางธรรม (ทั้งที่หนังสือสอบข้อเท็จจริงสรุปแล้วว่าแกยอมรับว่าเป็นหนี้ เอาของมาจริง คณะปกครองสงฆ์รับทราบ สำนักพุทธฯจังหวัดรับทราบถึงหนังสือรับสารภาพดังกล่าว) พระรูปนี้ก็ยังใช้ชีวิตปกติ แถมยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เนื่องจากจัดงาน จัดกฐิน ผ้าป่า ได้รับเงินบริจาคเงินอีกเป็นล้านบาท แต่เรื่องหนี้ไม่จ่าย เข้าตำรา “ไม่มี ไม่หนี(แต่ไม่ให้พบ) ไม่จ่าย”
    จากการที่เราสืบข้อมูลเบื้องต้นพบเรื่องน่าสงสัยของวัดนี้แห่งนี้หลายประเด็นเช่น มีผู้เสียหายหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อคล้ายๆกับที่บ้านผมครับ และมีพฤติกรรมคล้ายๆกันคือมีลักษณะท้าว่าถ้าอยากได้ก็ไปฟ้องศาลเอา และวัดแห่งนี้อาจจะไม่ได้จัดงานฝังลูกนิมิตอย่างถูกต้อง (ไม่ได้ขออนุญาต) และการจัดงานก็จัดแบบปีเว้นปีไม่รู้ว่าการระดมเงินในรูปแบบนี้สามารถทำได้หรือไม่ มีการเอาเงินบริจาคไปใช้ในกิจการอื่นๆ เช่น บริจาครถตู้ให้มูลนิธิฯแล้วติดสติ๊กเกอร์ชื่อตนเอง จากการสอบถามชาวบ้านพบว่าวัดนี้ไม่ค่อยได้รับการศรัทธาจากคนละแวกวัดครับ ส่วนใหญ่จะได้เงินบริจาคจากคนต่างพื้นที่ ลงอินเตอร์เน็ต เรี่ยไรเงินตามอินเตอร์เน็ต ตั้งตู้รับบริจาคในสถานที่ต่างๆ วางพุ่มผ้าป่าโน้นนี่ และรับดูดวง ลงหนังสือเครื่องรางของขลัง ฯลฯ
    ตลอดระยะเวลาที่เราวิ่งเต้นเรื่องนี้มาทั้งหมด 8 เดือน ทั้งวิ่งไปหาคนโน้นคนนี้ ร้องไห้ ล้มลุกคลุกคลานต่างๆมากมาย และเรายังต้องแบกรับภาระหนี้ที่เกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะของหลายอย่างทางบ้านผมก็ต้องขอเครดิตเขามาครับ แม้ผมจะพยายามตามเรื่อง แต่เรื่องก็ยังเงียบอยู่ ไม่มีข้อสรุปใดๆ ซึ่งเราทราบดีว่าสุดท้ายเราอาจต้องฟ้องร้องขึ้นศาล (ซึ่งเราว่าเจ้าอาวาสรูปนี้คงคิดไว้แล้วว่า เดี๋ยวก็ได้ผ่อนจ่ายเดือนละ 500-1000 แถมมีลูกศิษย์เป็นทนายความคอยช่วยเหลือ มิหนำซ้ำพระที่สนิทกับเจ้าอาวาสรูปนี้ยังพูดกับเราอีกว่า “โยมทำอะไรพวกฉันไม่ได้หรอก วัดเป็นนิติบุคคล”
สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนที่ได้อ่านกระทู้นี้ มีสติในการใช้ชีวิตครับ อย่าได้ตกเป็นเหยื่อเหมือนทางบ้านผม และขอให้มีสติในการทำบุญ อย่าหลงเชื่อเพราะเป็นพระ หรือเพราะเป็นวัด และขอให้มีเอกสารสัญญาให้แน่ชัดในการทำธุรกรรมครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเราบ้าง หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ผมก็รู้สึกเสื่อมศรัทธากับพระไปมาก ทุกวันนี้วันพระก็สวดมนต์อยู่บ้าน ไม่ก็ไปทำบุญตามสถานสงเคราะห์ต่างๆแทน เผื่อปัญหาต่างๆจะคลีคลายไปในทางที่ดีขึ้น
แม้เรื่องนี้จะยังไม่มีบทสรุป แต่ขอให้เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์และเตือนใจ แก่พุทธศาสนิกชนต่อไปครับ
ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่