ห้องทำงาน
จิตแพทย์หนุ่มหยิบบันทึกของคนไข้ขึ้นมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เขามีเวลาว่างอีกประมาณชั่วโมงกว่า ก่อนที่จะไปตามนัดกับแฟนสาวกับอาหารมื้อเย็น และเวลาที่เหลือ จึงทำให้เขาเริ่มอ่านบันทึกของคนบ้า
โครงการเลือกคนไข้ทางจิตมาเขียนบันทึก กำลังเป็นไปด้วยดี ไม่รู้ว่าจะขัดกฎหมายข้อใดก็ตาม..แต่ที่นี่คือกฏยกเว้น
มันเป็นฝันร้ายในคืนแสนเลวร้าย ฝันร้ายที่ชัดเจนยิ่งกว่าความจริงเสียอีก หรือไม่ก็เป็นความจริงที่เลวร้ายจนเกินกว่าจิตใจจะรับได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรืออาการวิปลาสคลาดเคลื่อน ผลที่ออกมาคงไม่ต่างกันมากนัก
ผมลุกขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว เกือบจะทาแป้ง...แต่ไม่ดีกว่า ผมไม่ควรดัดจริตทาแป้ง.....ผมควรจะออกไปทำงานตามปกติ เวลาเดิมๆ...ในตอนเช้าของวันนั้น ขณะสวมรองเท้าข้างสุดท้าย (ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นข้างขวาหรือข้างซ้าย...หมายวามว่าผมลังเลใจในการบอกว่าซ้ายหรือขวา..หรือบ้ากับดี..) ตรงประตูหน้าบ้าน มีเสียงคุ้นหูจากข้างบ้านทำให้ต้องหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ แค่ถึงตั้งใจก็ไม่อยากหันไปมอง
มันก็เป็นเหตุการณ์ตามปกติเหมือนทุกวันที่ผ่านมานั่นล่ะ สามีภรรยาทะเลาะกัน เป็นเรื่องในครอบครัว เรืองจิ้บๆ กระจอกมาก
ผู้เป็นภรรยากำลังวิ่งหนีไปรอบๆบ้าน เลือดท่วมตัว ศีรษะห้อยร่องแร่งเจียนขาดแกว่งไปมาตามแรงวิ่ง บางทีก็หมุนไปรอบตัวโดยมีเส้นเอ็นติดอยู่เป็นสายยาว เสื้อผ้าฉีกขาดหลุดลุ่ย..ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ สามีควงเลื่อยไฟฟ้าครางกระหึ่มกึกก้อง ฟังแล้วเสียวรากฟัน วิ่งตามไปติดๆ ราวกับคนบ้าโรคจิตไอ้บ้าไล่ฆ่าคน
ภรรยาหอบศีรษะวิ่งอ้อมมาประตูหน้า ล็อคประตูอย่างหวุดหวิด ทิ้งเศษเนื้อเปื้อนเลือดตามรายทางอย่างน่าสยองขวัญ เศษเนื้อบางชิ้นยังสั่นระริกไหวขยับไปมาบนพื้นราวมีชีวิตและกำลังดิ้นรนหนีอะไรบางอย่าง
ผู้เป็นสามีทำท่าจะใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดประตู พอดีหันมาเจอผมผู้ยืนมองอย่างไม่ค่อยสนใจ (มันเป็นเรื่องของสามี - ภรรยา ไม่ควรจะไปใส่ใจให้มากนัก ถึงจะฆ่ากันตายต่อหน้า....ผมรู้ว่าไม่ควรสนใจ) ผู้เป็นสามีมองเห็นผมกำลังจ้องมองอยู่(ย้ำประโยคสำคัญอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ) ....แกยิ้มเขินๆ วางเลื่อยไฟฟ้าลงหัวเราะบอกเสียงดังๆ แข่งกับเสียงเลื่อยไฟฟ้าซึ่งยังคงครางอี๋ๆ..อยู่บนพื้น
“ขอโทษนะครับ ที่วันนี้ใช้อุปกรณ์เสียงดังไปหน่อย พอดีขวานผ่าฟืนหายครับ...แหม เสียดาย...ไม่งั้นคุณคงได้ยินเสียงขวานเจาะหัว....มันเสียงหวานฉ่ำพิลึกเลยล่ะครับ คุณลองนึกดู คมขวานฟาดเต็มแรงลงไปบนหัวของหล่อน ผมว่ามันคงให้เสียง ซี-ขาร์ป สเกล ไมเนอร์ ก็ได้นะครับ”
“ตามสะดวกเถอะครับ” ผมพยักหน้าไปตามเรื่องตามราว แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า
“แล้วเกิดภรรยาคุณตายไปจะทำไงครับ”
ชายคนนั้นลืมตาโพลง มองหน้าผมอย่างขบขัน แล้วหัวเราะพลางพูดพลาง
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ กฎหมายให้สามีฆ่าภรรยาได้โดยไม่ติดคุก เพิ่งประกาศใช้เมื่อวานนี้เอง แหม ผมล่ะปลื้มจริงๆ ฆ่าคนแล้วไม่ติดคุกนี่ให้ความรู้สึกสุดยอด ว่าไหมครับ”
“ไม่รู้สิครับข้อนั้น” ผมหลีกเลี่ยงในการเออออห่อหมก
ชายผู้เป็นสามีหันไปมองประตูอย่างเสียดายก่อนจะก้มลงหยิบเลื่อยไฟฟ้ายกขึ้นชูเหนือหัว และแกว่งไปมาเหมือนฉากจบของหนังเขย่าขวัญอมตะเรื่อง Texas Chainsaw Massacre
ประตูเปิดผางออก มองเห็นผุ้เป็นภรรยายืนจังก้า ศีรษะที่เคยห้อยเจียนหลุดถูกวางตำแหน่งเดิมโดยมีผ้าพันแผลมัดล้อมรอบลำคอไว้อย่างลวกๆ มือทั้งสองประคองปืนลูกซองยาวเล็งมายังผู้เป็นสามี พลางบอกเสียงหวาน
“ โกงความตาย ต้องตายนะคะที่รัก.. บ้ายบาย”
ตูม..
