ที่อ่านบทประพันธ์มาจำได้เลา ๆ ว่าไม่ถึงใจถึงอารมณ์แบบที่จะเล่าต่อไปนี้คิดว่าน่าจะขยายมานะ ทีมเขียนบทขยี้บทอุบลสุดฤทธิ์มาก ส่วนที่จำแม่นที่สุดสำหรับเราในบทประพันธ์คือวันพิพากษาที่แทบอยากจะตั้งตัวเองเป็นทนายไปถามค้านทีมทิพอาภากับหมอเชษฐา และ อาจจะเบิ๊ดกะโหลกอัคนีอีกซักทีนึง (ฮา) แต่บทละครนี่บิ้วซะคุณพระน่าตื้บว่าเดิม 9.8 ริกเตอร์ ราวกับเป็นคลับฟรายเดย์เวอร์ชั่นกรุงศรีฯ ก็มิปาน
ณ ตอนนี้ที่อ่านเรื่องย่อมาประมาณ 13 ตอน ยังหาช่องเห็นใจคุณพระไม่ได้เลย (ฮา) แต่ละอันนี่มันช่างถึงพริกถึงขิงสุดสวิงริงโก้เสียเหลือเกิน ชนิดที่ว่าถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน หากคุณอุบลไม่ฟ้องหย่า ก็ต้องมีสะบัดบ็อบ เอาผัวไปเทิร์น ตามเพลงของขุ่นพี่ลำยอง หนองหินห่าวไปละ แต่ทั้งนี้เนื่องจากคุณอุบลเป็นหญิงสมัยอยุธยา เมียก็เหมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของผัว ก็เมคเซนส์อยู่กับการกระทำที่ต่างกันกับคุณพระและกับทิพ
คือทิพไม่ใช่คน "ของ" คุณพระ เหมือนที่อุบลเป็น สถานะของทิพ คือ น้องสาวลูกของเพื่อนสนิทพ่อที่คุ้นกันมาแต่เล็ก จะพูดจะจาจะว่าอะไรก็ต้องเกรงใจพ่อของน้องเขา และ ไม่ต้องมากลุ้มอกกลุ้มใจคอยดูแลเป็นห่วงอะไรกับทิพ เพราะทิพก็อยู่เรือนทิพไง ถึงได้พูดจากันได้สบายอกสบายใจมากกว่าคนที่อยู่ใต้ปกครองในเรือนเดียวกัน สังเกตว่าคุณพระมักจะพอใจ silent moment ของคุณอุบลกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดคุย (เป็นคนดุอยู่แล้ว พูดก็น้อย คงไม่สามารถจะหาเรื่องคุยได้ทุกวัน) เป็นต้นว่า คุณพระอ่านหนังสือ อุบลก็หยดแป้งทำเครื่องหอมไป คุณพระทำความสะอาดดาบ อุบลก็นั่งปักผ้าร้อยมาลัยไป
ดังนั้นจะว่า "เฉยชา" ก็ไม่เชิง เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็สบายใจที่จะอยู่ใกล้ ๆ มีเมียอยู่ในสายตา ทำกิจกรรมของตัวเองไป ก็มองเมียตัวเองทำนั่นทำนี่ไป ดูจะโปรดปรานช่วงเวลาเช่นนี้มากที่สุด ถ้าหากว่าเบื่อก็คงไม่มานั่งเงียบ ๆ ใกล้กับคนที่ไม่ชอบใจน่ะนะตามนิสัยคุณพระ แต่ถึงใครจะบอกว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เรื่องบางเรื่องไม่พูดไม่บอกอะไรเลยมันก็เท่ากับ "ไม่ได้ทำ" อ่ะแหละ ทำลงไปแต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าทำอะไร หรือ ตีความไปคนละทางกับที่อยากจะให้เข้าใจก็พังได้เหมือนกัน
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นที่ขวบปีแรก ฝ่ายหญิงเป็นนางรำหลวง คาดว่าคงเข้าไปอยู่ในรั้วในวังแต่เด็ก และ ไม่คุ้นชินกับโลกภายนอก คนที่จะไปมาหาสู่รู้จักมักจี่ รุ่นราวคราวเดียวกันพูดคุยกันก็คงไม่มีใคร นอกจากทิพ ... ที่สามีแนะนำว่าเป็นลูกสาวเพื่อนพ่อ นึกไปแล้วอุบลก็คงอดดีใจไม่ได้อย่างน้อยก็ได้ทิพเป็นเพื่อน แต่กาลเวลาผ่านไปซักพัก ก็เกิดความน้อยใจถึง "อะไรบางอย่าง" ระหว่างทิพกับคุณพระที่ตัวเองเข้าไม่ถึง และตัวทิพก็แสดงอยู่เรื่อย ๆ ว่ารู้จักคุณพระดีกว่าอุบล ไม่ว่าจะข้าวปลาอาหาร หรือ นิสัยใจคอ หากอุบลก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างใด
