Ep.1 - Huis Ten Bosch บินไปคิวชู แต่ไปโผล่ฮอลแลนด์:
http://ppantip.com/topic/35236051
Ep.2 - ตามหาใบไม้แดงที่ Yutoku Inari:
http://ppantip.com/topic/35263498
Ep.3 - ตามหาหัวใจที่ Nagasaki:
http://ppantip.com/topic/35294708
Ep.4 - ตามหาคุมะมงที่ Kumamoto:
http://ppantip.com/topic/35340828
Ep.5 - พาแฟนไปทัวร์นรก ที่ Beppu:
http://ppantip.com/topic/35416017
Ep. 6 - ใครว่า Yufuin แค่ครึ่งวันก็พอ:
http://ppantip.com/topic/35894794
Ep. 7 - แช่ออนเซ็นท่ามกลางใบไม้แดงที่ Kurokawa:
http://ppantip.com/topic/35951771
Ep.8 - กินเพลินๆ ที่ Fukuoka:
https://ppantip.com/topic/36053342/
Ep 9 - ล่องเรือในชุดกิโมโน ที่ Dazaifu & Yanagawa:
https://ppantip.com/topic/36289772
มาถึง Episode ที่ 5 กันแล้ว
หลังจากที่หายไปนาน
วันนี้เราจะเดินทางจาก Kumamoto ข้ามไปยังเมือง Beppu ในจังหวัด Oita ออกเดินทางกันแต่เช้าอีกตามเคย วันนี้เรานั่งรถไฟ Limited Express Kyushu Odan Tokkyu2 (รวมอยู่ใน North Kyushu Pass จึงไม่ต้องเสียค่าตั๋วเพิ่มเติม) ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ร่วม 3 ชั่วโมง เพราะเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางจากฟากซ้ายของเกาะ ไปสุดฟากขวาเลยทีเดียว
แต่ระหว่างทางก็ดูวิวไปเรื่อย เพลินดี เส้นทางนี้จะผ่านบริเวณภูเขาไฟ Aso ด้วย ช่วงที่ผ่านพนักงานจะเอาภาพมาชี้ชวนให้ดู พร้อมกับอธิบายไปตลอดทาง แน่นอนว่าเราฟังไม่ออกอีกตามเคย แต่ภาษาก็ไม่ใช่อุปสรรค ใช้ดูภาพที่พนักงานถือเอา
บรรยากาศข้างทางหลากหลาย มีทั้งช่วงที่แห้งแล้ง และช่วงที่เขียวขจี
นั่งไปสักพัก พนักงานรถไฟก็จะเดินมาแจกป้ายให้ผู้โดยสารทถชุกคนถ่ายรูปคู่ด้วย โปรโมทรถไฟไปในตัว
พอเริ่มเมื่อย และจะเคลิ้มหลับ ... ถึง Beppu พอดี ออกมาด้านนอกก็เจกับรูปปั้นคุณลุงคนนี้ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว คุณลุงคนนี้เขาชื่อว่า Kumahachi Aburaya ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิดาแห่งการท่องเที่ยวของเมือง Beppu
และก็จะเห็นบรรดานักท่องเที่ยวทำท่าตามกันเกือบทุกคน ... แน่นอน เราเป็นหนึ่งในนั้น (แต่ทำเสร็จแล้วเอารูปมาดูทีหลัง พึ่งเห็นว่าไม่เหมือนเอาซะเลย
)
เดินจากสถานีรถไฟไปไม่ไกลก็จะถึงโรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ ชื่อว่า โรงแรม Beppu Daiiti Hotel
ห้องขนาดเล็กกระทัดรัดตามสแตนดาร์ดของโรงแรมญี่ปุ่น แต่โดยรวมแล้วเราชอบมาก ตรงที่ใกล้สถานีรถไฟ และสะอาดสะอ้าน มีของใช้ทุกอย่างเตรียมให้ครบ