ลูกซองระเบิดกระสุนดังกึกก้องสะท้านสะเทือนหู
ร่างของผู้เป็นสามีกระเด็นเหมือนถูกช้างถีบ ลอบไปชนรั้วบ้านพังครืนไปแถบหนึ่ง ศีรษะขาดลอยไปชนกันสาดหน้าบ้าน ก่อนลอยวิถีโค้งโพรเจกไทล์ ข้ามรั้วตกเข้ามาในเขตบ้านของผม ((สงสัยว่าหมอนี่คงเจตนาแกล้งผมด้วยล่ะถึงจงใจหัวกระเด็นมาทางนี้...ไอ้บ้าเอ้ย....มันจะมากไปแล้วนะ..) ) เลื่อยไฟฟ้าในมือหลุดกระเด็นลงไปยังพื้นแล้วแถกไถดิ้นตามแรงของเลื่อ ยซึ่งยังคงทำงานอยู่ตัดต้นไม้พุ่มไม้แถวนั้นกระจุยกระจาย ผมถอยห่างออกมาอย่างใจเย็น
มันเรื่องปกติครับ กับความว่าการเป็นคนในยุคนี้
เกือบไปแล้วไหมล่ะ ชุดทำงานตัวเก่ง
ฝ่ายผู้เป็นภรรยาโดนปืนถีบหงายหลังล้มไปข้างหลังเข้าไปในตัวบ้าน เธอคงจะเสียหลักไปชนกับอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างจนเกิดเป็นประกายไฟวูบวาบไปทั่วชั้นล่าง พร้อมกลิ่นเนื้อเหม็นไหม้คละคลุ้ง ร่างของเธอชักกระตุกดิ้นไหวไปมา เข้ากับเสียงเพลงจากวิทยุที่บังเอิญดังขึ้นพอดี (อย่าไปสนใจว่ามันทำไมดังขึ้นตอนนี้..คุณจะไม่สงสัยถ้าเคยดูหนังสยองขวัญ) เลยทำให้เธอเหมือนมีความสุขเหลือประมาณ ริมฝีปากของเธอกระตุกยิ้มแต่มีเลือดไหลฟองฟอด
ผมยักไหล่อย่างเบื่อๆกับเรื่องพรรค์นี้...ไร้สาระ...จึงไม่สนใจว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะเป็นหรือตายอย่างไร เดินออกมาหน้าบ้านมุ่งหน้าออกปากซอยสู่ถนนใหญ่
ขณะกำลังเดินอยู่ดีๆบนทางเท้า ลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งทำให้ผมแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน
โอ มายเดวิล......(ผมไม่ได้นับถือหรือเชื่อถือศาสนจักร).. ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่กำลังหักโค่นครืนถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตา อันเป็นผลจากสายลมเรื่อยเฉื่อยฉิวเบาๆ ยามเช้า ผมวิ่งไปด้านหน้าสุดชีวิต เปล่า..ผมไม่ได้กลัวอะไร..แต่วิ่งหนี “ตามบท” เท่านั้น
โครม.....
เสียงป้ายโฆษณาฟาดลงพื้นด้านถนนหลังสนั่นหวั่นไหว เศษไม้กระเด็นไปทั่วเหมือนถูกถล่มด้วยระเบิดจากขบวนการก่อการร้าย ผมหลบทันอย่างหวุดหวิด แต่นักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินพลอดรักกันอย่างไม่เกรงใจใคร หลบไม่พ้นเนื่องจากกำลังหวานรักหวานใสวัยรุ่นวุ่นรัก...จนลืมโลก..และสองคนกำลังพยายามลากรถเข็นบรรทุกสมุดการบ้านอยู่ จึงโดนป้ายโฆษณาถล่มใส่จมหายอยู่ในกองเศษไม้และโครงเหล็ก เศษแขนขา ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย สีเลือดแต่งแต้มราวเป็นบุปผาโลหิต
ว้า... น่าสงสารจัง เด็กสองคนนี้คงไปโรงเรียนสายแน่เลย...กรรมใครกรรมมันนะ....
