ผลการศึกษาศพเด็ก 54 ศพในอังกฤษไม่ใช่ข่าวร้ายทั้งหมด




วารสาร Journal of Anatomy ของ University of Cambridge http://goo.gl/Eo31fQ
นักมานุษยวิทยาด้านชีววิทยาได้รายงานเรื่องศพทารกในครรภ์มารดาและศพเด็ก
ที่มีการผ่าศพเพื่อการศึกษาในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1768-1913
และตอนนี้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัย Cambridge
ผลการศึกษาพบว่า  ศพทารกทั้งสองประเภทมีการศึกษาอย่างละเอียดมากกว่าศพผู้ใหญ่
มีการศึกษาอย่างเอาใจใส่และให้ความสำคัญอย่างมากกับการศึกษาทางการแพทย์
เพื่อที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพและพัฒนาการของวัยเด็ก

" จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้บ่งชี้ว่า
มีบางคนค่อย ๆ ชำแหละศพเด็กเพื่อทำการศึกษา
และนั่นคือวิธีการที่จะผ่าตัดศพเด็ก "
ผู้วิจัยร่วม  Dr. Piers Mitchell  นักวิชาการและศัลยแพทย์ทางกระดูกเด็ก



อย่างไรก็ตาม มีหลักฐาน/ร่องรอยทางประวัติศาสตร์/โบราณคดีน้อยมาก
เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ของเด็กในชั้นเรียนแพทย์
เพราะเมื่อตอนที่ Dr. Piers Mitchell ร่วมกับนักเรียนแพทย์ Jenna Dittmar
ได้ทำการศึกษาในเรื่องนี้  หลังจากนั้นได้ผลการศึกษาที่สรุปผลได้ว่า
ศพเด็กหายไปจากประวัติศาสตร์ทางการแพทย์
เพราะส่วนใหญ่การศึกษาที่ผ่านมามักมุ่งเน้นไปที่ศพผู้ใหญ่
เพราะเหตุผลทางด้านสังคมการเมืองและการผ่าตัดศพในช่วงเวลานั้น
ในฐานะที่ทั้งคู่ทำการศึกษาแบบนักโบราณคดี
ทั้งสองคนจึงต้องค้นหาร่องรอยข้อมูลบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจน
จากการผ่าตัดศพเด็กด้วยการศึกษาจากโครงกระดูกของเด็ก



The only foetal skull in the Cambridge to have undergone a craniotomy.


ตลาดมืดของสัปเหร่อ

จากบทความดังกล่าวระบุว่า
" ในบริบทของการศึกษาทางการแพทย์
ผู้ชายมีบทบาทเกือบทั้งหมดในการศึกษา การชำแหละศพ และการถูกชำแหละศพ
เพราะศพส่วนมากเป็นผู้ชาย  ทั้งนี้ตามกฎหมายอังกฤษในศตวรรษที่ 18 และ 19
ตามกฎหมายการฆาตกรรม ปี 1752 บัญญัติไว้ว่า
ห้ามโรงเรียนแพทย์รับศพจากที่อื่น  จึงทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากมากสำหรับโรงเรียนแพทย์
ในการศึกษากายวิภาคศาสตร์  เพราะจะได้รับอนุญาตเฉพาะการผ่าศพฆาตกรที่ถูกประหารชีวิตแล้วเท่านั้น
และต้องกระทำต่อหน้าสาธารณชนเพื่อเป็นมาตรการ เพิ่มการดูถูก/ประจานฆาตกร
ฆาตกรส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชายและศพคนเหล่านั้นมักจะไม่เพียงพอ " Dr. Piers Mitchell กล่าว



รายงานการศึกษาพบว่า ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ในสหราชอาณาจักร
มีข้อมูลศพที่ถูกประหารชีวิตตามกฎหมายเฉลี่ยเพียง 77 ศพต่อปี
แต่โรงเรียนแพทย์ในกรุงลอนดอนต้องการศพถึง 450-500 ศพต่อปี
ดังนั้น การขาดแคลนศพที่ใช้ในการศึกษากายวิภาคศาสตร์
เพราะมีจำนวนศพไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียนแพทย์
จึงต้องพึ่งพาการขายศพในตลาดมืดของสัปเหร่อ หรือ คนขโมยผี
ที่แอบขุดศพขึ้นมาจากหลุมฝังศพ  หรือขโมยศพออกจากโลงศพก่อนทำพิธีฝังศพ