เก็บของเสร็จ ก็ออกหาอาหารเที่ยงก่อนเลย โดยเราหาข้อมูลไว้ว่ามีร้านราเมนอร่อยๆ ที่คนท้องถิ่นชอบไปกิน อยู่ไม่ไกลมากนัก สามารถเดินไปได้ เราเลยรีบตรงดิ่งไปยังร้านทันทีด้วยความหิว
เบปปุเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ ถ้าไม่นับบริเวณที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก
ร้านสีเเดงๆ
ในที่สุดก็ถึงร้าน Ramenteichiban ร้านนี้ติดอันดับร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำ เมื่อเราไปถึงจึงไม่แปลกที่จะเจอคนญี่ปุ่นนั่งกินราเมงกันเต็มไปหมด ทั้งพนักงานบริษัท คนงานก่อสร้าง และนักเรียน
เพราะไม่ใช่ร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยว เมนูจึงเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ งานนี้ใช้จิ้มภาพเอาตามระเบียบ ดีนะที่ยังมีรูปภาพให้ดู
คุณกำลังทำเส้นใหม่ๆสดๆให้ทาน
หนังสือการ์ตูน ให้อ่านระหว่างรอพ่อครัวทำราเมง
มาแล้ววว Beppu Osusume ราเมนใส่กิมจิ ที่เป็นราเมนชื่อดัง ต้นตำหรับของเบปปุ (ขอสารภาพว่าเราเป็นคนไม่ชอบกินราเมงเลย แต่สำหรับสามีเรามันคือของโปรด จากการสอบถาม ได้ความว่าถ้วยนี้อร่อยมาก เส้นเหนียวหนึบโดนใจ
)
ต่อด้วยเกี๊ยวซ่า อันนี้เราสั่งมาเอง เกี๊ยวซ่าชิ้นไม่ใหญ่มาก กำลังพอดีคำ รสชาติเข้มข้น อร่อย
หลังจากกินเสร็จ เราเดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้ง เพื่อนั่งไปยังจุดหมายแรกของการเที่ยวเบปปุ ก่อนเราจะไปทัวร์นรกได้ เราก็ต้องโดนฝังซะก่อน
!!
ว่าแล้วก็ขึ้นรถไฟ มุ่งหน้าไปยังสถานี Beppudaigaku
ใช้เวลาเพียง 4 นาที ก็ถึง
จากสถานี beppudaigaku เดินไปอีกประมาณ 7 นาที ก็จะถึงที่หมาย ที่เราสองคนจะโดนฝังทั้งเป็น
เดินข้ามถนนไปเเล้วเลี้ยวขวาก็ถึง
สถานที่นี้ชื่อว่า Beppu Beach Sand Bath คือการฝังทรายร้อน เพื่อคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดเมื่อยนั่นเอง
ที่นี่เปิดตั้งแต่ 8 โมงครึ่งถึง 6 โมงเย็นในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน และเปิด 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ สนนราคาค่าเข้าอยู่ที่คนละ 1,030 เยน
ด้านในจะมีชุดยูกาตะให้เปลี่ยน พร้อมที่อาบน้ำล้างตัว เปลี่ยนชุดเสร็จ เดินทะลุออกมาด้านหลัง ก็จะเจอกลุ่มคุณป้าที่ดูอารมณ์ดี รอที่จะได้ฝังเราอยู่
คุณป้าหันมามองเรา ด้วยสายตาประมาณว่า มาแล้วเหยื่อคนต่อไป
ที่นี่ติดอยู่ติดกับทะเลเลย บรรยากาศดีมาก โดยเฉพาะวันที่ฟ้าใสอย่างวันนี้ ทำเอาซะเราเผลอคิดว่าโดนฝังอยู่นี่ก็ไม่เลวนะ
ชื่นชมวิวเสร็จ ก็ได้เวลาเริ่ม คุณป้ากวักมือเรียกคุณสามีเราให้ลงไปนอน จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาโกยทรายอุ่นๆ มาฝังทันที