เจ้าของตึกโผล่หน้ามามองป้ายโฆษณาอย่างเสียดายจากหน้าต่างชั้นที่สาม พอมองเห็นผมกำลังยืนปัดฝุ่นและเศษไม้อยู่จึงทำหน้าเสียใจสำนึกผิด ร้องบอกว่า
“ขอโทษนะครับ ไม่นึกว่าลมมันจะแรงอย่างนี้ เลยใช้กาวยางน้ำติดฐานป้ายโฆษณา รู้อย่างนี้ใช้กาวตราแมวปิฬาร์ติดก็ดีแล้วครับ...ไม่น่าใช้กาวตรากะปอมเลย แหม...คราวก่อนใช้กาวยางน้ำยังไม่พังเลย “
เออ..ผมด่ามันในใจ หนอยดันใช้กาวติดโครงสร้างป้ายโฆษณา แล้วมันจะเหลืออะไร... พวกนี้ทำอะไรไม่รับผิดชอบต่อสังคมเลย
เจ้าหมอนั่นมัวแต่ชะโงกตัวดูป้ายโฆษณาอย่างเสียดาย จึงมองไม่เห็นก้อนคอนกรีตขนาดใหญ่ตกลงมาจากดาดฟ้าชั้นที่สิบที่กำลังมีการต่อเติมตัวอาคารอยู่ มันเป็นความผิดผลาดของใครก็แล้วแต่
ผมมองเห็นชัดเจนแต่ด้วยความหมั่นไส้ จึงเพียงแต่ถอยห่างออกมาหน่อยหนึ่ง เพื่อความปลอดภัย และมองดูคอนกรีตก้อนนั้นพุ่งลิ่วลงมากระแทกเฉือนศีรษะเจ้าหมอนั่นจนแตกกระจายก่อนร่วงถึงพื้นและตกใส่มอเตอร์ไซด์รับจ้างที่วิ่งมาบนทางเท้าพอดี
รถมอเตอร์ไซด์ระเบิดตูม... ไฟลุกพรึ่บ เจ้าของตึกโบกไม้โบกมือทำท่าเหมือนโวยวาย... ท่าทางจะไม่รู้ตัวว่าหัวขาดไปแล้ว.. เพราะมัวแต่ห่วงกังวลอยู่กับป้ายโฆษณา มันจึงเป็นภาพที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง บ้าเอ้ย....คอขาดยังไม่รู้ตัวอีก งกเหลือเกินนะแก
คุณลองนึกถึงภาพคนหัวขาดโบกไม้โบกมืออยู่ริมหน้าต่างดูสิครับ จะรู้ว่าน่าขำขนาดไหน ผมล่ะเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆอยู่แล้ว..เชียวถ้าไม่ห่วงเรื่องการไปทำงานสาย และอันตรายอย่างอื่นที่เกิดขึ้นได้เสมอกับคนในเมืองนี้ ผมเดาว่าเจ้าของตึกคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองคอขาด เพราะมัวแต่ห่วงผลประโยชน์ เขาคงเดินไปกินอาหารเช้ากับครอบครัว ในสภาพหัวขาดแบบนั้นเพราะไม่รู้ตัว....ครอบครัวของเขาก็คงไม่ทันสังเกตว่าผู้นำครอบครัวหัวหายไปแล้ว เพราะคงยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของใครของมัน ไม่มีใครสนใจใครหรอก... เกินกว่าจะมีเวลามาสนใจคนอื่น (แม้กระทั่ง คนในครอบครัว)
อย่างไรก็ตาม.. ผมก็เอาตัวรอดมาจนถึงป้ายรถเมล์จนได้ เพราะไม่สนใจใครนั่นเอง
แต่แล้วผมก็พบกับความน่าเบื่อหน่ายอีกครั้งบริเวณป้ายรถเมล์ เมื่อรถตู้เบียดเสียดกันเต็มไปหมด เห็นกับตาว่าวิ่งทับผู้โดยสารหลายคนที่พยายามวิ่งไปขึ้นรถเมล์อีกคัน
ผมเองก็ไม่รู้ที่มาของรถตู้ จะรู้ตัวก็พบว่าวิ่งเกลื่อนเมืองแล้ว ที่จริงมันก็ดีอยู่หรอกในแง่การช่วยกันรับผู้โดยสาร แต่ที่รับไม่ได้คือนิสัยของรถตู้ที่มักจะวิ่งตามกันเป็นขบวน และจอดนอนรอผู้โดยสารอย่างหน้าตาเฉยจนเกะกะป้ายรถเมล์ แถมเวลาขึ้นลงรถนี่จะเสียเวลาเป็นอย่างมาก คนขับบางคนถึงกับลงมาเอาผ้าขาวม้าผูกกับเสาป้ายรถเมล์นอนหลับสบายใจรอผู้โดยสารให้เต็มคันรถ...มันน่าไหมล่ะ...