ภายใต้ความน้อยใจก็แอบมีความดีใจขึ้นมาได้อีกนิด เมื่อคุณพระแต่งลำนำให้ในคืนวันลอยกระทงปีแรกที่แต่งงานอยู่กินกัน กาพย์ยานี ๑๑ ฉมโฉมอุบลที่งามกว่าจันทรา แต่แล้วคุณพระก็ขยี้เข้าไปอีกว่าทิพคงดีใจที่รู้ว่าอุบลชอบ จะเรียกว่าไม่ทันคิดก็คงไม่ถูก เรียกว่าไม่ได้ละเอียดอ่อนถึงได้พูดออกไป ไม่นึกเสียด้วยซ้ำว่าอุบลจะคิดไปไกล แต่เชื้อไฟมันมีอยู่แล้ว หากก็อีกนั่นแหละ อุบลไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะถาม หรือ แสดงความเห็น ได้แต่เก็บแต่ละเรื่องไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
นี่แค่ปีแรกนะ ปีแรกนี่มันช่วงฮันนี่มูน ยังเป็นไปถึงขนาดนี้ ไม่ต้องคิดถึงปีหลัง ๆ ที่แต่งงานว่ากราฟจะดิ่งขนาดไหน
ดังนั้นปัญหามันไม่ได้เพิ่งมาเปรี้ยงปร้างเอาตอนบั่นคออะไรนั่นหรอก มันยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปีแรกที่อยู่ด้วยกันแล้ว
และทิศทางที่บทละครพาเราไปก็ยิ่งขยี้เรื่องราวให้เป็นคลับฟรายเดย์ขั้นสุดไปอีก เมื่อเหตุการณ์มันบานตะไทมไหศวรรย์ขึ้นเรื่อย ๆ ในขวบปีหลัง ๆ ไม่ใช่เพียงแต่อุบลเข้าไม่ถึงเท่านั้น แต่หลายรายการทีเดียวที่มันชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่น้อยใจไม่ใช่แค่เพียงการมโน ในขณะที่คุณพระคุ้นชินกับการออกคำสั่งกับอุบลที่ถือว่าเป็นเมียต้องเชื่อผัวทุกสิ่ง ไม่ต้องเข้าใจไม่ต้องรู้ไม่ต้องสมัครใจ ฉันเลือกให้ เธอทำได้อย่างเดียวคือ "ทำตาม" อุบลจึงได้แต่นั่งมองการพูดคุยระหว่างคุณพระกับทิพ การมอบสิ่งของที่อุบลก็รู้ดีกว่าทิพโปรดปรานเป็นต้นว่าสีและพู่กันจากคุณพระ การที่คุณพระขอคุยกับทิพเป็นการส่วนตัว การที่มองเห็นทิพยื่นขั้นน้ำให้คุณพระ และ การที่คุณพระลากข้อมือ "น้องทิพ" ลงเรือนไป ด้วยใจร้าวราน และ เกือบจะถึงจุดที่จะปลง
เหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำเรื่องราวทั้งหมดให้ดูมีสีสันคล้ายของจริงขึ้นเรื่อย ๆ คือ เมื่ออุบลแอบเห็นขุนพระวิจิตรฝากฝังทิพเป็นเมียรองคุณพระในยามศึก คุณพระเป็นขุนศึก บ่าวไพร่มากมาย และ ยังหนุ่มแน่น รู้จักทิพมาแต่เด็กคงไม่ทิ้งขว้าง อุบลใจชื้นเมื่อคุณพระดูอึกอัก แต่ใจที่ชื้นขึ้นมากลับแห้งแล้งฟุบแฟบไปอีก เมื่อคุณพระบอกว่าการที่ให้ขุนวิจิตรคิดเรื่องนี้ทิพเป็นเมียรองดี ๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ "ความรู้สึก" ของอุบล ไม่ได้กลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้อุบลเสียน้ำใจ (อ้าว ชิหายยย)