และเราก็ไม่รอด โดนฝังอยู่ข้างๆกันนี่แหละ โผล่ออกมาแค่หัว แอบหันไปดูกัน แล้วก็ขำกันเอง คุณป้าก็ใจดีหยิบกล้องมาถ่ายรูปที่ระลึกการถูกฝังครั้งนี้ให้เราสองคน แถมยังกางร่มให้อีก
นอนดูทะเลกันไปเพลินๆ ประมาณ 15 นาที ถ้าถามว่ารู้สึกสบายมั้ย ? มันก็สบายตรงมันอุ่นๆ นี่แหละ แต่ทรายที่ทับอยู่ก็หนักมาก ขยับตัวไม่ได้เลย ระหว่างนอนอยู่เราก็เผลอคิดไปต่างๆนานา (เนื่องจากว่าง) ว่าคนที่ถูกผีอำ คงรู้สึกประมาณนี้แน่เลย แบบมีอะไรหนักๆมาทับตัว จะขยับก็ขยับไม่ได้ ได้แต่กรอกตาไปมา (แต่เรายังไม่เคยเจอนะ เคยแต่ได้ยินเขาเล่ามา
)
พอครบ 15 นาที คุณป้าก็จะมาช่วยขุดเราออกมา แล้วพยุง เพราะคงมีหลายคนรู้สึกหมดแรง (เราก็เป็น ไม่รู้เพราะอะไร )คุณลุงนอนอยู่ทางฝั่งซ้ายของคุณสามีเรา ถึงกับลุกไม่ขึ้น จนคุณป้า 2 คนต้องมาช่วยดึงขึ้น ลุกขึ้นมาเปียกไปทั้งตัว เพราะความชื้นจากทราย แต่พออาบน้ำเสร็จ ก็สบายตัวดี ตัวเบาหวิว
หลังจากโดนฝังไปเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปทัวร์นรกกันสักที ที่ Beppu มีนรกถึง 8 ขุมเลยทีเดียว โดยทั้ง 8 แห่งถูกเรียกรวมๆกันว่า Jigoku Meguri คำว่า Jigokuนั้น แปลตรงตามตัวแปลว่า Hell หรือ นรก นั่นเอง
การจะไปบ่อนรก สามารถนั่งรถบัสไปได้ แต่เนื่องจากเวลานี้ ไม่ตรงกับรอบรถบัสเลย เราเลยตัดสินใจเรียกยมบาล เอ้ย! เรียก taxi มารับแทน การนั่ง taxi นั้นไม่ถูกเลย โหดร้ายเหลือเกิน
(รู้สึกโดนไปประมาณ 1,600 เยน) แต่ก็ต้องจำใจจ่าย เพื่อจะได้เซฟเวลาในการเที่ยว
เราจึงให้คุณ Taxi ไปส่งยังนรกขุมที่ไกลที่สุด นรกขุมนี้ ไม่ต้องทำผิดก็ไปได้ แต่ต้องเสียค่าเข้า (จริงๆ ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าทุกบ่อ)
นรกขุมแรกมีชื่อว่า Oniishi Bozu Jigoku แปลว่าหัวโล้นๆของพระ (shaving monk's head) ที่มาของชื่ตลกๆนี้ก็คือสีของบ่อโคลนที่เป็นสีออกเทาๆ และเนื้อโคลนที่ดูเนียนๆ เหมือนสีของหัวโล้นๆของอิคคิวซังนั่นเอง
โคลนเดือดปุดๆ
สิ่งที่เราชอบที่สุดของบ่อนี้คือความเงียบสงบ อาจเพราะอยู่แยกออกมาจากบ่ออื่นๆค่อนข้างไกล จึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่สักเท่าไหร่ เราจึงเก็บภาพบรรยากาศรอบๆได้เต็มที่
จากบ่อนี้ ไปยังนรกขุมต่อไปต้องเดินค่อนข้างไกลทีเดียว แต่เป็นการเดินลงเนิน ก็เลยโอเค บวกกับเข็ดกับค่า Taxi เลยขอเดินดีกว่า ดูจาก google map ใช้เวลาประมาณ 12 นาที
ข้อดีของการเดินคือ การได้เก็บภาพข้างทาง อย่างเช่นเพื่อนร่วมทางตัวนี้
แถมข้างทางยังมีใบไม้แดงให้เห็นเรื่อยๆ เดินไปเริ่มเมื่อย ก็พักถ่ายรูป แอ๊บเป็น ฮิปสเตอร์ กันอยู่ 2 คน