รถเมล์คันหนึ่งพยายามจะเข้ามาจอดป้าย แต่ติดว่ารถตู้ จอดขวาง ท่าทางคนขับรถเมล์จะโมโหมากเลยเบนหัวรถเข้ามาอัดจนเอาดื้อๆ
เป็นเรื่องสิครับ... รถตู้หลายคันถูกชนกระเด็นมาอยู่บนทางเท้า บางคันพลิกคว่ำ ผู้โดยสารพากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจแป๊บหนึ่ง...(นิดเดียวเท่านั้น...เพราะไม่อยากเสียเวลาตกใจ) ก่อนที่จะวิ่งหารถเมล์คันอื่นต่อไป ไม่มีเวลาโวยวายมากเพราะทุกคนต่างรีบร้อนด้วยกันทั้งนั้น
รถเมล์เลือดร้อนจอดป้ายได้..พร้อมกับนักเรียนนักเลงกลุ่มหนึ่งกรูกันลงมา
นึกว่าอะไร ...ที่แท้ก็เป็นการตะลุมบอนกันระหว่างนักเรียนชื่อดังสองสภาบัน ซึ่งเป็นคู่อริกันตั้งแต่เริ่มสร้างโรงเรียนแล้ว เพื่อเป็นการรักษาธรรมเนียมเก่าแก่ ต้องมีการยกพวกตีกันโดยสม่ำเสมอ ไม่ต้องเกรงใจใคร
เด็กพวกนั้นพากันถอดชุดนักเรียนออก กลายเป็นชุดนักเลง พากันตวาดประกาศฉายากันสับสน พุ่งเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกันด้วยอาวุธที่ขโมยมาจากคลังแสงของทหาร ไม่มีใครยอมใคร สงครามย่อยๆเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ไม่มีใครสนใจเพราะพวกเขาเป็นเยาวชนของชาติ และมีนักสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มคอยเชียร์
“ฆ่ากันตายเลย....พวกเธอไม่ผิด เพราะยังเด็ก กฏหมายคุ้มครองนะจ๊ะ..” พวกนักสิทธิมนุษยชนนอกแถวกลุ่มหนึ่งร้องเชียร์อย่างเมามัน ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ฟังแล้วแหม...มันเดือด......อยากจะเป็นเด็กเหลือเกิน จะทำชั่วให้สะใจ
ผมก็ยืนดูอย่างสนใจ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหลบกระสุน มีด และอาวุธต่างๆ ซึ่งกระจายออกมาจากวงการต่อสู้ไปด้วย การหลบของผมดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากพระเอกในหนังเรื่อง Matrix หลบกระสุน เท่าไรหรอกครับ บอกตรงๆว่าเท่มาก เพียงแต่หน้าและหุ่นไม่ให้เท่านั้นเวลาแอ่นตัวหลบอาวุธ
ผู้โดยสารหลายคนชอบมวยฟรีพากันล้อมวงเป็นไทยมุงส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน หลายคนถึงกับวางเงินเดิมพันกันว่าพวกไหนจะเป็นฝ่ายชนะ ตายกี่คน เจ็บกี่คน สูง ต่ำ เต็ง โต๊ด ครบหมด.. ตามนิสัยชอบการพนันอยู่ในสายเลือด
เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งโดนขวานสับติดซอกคอเลือดโชก แต่ไม่มีเวลาดึงขวานออก โซเซออกมาล้มลงแทบเท้าข้างหน้า
ผมลองเขี่ยดูด้วยรองเท้าเบาๆ ก่อนถามตามมรรยาท มากกว่าจะเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างไอ้น้อง..”
หมอนั่นชักกระแด่กๆๆ... ก่อนลุกขึ้น หยิบหวีมาเสยผมอย่างห่วงในความหล่อ แล้วหันมายักคิ้วให้ผมอย่างกวนๆ
“โด่ เพ่....จิ๊บจ๊อย เรื่องแค่นี้จิ๊บจ้อย สบายมากเพ่... เดี๋ยวผมจะเข้าไปลุยใหม่ให้ดูเป็นขวานตา..เอ๊ย ขวัญตา”
ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบไม้หน้าสามที่หล่นบนพื้นวิ่งปราดเข้าวงตะลุมบอนอีกครั้ง
มีต่อด้านล่างเด้อ
.................