อีกไม่นานต่อมาการศึกที่รุมเร้าและอะไรอีกไม่รู้ในใจของคุณพระ ก็นำพาให้คุณพระบังคับอุบลให้ไปอยู่กับญาติที่เพชรบุรี เรื่องมันอาจจะลงเอยด้วยดีหากจะมีการอธิบายพูดคุย แต่ทางคุณอุบลก็เชื่อไปเสียแล้วว่าตัวเองโดนเขี่ยลงจากเรือนเพื่อให้ผู้หญิงอีกคนเข้ามาร่วมเรียงเคียงหอ จากเหตุการณ์นั่นนี่หลายปีที่ผ่านมาทำให้อุบลถึงจุดระเบิด เรื่องผัวจะมีหลายเมียมันคงธรรมดา แต่ถ้าถึงขนาดเคี้ยะเมียหลวงไปเมืองอื่น และ รับหญิงอื่นมาร่วมเรือน จะยอมขนาดนั้นคงถึงขั้นไร้ศักดิ์ศรี ถ้าเช่นนั้นก็ขอตายเสียดีกว่า
ใครเลยจะคิดว่าสิ่งที่คุณพระทำไม่ใช่การห้าม ... แต่กลับกดคมดาบที่อยู่บนคอเรียวระหงให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก คุณพระท่านกล่าวว่า "อย่าท้าทาย" ถ้าความรู้สึกถึงการหมดรักมีอยู่จริงก็คงเป็นช่วงเวลานี้ "คราวหน้าจะไม่รอให้เจ้าท้าทายเช่นนี้อีก" อุบลก็คงไม่นึกว่าถ้อยคำนี้อีกเพียงไม่กี่วันมันจะกลายเป็นจริง หัวใจที่พองฟูขึ้นเมื่อคุณพระมารับตนที่เรือน กลายเป็นอัดแน่นไปด้วยความไม่เชื่อชะตากรรม ความรักภักดี การปรนนิบัตรบัดวี ไม่ว่ายามดียามเจ็บป่วย ผลตอบแทนคืออะไร ความเยือกเย็นจนกลายเป็นเย็นชา น้ำตาที่เอ่อนอง เลือดที่หลั่งริน และ หน้าที่ที่เป็นดุจดังคำสาป
อุบลปราชัยตั้งแต่บัดนั้น และ ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
เห่เอย...พระจันทร์เพ็ญ
เด่นลอยฟ้าเวหาหาว
ทอแสงสุกสกาว
เป็นเจ้าแห่งโพยมบน
ทรงกลดงามกระจ่าง
แลสว่างทั่วเวหน
เทียบกับพักตร์อุบล
เจ้างามกว่าจันทราเอย
เห่เอย ... พระจันทร์แรม
จันทร์นวลแจ่มเคียงเขนย
ผ่านพ้นและล่วงเลย
ทั้งเมินเฉยและเย็นชา
ลำนำที่เคยขับ
ฟังสดับราวกับว่า
รักล้นเหลือคณา
เปรียบพักตร์ว่างามกว่าจันทร์
จันทร์เจ้าในคืนแรม
ยอกแสยงให้ขบขัน
ลำนำในคืนจันทร์
คือภาพฝันเงามายา
ความมืดคือของจริง
ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ค่า
พิษรักปักอุรา
แสนโศกาใต้เงาจันทร์
พิษสวาท (กึ่งวิเคราะห์ ... สปอยด์บทละครหนักมาก) : ความปราชัยของอุบล Club Friday เวอร์ชั่นกรุงศรีอยุธยา
ณ ตอนนี้ที่อ่านเรื่องย่อมาประมาณ 13 ตอน ยังหาช่องเห็นใจคุณพระไม่ได้เลย (ฮา) แต่ละอันนี่มันช่างถึงพริกถึงขิงสุดสวิงริงโก้เสียเหลือเกิน ชนิดที่ว่าถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน หากคุณอุบลไม่ฟ้องหย่า ก็ต้องมีสะบัดบ็อบ เอาผัวไปเทิร์น ตามเพลงของขุ่นพี่ลำยอง หนองหินห่าวไปละ แต่ทั้งนี้เนื่องจากคุณอุบลเป็นหญิงสมัยอยุธยา เมียก็เหมือนสมบัติชิ้นหนึ่งของผัว ก็เมคเซนส์อยู่กับการกระทำที่ต่างกันกับคุณพระและกับทิพ