[CR] Autumn in Kyushu - Ep.5 - พาแฟนไปทัวร์นรก ที่ Beppu
Ep.2 - ตามหาใบไม้แดงที่ Yutoku Inari: http://ppantip.com/topic/35263498
Ep.3 - ตามหาหัวใจที่ Nagasaki: http://ppantip.com/topic/35294708
Ep.4 - ตามหาคุมะมงที่ Kumamoto: http://ppantip.com/topic/35340828
Ep.5 - พาแฟนไปทัวร์นรก ที่ Beppu: http://ppantip.com/topic/35416017
Ep. 6 - ใครว่า Yufuin แค่ครึ่งวันก็พอ: http://ppantip.com/topic/35894794
Ep. 7 - แช่ออนเซ็นท่ามกลางใบไม้แดงที่ Kurokawa: http://ppantip.com/topic/35951771
Ep.8 - กินเพลินๆ ที่ Fukuoka: https://ppantip.com/topic/36053342/
Ep 9 - ล่องเรือในชุดกิโมโน ที่ Dazaifu & Yanagawa: https://ppantip.com/topic/36289772
มาถึง Episode ที่ 5 กันแล้ว หลังจากที่หายไปนาน
วันนี้เราจะเดินทางจาก Kumamoto ข้ามไปยังเมือง Beppu ในจังหวัด Oita ออกเดินทางกันแต่เช้าอีกตามเคย วันนี้เรานั่งรถไฟ Limited Express Kyushu Odan Tokkyu2 (รวมอยู่ใน North Kyushu Pass จึงไม่ต้องเสียค่าตั๋วเพิ่มเติม) ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ร่วม 3 ชั่วโมง เพราะเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางจากฟากซ้ายของเกาะ ไปสุดฟากขวาเลยทีเดียว
แต่ระหว่างทางก็ดูวิวไปเรื่อย เพลินดี เส้นทางนี้จะผ่านบริเวณภูเขาไฟ Aso ด้วย ช่วงที่ผ่านพนักงานจะเอาภาพมาชี้ชวนให้ดู พร้อมกับอธิบายไปตลอดทาง แน่นอนว่าเราฟังไม่ออกอีกตามเคย แต่ภาษาก็ไม่ใช่อุปสรรค ใช้ดูภาพที่พนักงานถือเอา
บรรยากาศข้างทางหลากหลาย มีทั้งช่วงที่แห้งแล้ง และช่วงที่เขียวขจี
นั่งไปสักพัก พนักงานรถไฟก็จะเดินมาแจกป้ายให้ผู้โดยสารทถชุกคนถ่ายรูปคู่ด้วย โปรโมทรถไฟไปในตัว
พอเริ่มเมื่อย และจะเคลิ้มหลับ ... ถึง Beppu พอดี ออกมาด้านนอกก็เจกับรูปปั้นคุณลุงคนนี้ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว คุณลุงคนนี้เขาชื่อว่า Kumahachi Aburaya ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิดาแห่งการท่องเที่ยวของเมือง Beppu
และก็จะเห็นบรรดานักท่องเที่ยวทำท่าตามกันเกือบทุกคน ... แน่นอน เราเป็นหนึ่งในนั้น (แต่ทำเสร็จแล้วเอารูปมาดูทีหลัง พึ่งเห็นว่าไม่เหมือนเอาซะเลย )
เดินจากสถานีรถไฟไปไม่ไกลก็จะถึงโรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ ชื่อว่า โรงแรม Beppu Daiiti Hotel
ห้องขนาดเล็กกระทัดรัดตามสแตนดาร์ดของโรงแรมญี่ปุ่น แต่โดยรวมแล้วเราชอบมาก ตรงที่ใกล้สถานีรถไฟ และสะอาดสะอ้าน มีของใช้ทุกอย่างเตรียมให้ครบ