โหด.....วิปลาส....(กระทู้เดียวจบ)
ห้องทำงาน
จิตแพทย์หนุ่มหยิบบันทึกของคนไข้ขึ้นมาอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เขามีเวลาว่างอีกประมาณชั่วโมงกว่า ก่อนที่จะไปตามนัดกับแฟนสาวกับอาหารมื้อเย็น และเวลาที่เหลือ จึงทำให้เขาเริ่มอ่านบันทึกของคนบ้า
โครงการเลือกคนไข้ทางจิตมาเขียนบันทึก กำลังเป็นไปด้วยดี ไม่รู้ว่าจะขัดกฎหมายข้อใดก็ตาม..แต่ที่นี่คือกฏยกเว้น
มันเป็นฝันร้ายในคืนแสนเลวร้าย ฝันร้ายที่ชัดเจนยิ่งกว่าความจริงเสียอีก หรือไม่ก็เป็นความจริงที่เลวร้ายจนเกินกว่าจิตใจจะรับได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำหรืออาการวิปลาสคลาดเคลื่อน ผลที่ออกมาคงไม่ต่างกันมากนัก
ผมลุกขึ้น อาบน้ำ แต่งตัว เกือบจะทาแป้ง...แต่ไม่ดีกว่า ผมไม่ควรดัดจริตทาแป้ง.....ผมควรจะออกไปทำงานตามปกติ เวลาเดิมๆ...ในตอนเช้าของวันนั้น ขณะสวมรองเท้าข้างสุดท้าย (ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นข้างขวาหรือข้างซ้าย...หมายวามว่าผมลังเลใจในการบอกว่าซ้ายหรือขวา..หรือบ้ากับดี..) ตรงประตูหน้าบ้าน มีเสียงคุ้นหูจากข้างบ้านทำให้ต้องหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ แค่ถึงตั้งใจก็ไม่อยากหันไปมอง
มันก็เป็นเหตุการณ์ตามปกติเหมือนทุกวันที่ผ่านมานั่นล่ะ สามีภรรยาทะเลาะกัน เป็นเรื่องในครอบครัว เรืองจิ้บๆ กระจอกมาก
ผู้เป็นภรรยากำลังวิ่งหนีไปรอบๆบ้าน เลือดท่วมตัว ศีรษะห้อยร่องแร่งเจียนขาดแกว่งไปมาตามแรงวิ่ง บางทีก็หมุนไปรอบตัวโดยมีเส้นเอ็นติดอยู่เป็นสายยาว เสื้อผ้าฉีกขาดหลุดลุ่ย..ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ สามีควงเลื่อยไฟฟ้าครางกระหึ่มกึกก้อง ฟังแล้วเสียวรากฟัน วิ่งตามไปติดๆ ราวกับคนบ้าโรคจิตไอ้บ้าไล่ฆ่าคน
ภรรยาหอบศีรษะวิ่งอ้อมมาประตูหน้า ล็อคประตูอย่างหวุดหวิด ทิ้งเศษเนื้อเปื้อนเลือดตามรายทางอย่างน่าสยองขวัญ เศษเนื้อบางชิ้นยังสั่นระริกไหวขยับไปมาบนพื้นราวมีชีวิตและกำลังดิ้นรนหนีอะไรบางอย่าง
ผู้เป็นสามีทำท่าจะใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดประตู พอดีหันมาเจอผมผู้ยืนมองอย่างไม่ค่อยสนใจ (มันเป็นเรื่องของสามี - ภรรยา ไม่ควรจะไปใส่ใจให้มากนัก ถึงจะฆ่ากันตายต่อหน้า....ผมรู้ว่าไม่ควรสนใจ) ผู้เป็นสามีมองเห็นผมกำลังจ้องมองอยู่(ย้ำประโยคสำคัญอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ) ....แกยิ้มเขินๆ วางเลื่อยไฟฟ้าลงหัวเราะบอกเสียงดังๆ แข่งกับเสียงเลื่อยไฟฟ้าซึ่งยังคงครางอี๋ๆ..อยู่บนพื้น
“ขอโทษนะครับ ที่วันนี้ใช้อุปกรณ์เสียงดังไปหน่อย พอดีขวานผ่าฟืนหายครับ...แหม เสียดาย...ไม่งั้นคุณคงได้ยินเสียงขวานเจาะหัว....มันเสียงหวานฉ่ำพิลึกเลยล่ะครับ คุณลองนึกดู คมขวานฟาดเต็มแรงลงไปบนหัวของหล่อน ผมว่ามันคงให้เสียง ซี-ขาร์ป สเกล ไมเนอร์ ก็ได้นะครับ”
“ตามสะดวกเถอะครับ” ผมพยักหน้าไปตามเรื่องตามราว แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า
“แล้วเกิดภรรยาคุณตายไปจะทำไงครับ”
ชายคนนั้นลืมตาโพลง มองหน้าผมอย่างขบขัน แล้วหัวเราะพลางพูดพลาง
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ กฎหมายให้สามีฆ่าภรรยาได้โดยไม่ติดคุก เพิ่งประกาศใช้เมื่อวานนี้เอง แหม ผมล่ะปลื้มจริงๆ ฆ่าคนแล้วไม่ติดคุกนี่ให้ความรู้สึกสุดยอด ว่าไหมครับ”
“ไม่รู้สิครับข้อนั้น” ผมหลีกเลี่ยงในการเออออห่อหมก
ชายผู้เป็นสามีหันไปมองประตูอย่างเสียดายก่อนจะก้มลงหยิบเลื่อยไฟฟ้ายกขึ้นชูเหนือหัว และแกว่งไปมาเหมือนฉากจบของหนังเขย่าขวัญอมตะเรื่อง Texas Chainsaw Massacre
ประตูเปิดผางออก มองเห็นผุ้เป็นภรรยายืนจังก้า ศีรษะที่เคยห้อยเจียนหลุดถูกวางตำแหน่งเดิมโดยมีผ้าพันแผลมัดล้อมรอบลำคอไว้อย่างลวกๆ มือทั้งสองประคองปืนลูกซองยาวเล็งมายังผู้เป็นสามี พลางบอกเสียงหวาน
“ โกงความตาย ต้องตายนะคะที่รัก.. บ้ายบาย”
ตูม..