อย่างไรก็ตามในตลาดมืด ศพเด็ก หรือ smalls ที่เป็นคำพูดในวงการพวกค้าศพ
จะคิดราคาจำหน่ายโดยคิดกันที่ความยาวของศพเป็นนิ้ว
เพราะหายากและมีความต้องการจากโรงเรียนแพทย์มาก
ทำให้มีการแย่งชิงซื้อศพเด็กกันมากในตลาดมืด
แม้ว่าเด็กจะตายในโรงพยาบาลสงเคราะห์คนอนาถา
หรือได้ศพเด็กมาจากครอบครัวที่ยากจน
หรือการฆ่าทารกอย่างผิดกฎหมายโดยแม่เด็กหรือจากสาวโสด

" แต่พวกโรงเรียนแพทย์ต่างดูแลรักษาศพเด็กอย่างดี
ทำให้ศพพวกนี้มีความสำคัญอย่างมาก
ในการศึกษาต่อ ๆ กันมาของนักศึกษาแพทย์อีกหลายรุ่น
และช่วยเหลือชีวิตเด็กได้อีกจำนวนมาก " Dr. Piers Mitchell กล่าว



ร่องรอยที่หายไป

ผลการศึกษาพบว่า  ศพเด็กจะได้รับการปฏิบัติอย่างทะนุถนอมมากกว่าศพผู้ใหญ่
ดังนั้น หลักฐานที่สำคัญส่วนหนึ่งคือ มีศพเด็กเพียง 50% เท่านั้นที่มีการผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะ
โครงกระดูก/หัวกระโหลกของศพเด็กมักจะระบุหมายเลข/เครื่องหมายในการชำแหละศพ

แต่ศพผู้ใหญ่จำนวนมากจะผ่าตัดแบบเปิดกระโหลกศีรษะ
ในทำนองเดียวกันการผ่าตัดเพื่อดูอวัยวะภายในศพผู้ใหญ่
จะผ่าตัดเปิดโดยด้วยการตัดแยกออกจากซี่โครงและกระดูก

แต่ศพเด็กจะถูกผ่าตัดอย่างประณีตมากกว่า
ด้วยการค่อย ๆ ผ่าตัดผ่านชิ้นส่วนกระดูก/ซี่โครง

โดยรวมแล้วมีการใช้อุปกรณ์เครื่องมือและมีดผ่าตัดอย่างดีในการผ่าศพเด็ก
Dr. Piers Mitchell กับ Jenna Dittmar สรุป

สุดท้ายศพเด็กที่ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาต่อในอนาคต
ศพเด็กมักจะมีการเตรียมการล่วงหน้าเป็นอย่างดีเป็นอย่างพิเศษ
ด้วยการฉีดศพด้วยขี้ผึ้งสีเพื่อเน้นระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต
ขณะที่ศพผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะผ่าตัดพอศึกษาเสร็จแล้วจะถูกนำไปฝังในที่สุด



" หลักฐานทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นชัดเจนได้ว่า
การศึกษากายวิภาคศาสตร์พยายามที่จะดูแลโครงกระดูกของศพเด็ก
ของผู้หญิงที่น่าสงสารและสิ้นหวัง
ในช่วงเวลาของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ไม่เพียงแต่จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในงานศพ
ด้วยการมอบศพเด็กให้เพื่อประโยชน์ในการศึกษากายวิภาคศาสตร์
แต่พวกเธอยังได้รับเงินส่วนหนึ่งเช่นกัน
เงินจำนวนนี้จะช่วยซื้ออาหารให้กับครอบครัวที่ยากจน
ซึ่งโชคร้ายเพราะชีวิตหนึ่งที่หายไป  
ทั้งยังมีส่วนช่วยเหลือพี่น้องที่เหลืออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก "  Dr. Piers Mitchell  สรุป


เรียบเรียง/ที่มา

http://goo.gl/HD59Db







ที่มา/ข้อมูลเพิ่มเติม  http://goo.gl/zM16FT



ที่มา/ข้อมูลเพิ่มเติม  http://goo.gl/lTllFC
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่