เก็บของเสร็จ ก็ออกหาอาหารเที่ยงก่อนเลย โดยเราหาข้อมูลไว้ว่ามีร้านราเมนอร่อยๆ ที่คนท้องถิ่นชอบไปกิน อยู่ไม่ไกลมากนัก สามารถเดินไปได้ เราเลยรีบตรงดิ่งไปยังร้านทันทีด้วยความหิว
เบปปุเป็นเมืองที่ค่อนข้างเงียบ ถ้าไม่นับบริเวณที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก
ในที่สุดก็ถึงร้าน Ramenteichiban ร้านนี้ติดอันดับร้านที่คนท้องถิ่นแนะนำ เมื่อเราไปถึงจึงไม่แปลกที่จะเจอคนญี่ปุ่นนั่งกินราเมงกันเต็มไปหมด ทั้งพนักงานบริษัท คนงานก่อสร้าง และนักเรียน
เพราะไม่ใช่ร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยว เมนูจึงเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ งานนี้ใช้จิ้มภาพเอาตามระเบียบ ดีนะที่ยังมีรูปภาพให้ดู
หนังสือการ์ตูน ให้อ่านระหว่างรอพ่อครัวทำราเมง
มาแล้ววว Beppu Osusume ราเมนใส่กิมจิ ที่เป็นราเมนชื่อดัง ต้นตำหรับของเบปปุ (ขอสารภาพว่าเราเป็นคนไม่ชอบกินราเมงเลย แต่สำหรับสามีเรามันคือของโปรด จากการสอบถาม ได้ความว่าถ้วยนี้อร่อยมาก เส้นเหนียวหนึบโดนใจ )
ต่อด้วยเกี๊ยวซ่า อันนี้เราสั่งมาเอง เกี๊ยวซ่าชิ้นไม่ใหญ่มาก กำลังพอดีคำ รสชาติเข้มข้น อร่อย
หลังจากกินเสร็จ เราเดินย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟอีกครั้ง เพื่อนั่งไปยังจุดหมายแรกของการเที่ยวเบปปุ ก่อนเราจะไปทัวร์นรกได้ เราก็ต้องโดนฝังซะก่อน !!
ว่าแล้วก็ขึ้นรถไฟ มุ่งหน้าไปยังสถานี Beppudaigaku
ใช้เวลาเพียง 4 นาที ก็ถึง
จากสถานี beppudaigaku เดินไปอีกประมาณ 7 นาที ก็จะถึงที่หมาย ที่เราสองคนจะโดนฝังทั้งเป็น
สถานที่นี้ชื่อว่า Beppu Beach Sand Bath คือการฝังทรายร้อน เพื่อคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดเมื่อยนั่นเอง
ที่นี่เปิดตั้งแต่ 8 โมงครึ่งถึง 6 โมงเย็นในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน และเปิด 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็นในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ สนนราคาค่าเข้าอยู่ที่คนละ 1,030 เยน
ด้านในจะมีชุดยูกาตะให้เปลี่ยน พร้อมที่อาบน้ำล้างตัว เปลี่ยนชุดเสร็จ เดินทะลุออกมาด้านหลัง ก็จะเจอกลุ่มคุณป้าที่ดูอารมณ์ดี รอที่จะได้ฝังเราอยู่
คุณป้าหันมามองเรา ด้วยสายตาประมาณว่า มาแล้วเหยื่อคนต่อไป
ที่นี่ติดอยู่ติดกับทะเลเลย บรรยากาศดีมาก โดยเฉพาะวันที่ฟ้าใสอย่างวันนี้ ทำเอาซะเราเผลอคิดว่าโดนฝังอยู่นี่ก็ไม่เลวนะ
ชื่นชมวิวเสร็จ ก็ได้เวลาเริ่ม คุณป้ากวักมือเรียกคุณสามีเราให้ลงไปนอน จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาโกยทรายอุ่นๆ มาฝังทันที