ลูกซองระเบิดกระสุนดังกึกก้องสะท้านสะเทือนหู
ร่างของผู้เป็นสามีกระเด็นเหมือนถูกช้างถีบ ลอบไปชนรั้วบ้านพังครืนไปแถบหนึ่ง ศีรษะขาดลอยไปชนกันสาดหน้าบ้าน ก่อนลอยวิถีโค้งโพรเจกไทล์ ข้ามรั้วตกเข้ามาในเขตบ้านของผม ((สงสัยว่าหมอนี่คงเจตนาแกล้งผมด้วยล่ะถึงจงใจหัวกระเด็นมาทางนี้...ไอ้บ้าเอ้ย....มันจะมากไปแล้วนะ..) ) เลื่อยไฟฟ้าในมือหลุดกระเด็นลงไปยังพื้นแล้วแถกไถดิ้นตามแรงของเลื่อ ยซึ่งยังคงทำงานอยู่ตัดต้นไม้พุ่มไม้แถวนั้นกระจุยกระจาย ผมถอยห่างออกมาอย่างใจเย็น
มันเรื่องปกติครับ กับความว่าการเป็นคนในยุคนี้
เกือบไปแล้วไหมล่ะ ชุดทำงานตัวเก่ง
ฝ่ายผู้เป็นภรรยาโดนปืนถีบหงายหลังล้มไปข้างหลังเข้าไปในตัวบ้าน เธอคงจะเสียหลักไปชนกับอุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างจนเกิดเป็นประกายไฟวูบวาบไปทั่วชั้นล่าง พร้อมกลิ่นเนื้อเหม็นไหม้คละคลุ้ง ร่างของเธอชักกระตุกดิ้นไหวไปมา เข้ากับเสียงเพลงจากวิทยุที่บังเอิญดังขึ้นพอดี (อย่าไปสนใจว่ามันทำไมดังขึ้นตอนนี้..คุณจะไม่สงสัยถ้าเคยดูหนังสยองขวัญ) เลยทำให้เธอเหมือนมีความสุขเหลือประมาณ ริมฝีปากของเธอกระตุกยิ้มแต่มีเลือดไหลฟองฟอด
ผมยักไหล่อย่างเบื่อๆกับเรื่องพรรค์นี้...ไร้สาระ...จึงไม่สนใจว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะเป็นหรือตายอย่างไร เดินออกมาหน้าบ้านมุ่งหน้าออกปากซอยสู่ถนนใหญ่
ขณะกำลังเดินอยู่ดีๆบนทางเท้า ลางสังหรณ์อัปมงคลชนิดหนึ่งทำให้ผมแหงนหน้าขึ้นมองด้านบน
โอ มายเดวิล......(ผมไม่ได้นับถือหรือเชื่อถือศาสนจักร).. ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่กำลังหักโค่นครืนถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตา อันเป็นผลจากสายลมเรื่อยเฉื่อยฉิวเบาๆ ยามเช้า ผมวิ่งไปด้านหน้าสุดชีวิต เปล่า..ผมไม่ได้กลัวอะไร..แต่วิ่งหนี “ตามบท” เท่านั้น
โครม.....
เสียงป้ายโฆษณาฟาดลงพื้นด้านถนนหลังสนั่นหวั่นไหว เศษไม้กระเด็นไปทั่วเหมือนถูกถล่มด้วยระเบิดจากขบวนการก่อการร้าย ผมหลบทันอย่างหวุดหวิด แต่นักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งที่เดินพลอดรักกันอย่างไม่เกรงใจใคร หลบไม่พ้นเนื่องจากกำลังหวานรักหวานใสวัยรุ่นวุ่นรัก...จนลืมโลก..และสองคนกำลังพยายามลากรถเข็นบรรทุกสมุดการบ้านอยู่ จึงโดนป้ายโฆษณาถล่มใส่จมหายอยู่ในกองเศษไม้และโครงเหล็ก เศษแขนขา ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย สีเลือดแต่งแต้มราวเป็นบุปผาโลหิต
ว้า... น่าสงสารจัง เด็กสองคนนี้คงไปโรงเรียนสายแน่เลย...กรรมใครกรรมมันนะ....