คือทิพไม่ใช่คน "ของ" คุณพระ เหมือนที่อุบลเป็น สถานะของทิพ คือ น้องสาวลูกของเพื่อนสนิทพ่อที่คุ้นกันมาแต่เล็ก จะพูดจะจาจะว่าอะไรก็ต้องเกรงใจพ่อของน้องเขา และ ไม่ต้องมากลุ้มอกกลุ้มใจคอยดูแลเป็นห่วงอะไรกับทิพ เพราะทิพก็อยู่เรือนทิพไง ถึงได้พูดจากันได้สบายอกสบายใจมากกว่าคนที่อยู่ใต้ปกครองในเรือนเดียวกัน สังเกตว่าคุณพระมักจะพอใจ silent moment ของคุณอุบลกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดคุย (เป็นคนดุอยู่แล้ว พูดก็น้อย คงไม่สามารถจะหาเรื่องคุยได้ทุกวัน) เป็นต้นว่า คุณพระอ่านหนังสือ อุบลก็หยดแป้งทำเครื่องหอมไป คุณพระทำความสะอาดดาบ อุบลก็นั่งปักผ้าร้อยมาลัยไป
ดังนั้นจะว่า "เฉยชา" ก็ไม่เชิง เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็สบายใจที่จะอยู่ใกล้ ๆ มีเมียอยู่ในสายตา ทำกิจกรรมของตัวเองไป ก็มองเมียตัวเองทำนั่นทำนี่ไป ดูจะโปรดปรานช่วงเวลาเช่นนี้มากที่สุด ถ้าหากว่าเบื่อก็คงไม่มานั่งเงียบ ๆ ใกล้กับคนที่ไม่ชอบใจน่ะนะตามนิสัยคุณพระ แต่ถึงใครจะบอกว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เรื่องบางเรื่องไม่พูดไม่บอกอะไรเลยมันก็เท่ากับ "ไม่ได้ทำ" อ่ะแหละ ทำลงไปแต่อีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าทำอะไร หรือ ตีความไปคนละทางกับที่อยากจะให้เข้าใจก็พังได้เหมือนกัน
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นที่ขวบปีแรก ฝ่ายหญิงเป็นนางรำหลวง คาดว่าคงเข้าไปอยู่ในรั้วในวังแต่เด็ก และ ไม่คุ้นชินกับโลกภายนอก คนที่จะไปมาหาสู่รู้จักมักจี่ รุ่นราวคราวเดียวกันพูดคุยกันก็คงไม่มีใคร นอกจากทิพ ... ที่สามีแนะนำว่าเป็นลูกสาวเพื่อนพ่อ นึกไปแล้วอุบลก็คงอดดีใจไม่ได้อย่างน้อยก็ได้ทิพเป็นเพื่อน แต่กาลเวลาผ่านไปซักพัก ก็เกิดความน้อยใจถึง "อะไรบางอย่าง" ระหว่างทิพกับคุณพระที่ตัวเองเข้าไม่ถึง และตัวทิพก็แสดงอยู่เรื่อย ๆ ว่ารู้จักคุณพระดีกว่าอุบล ไม่ว่าจะข้าวปลาอาหาร หรือ นิสัยใจคอ หากอุบลก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างใด
ภายใต้ความน้อยใจก็แอบมีความดีใจขึ้นมาได้อีกนิด เมื่อคุณพระแต่งลำนำให้ในคืนวันลอยกระทงปีแรกที่แต่งงานอยู่กินกัน กาพย์ยานี ๑๑ ฉมโฉมอุบลที่งามกว่าจันทรา แต่แล้วคุณพระก็ขยี้เข้าไปอีกว่าทิพคงดีใจที่รู้ว่าอุบลชอบ จะเรียกว่าไม่ทันคิดก็คงไม่ถูก เรียกว่าไม่ได้ละเอียดอ่อนถึงได้พูดออกไป ไม่นึกเสียด้วยซ้ำว่าอุบลจะคิดไปไกล แต่เชื้อไฟมันมีอยู่แล้ว หากก็อีกนั่นแหละ อุบลไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะถาม หรือ แสดงความเห็น ได้แต่เก็บแต่ละเรื่องไว้ในใจอย่างเงียบ ๆ
และทิศทางที่บทละครพาเราไปก็ยิ่งขยี้เรื่องราวให้เป็นคลับฟรายเดย์ขั้นสุดไปอีก เมื่อเหตุการณ์มันบานตะไทมไหศวรรย์ขึ้นเรื่อย ๆ ในขวบปีหลัง ๆ ไม่ใช่เพียงแต่อุบลเข้าไม่ถึงเท่านั้น แต่หลายรายการทีเดียวที่มันชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่น้อยใจไม่ใช่แค่เพียงการมโน ในขณะที่คุณพระคุ้นชินกับการออกคำสั่งกับอุบลที่ถือว่าเป็นเมียต้องเชื่อผัวทุกสิ่ง ไม่ต้องเข้าใจไม่ต้องรู้ไม่ต้องสมัครใจ ฉันเลือกให้ เธอทำได้อย่างเดียวคือ "ทำตาม" อุบลจึงได้แต่นั่งมองการพูดคุยระหว่างคุณพระกับทิพ การมอบสิ่งของที่อุบลก็รู้ดีกว่าทิพโปรดปรานเป็นต้นว่าสีและพู่กันจากคุณพระ การที่คุณพระขอคุยกับทิพเป็นการส่วนตัว การที่มองเห็นทิพยื่นขั้นน้ำให้คุณพระ และ การที่คุณพระลากข้อมือ "น้องทิพ" ลงเรือนไป ด้วยใจร้าวราน และ เกือบจะถึงจุดที่จะปลง