และเราก็ไม่รอด โดนฝังอยู่ข้างๆกันนี่แหละ โผล่ออกมาแค่หัว แอบหันไปดูกัน แล้วก็ขำกันเอง คุณป้าก็ใจดีหยิบกล้องมาถ่ายรูปที่ระลึกการถูกฝังครั้งนี้ให้เราสองคน แถมยังกางร่มให้อีก
นอนดูทะเลกันไปเพลินๆ ประมาณ 15 นาที ถ้าถามว่ารู้สึกสบายมั้ย ? มันก็สบายตรงมันอุ่นๆ นี่แหละ แต่ทรายที่ทับอยู่ก็หนักมาก ขยับตัวไม่ได้เลย ระหว่างนอนอยู่เราก็เผลอคิดไปต่างๆนานา (เนื่องจากว่าง) ว่าคนที่ถูกผีอำ คงรู้สึกประมาณนี้แน่เลย แบบมีอะไรหนักๆมาทับตัว จะขยับก็ขยับไม่ได้ ได้แต่กรอกตาไปมา (แต่เรายังไม่เคยเจอนะ เคยแต่ได้ยินเขาเล่ามา )
พอครบ 15 นาที คุณป้าก็จะมาช่วยขุดเราออกมา แล้วพยุง เพราะคงมีหลายคนรู้สึกหมดแรง (เราก็เป็น ไม่รู้เพราะอะไร )คุณลุงนอนอยู่ทางฝั่งซ้ายของคุณสามีเรา ถึงกับลุกไม่ขึ้น จนคุณป้า 2 คนต้องมาช่วยดึงขึ้น ลุกขึ้นมาเปียกไปทั้งตัว เพราะความชื้นจากทราย แต่พออาบน้ำเสร็จ ก็สบายตัวดี ตัวเบาหวิว
หลังจากโดนฝังไปเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปทัวร์นรกกันสักที ที่ Beppu มีนรกถึง 8 ขุมเลยทีเดียว โดยทั้ง 8 แห่งถูกเรียกรวมๆกันว่า Jigoku Meguri คำว่า Jigokuนั้น แปลตรงตามตัวแปลว่า Hell หรือ นรก นั่นเอง
การจะไปบ่อนรก สามารถนั่งรถบัสไปได้ แต่เนื่องจากเวลานี้ ไม่ตรงกับรอบรถบัสเลย เราเลยตัดสินใจเรียกยมบาล เอ้ย! เรียก taxi มารับแทน การนั่ง taxi นั้นไม่ถูกเลย โหดร้ายเหลือเกิน (รู้สึกโดนไปประมาณ 1,600 เยน) แต่ก็ต้องจำใจจ่าย เพื่อจะได้เซฟเวลาในการเที่ยว
เราจึงให้คุณ Taxi ไปส่งยังนรกขุมที่ไกลที่สุด นรกขุมนี้ ไม่ต้องทำผิดก็ไปได้ แต่ต้องเสียค่าเข้า (จริงๆ ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าทุกบ่อ)
นรกขุมแรกมีชื่อว่า Oniishi Bozu Jigoku แปลว่าหัวโล้นๆของพระ (shaving monk's head) ที่มาของชื่ตลกๆนี้ก็คือสีของบ่อโคลนที่เป็นสีออกเทาๆ และเนื้อโคลนที่ดูเนียนๆ เหมือนสีของหัวโล้นๆของอิคคิวซังนั่นเอง
โคลนเดือดปุดๆ
สิ่งที่เราชอบที่สุดของบ่อนี้คือความเงียบสงบ อาจเพราะอยู่แยกออกมาจากบ่ออื่นๆค่อนข้างไกล จึงไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาที่นี่สักเท่าไหร่ เราจึงเก็บภาพบรรยากาศรอบๆได้เต็มที่
จากบ่อนี้ ไปยังนรกขุมต่อไปต้องเดินค่อนข้างไกลทีเดียว แต่เป็นการเดินลงเนิน ก็เลยโอเค บวกกับเข็ดกับค่า Taxi เลยขอเดินดีกว่า ดูจาก google map ใช้เวลาประมาณ 12 นาที
ข้อดีของการเดินคือ การได้เก็บภาพข้างทาง อย่างเช่นเพื่อนร่วมทางตัวนี้
แถมข้างทางยังมีใบไม้แดงให้เห็นเรื่อยๆ เดินไปเริ่มเมื่อย ก็พักถ่ายรูป แอ๊บเป็น ฮิปสเตอร์ กันอยู่ 2 คน
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น