เจ้าของตึกโผล่หน้ามามองป้ายโฆษณาอย่างเสียดายจากหน้าต่างชั้นที่สาม พอมองเห็นผมกำลังยืนปัดฝุ่นและเศษไม้อยู่จึงทำหน้าเสียใจสำนึกผิด ร้องบอกว่า
“ขอโทษนะครับ ไม่นึกว่าลมมันจะแรงอย่างนี้ เลยใช้กาวยางน้ำติดฐานป้ายโฆษณา รู้อย่างนี้ใช้กาวตราแมวปิฬาร์ติดก็ดีแล้วครับ...ไม่น่าใช้กาวตรากะปอมเลย แหม...คราวก่อนใช้กาวยางน้ำยังไม่พังเลย “
เออ..ผมด่ามันในใจ หนอยดันใช้กาวติดโครงสร้างป้ายโฆษณา แล้วมันจะเหลืออะไร... พวกนี้ทำอะไรไม่รับผิดชอบต่อสังคมเลย
เจ้าหมอนั่นมัวแต่ชะโงกตัวดูป้ายโฆษณาอย่างเสียดาย จึงมองไม่เห็นก้อนคอนกรีตขนาดใหญ่ตกลงมาจากดาดฟ้าชั้นที่สิบที่กำลังมีการต่อเติมตัวอาคารอยู่ มันเป็นความผิดผลาดของใครก็แล้วแต่
ผมมองเห็นชัดเจนแต่ด้วยความหมั่นไส้ จึงเพียงแต่ถอยห่างออกมาหน่อยหนึ่ง เพื่อความปลอดภัย และมองดูคอนกรีตก้อนนั้นพุ่งลิ่วลงมากระแทกเฉือนศีรษะเจ้าหมอนั่นจนแตกกระจายก่อนร่วงถึงพื้นและตกใส่มอเตอร์ไซด์รับจ้างที่วิ่งมาบนทางเท้าพอดี
รถมอเตอร์ไซด์ระเบิดตูม... ไฟลุกพรึ่บ เจ้าของตึกโบกไม้โบกมือทำท่าเหมือนโวยวาย... ท่าทางจะไม่รู้ตัวว่าหัวขาดไปแล้ว.. เพราะมัวแต่ห่วงกังวลอยู่กับป้ายโฆษณา มันจึงเป็นภาพที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง บ้าเอ้ย....คอขาดยังไม่รู้ตัวอีก งกเหลือเกินนะแก
คุณลองนึกถึงภาพคนหัวขาดโบกไม้โบกมืออยู่ริมหน้าต่างดูสิครับ จะรู้ว่าน่าขำขนาดไหน ผมล่ะเกือบจะหัวเราะออกมาดังๆอยู่แล้ว..เชียวถ้าไม่ห่วงเรื่องการไปทำงานสาย และอันตรายอย่างอื่นที่เกิดขึ้นได้เสมอกับคนในเมืองนี้ ผมเดาว่าเจ้าของตึกคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองคอขาด เพราะมัวแต่ห่วงผลประโยชน์ เขาคงเดินไปกินอาหารเช้ากับครอบครัว ในสภาพหัวขาดแบบนั้นเพราะไม่รู้ตัว....ครอบครัวของเขาก็คงไม่ทันสังเกตว่าผู้นำครอบครัวหัวหายไปแล้ว เพราะคงยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของใครของมัน ไม่มีใครสนใจใครหรอก... เกินกว่าจะมีเวลามาสนใจคนอื่น (แม้กระทั่ง คนในครอบครัว)
อย่างไรก็ตาม.. ผมก็เอาตัวรอดมาจนถึงป้ายรถเมล์จนได้ เพราะไม่สนใจใครนั่นเอง
แต่แล้วผมก็พบกับความน่าเบื่อหน่ายอีกครั้งบริเวณป้ายรถเมล์ เมื่อรถตู้เบียดเสียดกันเต็มไปหมด เห็นกับตาว่าวิ่งทับผู้โดยสารหลายคนที่พยายามวิ่งไปขึ้นรถเมล์อีกคัน
ผมเองก็ไม่รู้ที่มาของรถตู้ จะรู้ตัวก็พบว่าวิ่งเกลื่อนเมืองแล้ว ที่จริงมันก็ดีอยู่หรอกในแง่การช่วยกันรับผู้โดยสาร แต่ที่รับไม่ได้คือนิสัยของรถตู้ที่มักจะวิ่งตามกันเป็นขบวน และจอดนอนรอผู้โดยสารอย่างหน้าตาเฉยจนเกะกะป้ายรถเมล์ แถมเวลาขึ้นลงรถนี่จะเสียเวลาเป็นอย่างมาก คนขับบางคนถึงกับลงมาเอาผ้าขาวม้าผูกกับเสาป้ายรถเมล์นอนหลับสบายใจรอผู้โดยสารให้เต็มคันรถ...มันน่าไหมล่ะ...