เหตุการณ์หนึ่งที่ตอกย้ำเรื่องราวทั้งหมดให้ดูมีสีสันคล้ายของจริงขึ้นเรื่อย ๆ คือ เมื่ออุบลแอบเห็นขุนพระวิจิตรฝากฝังทิพเป็นเมียรองคุณพระในยามศึก คุณพระเป็นขุนศึก บ่าวไพร่มากมาย และ ยังหนุ่มแน่น รู้จักทิพมาแต่เด็กคงไม่ทิ้งขว้าง อุบลใจชื้นเมื่อคุณพระดูอึกอัก แต่ใจที่ชื้นขึ้นมากลับแห้งแล้งฟุบแฟบไปอีก เมื่อคุณพระบอกว่าการที่ให้ขุนวิจิตรคิดเรื่องนี้ทิพเป็นเมียรองดี ๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่ "ความรู้สึก" ของอุบล ไม่ได้กลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้อุบลเสียน้ำใจ (อ้าว ชิหายยย)
อีกไม่นานต่อมาการศึกที่รุมเร้าและอะไรอีกไม่รู้ในใจของคุณพระ ก็นำพาให้คุณพระบังคับอุบลให้ไปอยู่กับญาติที่เพชรบุรี เรื่องมันอาจจะลงเอยด้วยดีหากจะมีการอธิบายพูดคุย แต่ทางคุณอุบลก็เชื่อไปเสียแล้วว่าตัวเองโดนเขี่ยลงจากเรือนเพื่อให้ผู้หญิงอีกคนเข้ามาร่วมเรียงเคียงหอ จากเหตุการณ์นั่นนี่หลายปีที่ผ่านมาทำให้อุบลถึงจุดระเบิด เรื่องผัวจะมีหลายเมียมันคงธรรมดา แต่ถ้าถึงขนาดเคี้ยะเมียหลวงไปเมืองอื่น และ รับหญิงอื่นมาร่วมเรือน จะยอมขนาดนั้นคงถึงขั้นไร้ศักดิ์ศรี ถ้าเช่นนั้นก็ขอตายเสียดีกว่า
ใครเลยจะคิดว่าสิ่งที่คุณพระทำไม่ใช่การห้าม ... แต่กลับกดคมดาบที่อยู่บนคอเรียวระหงให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก คุณพระท่านกล่าวว่า "อย่าท้าทาย" ถ้าความรู้สึกถึงการหมดรักมีอยู่จริงก็คงเป็นช่วงเวลานี้ "คราวหน้าจะไม่รอให้เจ้าท้าทายเช่นนี้อีก" อุบลก็คงไม่นึกว่าถ้อยคำนี้อีกเพียงไม่กี่วันมันจะกลายเป็นจริง หัวใจที่พองฟูขึ้นเมื่อคุณพระมารับตนที่เรือน กลายเป็นอัดแน่นไปด้วยความไม่เชื่อชะตากรรม ความรักภักดี การปรนนิบัตรบัดวี ไม่ว่ายามดียามเจ็บป่วย ผลตอบแทนคืออะไร ความเยือกเย็นจนกลายเป็นเย็นชา น้ำตาที่เอ่อนอง เลือดที่หลั่งริน และ หน้าที่ที่เป็นดุจดังคำสาป
เด่นลอยฟ้าเวหาหาว
ทอแสงสุกสกาว
เป็นเจ้าแห่งโพยมบน
ทรงกลดงามกระจ่าง
แลสว่างทั่วเวหน
เทียบกับพักตร์อุบล
เจ้างามกว่าจันทราเอย
จันทร์นวลแจ่มเคียงเขนย
ผ่านพ้นและล่วงเลย
ทั้งเมินเฉยและเย็นชา
ลำนำที่เคยขับ
ฟังสดับราวกับว่า
รักล้นเหลือคณา
เปรียบพักตร์ว่างามกว่าจันทร์
จันทร์เจ้าในคืนแรม
ยอกแสยงให้ขบขัน
ลำนำในคืนจันทร์
คือภาพฝันเงามายา
ความมืดคือของจริง
ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ค่า
พิษรักปักอุรา
แสนโศกาใต้เงาจันทร์