รถเมล์คันหนึ่งพยายามจะเข้ามาจอดป้าย แต่ติดว่ารถตู้ จอดขวาง ท่าทางคนขับรถเมล์จะโมโหมากเลยเบนหัวรถเข้ามาอัดจนเอาดื้อๆ
เป็นเรื่องสิครับ... รถตู้หลายคันถูกชนกระเด็นมาอยู่บนทางเท้า บางคันพลิกคว่ำ ผู้โดยสารพากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจแป๊บหนึ่ง...(นิดเดียวเท่านั้น...เพราะไม่อยากเสียเวลาตกใจ) ก่อนที่จะวิ่งหารถเมล์คันอื่นต่อไป ไม่มีเวลาโวยวายมากเพราะทุกคนต่างรีบร้อนด้วยกันทั้งนั้น
รถเมล์เลือดร้อนจอดป้ายได้..พร้อมกับนักเรียนนักเลงกลุ่มหนึ่งกรูกันลงมา
นึกว่าอะไร ...ที่แท้ก็เป็นการตะลุมบอนกันระหว่างนักเรียนชื่อดังสองสภาบัน ซึ่งเป็นคู่อริกันตั้งแต่เริ่มสร้างโรงเรียนแล้ว เพื่อเป็นการรักษาธรรมเนียมเก่าแก่ ต้องมีการยกพวกตีกันโดยสม่ำเสมอ ไม่ต้องเกรงใจใคร
เด็กพวกนั้นพากันถอดชุดนักเรียนออก กลายเป็นชุดนักเลง พากันตวาดประกาศฉายากันสับสน พุ่งเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกันด้วยอาวุธที่ขโมยมาจากคลังแสงของทหาร ไม่มีใครยอมใคร สงครามย่อยๆเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ไม่มีใครสนใจเพราะพวกเขาเป็นเยาวชนของชาติ และมีนักสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มคอยเชียร์
“ฆ่ากันตายเลย....พวกเธอไม่ผิด เพราะยังเด็ก กฏหมายคุ้มครองนะจ๊ะ..” พวกนักสิทธิมนุษยชนนอกแถวกลุ่มหนึ่งร้องเชียร์อย่างเมามัน ด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม ฟังแล้วแหม...มันเดือด......อยากจะเป็นเด็กเหลือเกิน จะทำชั่วให้สะใจ
ผมก็ยืนดูอย่างสนใจ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหลบกระสุน มีด และอาวุธต่างๆ ซึ่งกระจายออกมาจากวงการต่อสู้ไปด้วย การหลบของผมดูไปแล้วก็ไม่ต่างจากพระเอกในหนังเรื่อง Matrix หลบกระสุน เท่าไรหรอกครับ บอกตรงๆว่าเท่มาก เพียงแต่หน้าและหุ่นไม่ให้เท่านั้นเวลาแอ่นตัวหลบอาวุธ
ผู้โดยสารหลายคนชอบมวยฟรีพากันล้อมวงเป็นไทยมุงส่งเสียงเชียร์กันอย่างสนุกสนาน หลายคนถึงกับวางเงินเดิมพันกันว่าพวกไหนจะเป็นฝ่ายชนะ ตายกี่คน เจ็บกี่คน สูง ต่ำ เต็ง โต๊ด ครบหมด.. ตามนิสัยชอบการพนันอยู่ในสายเลือด
เด็กนักเรียนชายคนหนึ่งโดนขวานสับติดซอกคอเลือดโชก แต่ไม่มีเวลาดึงขวานออก โซเซออกมาล้มลงแทบเท้าข้างหน้า
ผมลองเขี่ยดูด้วยรองเท้าเบาๆ ก่อนถามตามมรรยาท มากกว่าจะเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างไอ้น้อง..”
หมอนั่นชักกระแด่กๆๆ... ก่อนลุกขึ้น หยิบหวีมาเสยผมอย่างห่วงในความหล่อ แล้วหันมายักคิ้วให้ผมอย่างกวนๆ
“โด่ เพ่....จิ๊บจ๊อย เรื่องแค่นี้จิ๊บจ้อย สบายมากเพ่... เดี๋ยวผมจะเข้าไปลุยใหม่ให้ดูเป็นขวานตา..เอ๊ย ขวัญตา”
ว่าแล้วก็ก้มลงหยิบไม้หน้าสามที่หล่นบนพื้นวิ่งปราดเข้าวงตะลุมบอนอีกครั้ง
มีต่อด้านล่างเด้อ
.................